สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 7 ไม่รู้จักช่างไม้
หลังจากเข้ามาถึงค้นพบว่าจริงๆ แล้วผู้เข้าชมจำนวนมากไม่ได้มาเพราะวงดนตรีที่ว่านี้
วงเยอรมันที่เชิญมาจากซอกไหนก็ไม่รู้เป็นเพียงตัวชูโรงหนึ่งเท่านั้น…เพราะเดิมทีที่นี่ก็เป็นไนต์คลับอยู่แล้ว
สถานที่ที่ทุกคนมาเพื่อปลุกเร้าอารมณ์และผ่อนคลาย
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไนต์คลับแห่งนี้ดูหรูหรามาก โถงขนาดใหญ่ตรงกลางไนต์คลับ หากนับบ๋อยและพริตตี้ของไนต์คลับแล้วก็น่าจะมีประมาณเกือบสี่ถึงห้าร้อยคน…บางทีอาจมากกว่านั้น
และแน่นอนว่าที่ตรงกันข้ามก็คือห้องส่วนตัวที่ส่วนมากกลายเป็นห้องว่าง เพราะว่าทุกคนต่างออกมาร่วมความคึกครื้น
ตอนนั้นเอง
อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งมาหยิบยีนฟิซสองแก้วไปจากถาดของบ๋อยไนต์คลับ บ๋อยยิ้มบางๆ คิดว่านี่คงเป็นแขกที่ตนต้องมาเสิร์ฟเหล้า
แต่ว่าในตอนที่เขาเห็นเงาหลังของผู้หญิงหน้าตาดีคนนั้นหายไปท่ามกลางผู้คน ความรู้สึกนึกคิดในหัวก็เลือนราง สุดท้ายเมื่อเขามองไปที่ถาดบนมือตนก็รู้สึกงงงวย เอ่ยพึมพำขึ้นอย่างแปลกใจว่า ‘เอ๋ นี่เราหยิบขาดไปสองแก้วเหรอ’
…
ยีนฟิซเป็นเครื่องดื่มที่นายท่านถูกปากเพียงอย่างเดียวที่คุณหนูสาวใช้จะหาได้ในสถานที่แห่งนี้ และแน่นอนว่าเธอจะเต็มใจยิ่งกว่าหากได้ชงมันเอง
เพียงแต่นายท่านบอกว่า ‘ในเมื่อมาแล้วก็ให้เข้าเมืองตาหลิ่ว หลิ่วตาตาม’
เมื่อเห็นโยวเย่เดินออกมาจากกลุ่มคน เจ้าของสมาคมที่นั่งอยู่มุมหนึ่งหน้าบาร์ก็ยิ้มหวานออกมา
เขารับยีนฟิซจากมือของโยวเย่ ชนแก้วกับเธอ “แด่สาวที่สวยที่สุดในค่ำคืนนี้ ชนสักแก้วไหม”
โยวเย่ยกแก้ว ตอบกลับเสียงเบา “เชียร์ส”
ไม่ใครรบกวนช่วงเวลาระหว่างเจ้าของสมาคมกับคุณหนูสาวใช้ เพราะคนอื่นๆ สำหรับพวกเขาแล้วก็เหมือนไม่มีตัวตน
โยวเย่ยิ้มบางๆ ริมฝีปากเรียบเนียนเปิดออกเล็กน้อย ปล่อยให้ยีนฟิซไหลเข้าไปในปากของตน
ร่างจริงเป็นหุ่นเชิดแปรธาตุตัวหนึ่ง เธอไม่จำเป็นต้องกิน และไม่มีฟังก์ชั่นสำหรับการกิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำท่ากินไม่ได้
ถ้าหากอาหารเป็นของแข็งจะถูกเผาด้วยเพลิงทมิฬในปากของเธอทันที ดูจากภายนอกเสริมกับท่ากลืนอาหารก็จะเหมือนกับการกินอาหารของคนปกติทั่วไปไม่มีอะไรแตกต่าง
สำหรับการดื่มของเหลวเข้าสู่ร่างกายนั้น ก่อนที่เข้าสู่ส่วนลึกของร่างกายจะผ่านคอแบบของจริงจากนั้นก็จะถูกเผาด้วยเพลิงทมิฬเช่นเดียวกัน…แน่นอนว่าหากไม่อยากใช้การเผา ก็สามารถปล่อยให้มันไหลเข้าสู่ร่างกายได้
ในร่างกายของคุณหนูสาวใช้มีท่ออยู่ไม่น้อย
พวกมันสามารถทำให้ของเหลวที่เข้าสู่ร่างไหลเวียนและปล่อยให้พวกมันระเหยออกไปผ่านผิวหนังได้เหมือนกับคนจริงๆ สำหรับกากใยที่เหลืออยู่ สุดท้ายก็จะถูกเผาทำลายเช่นเดิม
นี่เป็นความสามารถที่เสริมมา ดังนั้นถึงแม้เธอจะมีความสามารถเช่นนี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร
แต่ไม่ใช่จะไม่ใช้ไปเสียตลอด
อย่างเช่นการชนแก้วดื่มในครั้งนี้ คุณหนูสาวก็ไม่ได้เลือกใช้การเผาทำลาย แต่เลือกใช้วิธีการที่ยุ่งยากที่สุด
“นายท่านไม่รู้สึกหนวกหูเหรอคะ”
“ยังพอได้”
ลั่วชิวนั่งบนเก้าอี้บาร์ หลังพิงเคาน์เตอร์ กวาดตามองแล้วก็ยิ้มพูดเล่นว่า “ไม่คิดหรือว่าสถานที่เช่นนี้ถึงจะเหมาะกับสถานะของฉันมากกว่า”
ลั่วชิวพูด วางยีนฟีซในมือลง จากนั้นก็วางมือทั้งสองบนไหล่ของคุณหนูสาวใช้ หมุนตัวเธอ “ดูสิ”
เขากระซิบที่ข้างหูโยวเย่ พร้อมกับแนบฝ่ามือลงบนบ่าของเธอ ค่อยๆ ขยับไหลลงไปบนต้นแขน และท่อนแขน สุดท้ายจับไปที่ฝ่ามือของเธออย่างนุ่มนวล ค่อยๆ ยกชี้ไปด้านหน้า
“มองเห็นไหม ที่นี่เป็นสีเทาทั้งผืน แต่ว่าด้านในนี้กลับยังมีสีขาวบางๆ อยู่”
นัยน์ตาสีฟ้าของคุณหนูสาวใช้เริ่มเปล่งประกาย ร่างกายของเธออ่อนยวบเล็กน้อยอิงแอบไปบนตัวของเจ้านายเบาๆ เธอเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “เด็กผู้หญิงคนนั้น เด็กผู้หญิงที่กำลังนั่งดริ๊งอยู่คนนั้น”
ลั่วชิวยิ้มๆ เอ่ยว่า “น่าสนใจไหม”
โยวเย่พยักหน้า “คล้ายดอกบัวสีขาวที่ใกล้จะเหี่ยวเฉาในบ่อโคลน”
ลั่วชิวขยับนิ้วของคุณหนูสาวใช้อีกครั้ง ชี้ไปอีกทางหนึ่ง ตรงโต๊ะกลมในมุมมืดมุมหนึ่ง มีชายวัยกลางคนหลายคนรวมกับวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังโอบกอดผู้หญิงอยู่คนละคน เหมือนกำลังคุยอะไรกัน
ลั่วชิวถาม “วัยรุ่นคนนั้นละ”
คุณหนูสาวใช้คิดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เขาอาจจะมาเป็นเพื่อนหัวหน้าหรือไม่ก็เป็นแขก”
ลั่วชิวเว้นจังหวะ “อืม…เขาไม่ชอบสถานที่แบบนี้ ซ่อนความรังเกียจเอาไว้ในแววตา แต่เขาก็ต้องเก็บซ่อนมันเอาไว้อย่างระมัดระวัง เพราะเขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องเออออไปกับพวกเขา”
คุณหนูสาวใช้เบี่ยงหน้าเล็กน้อย เกือบจะชนกับใบหน้าของลั่วชิว เอ่ยอย่างสงสัยว่า “เพราะเขารู้ว่าหากไม่เออออด้วยก็อาจจะไร้ความสามารถไปปกป้องบางสิ่งบางอย่าง…อย่างเช่นครอบครัวได้”
ลั่วชิวหัวเราะขึ้นและปล่อยมือของโยวเย่ลง
คุณหนูสาวใช้รีบหมุนตัว หันหลังให้เจ้านายของตน สำหรับเธอแล้วมันเป็นการกระทำที่ไม่อาจให้อภัยได้
ลั่วชิวลูบแก้วไปพลางพูดเบาๆ ว่า “เธอว่าฉันดูคล้ายกับคนควงขวานต่อหน้าช่างไม้*ไหม ฉันเพิ่งได้พลังนี้มาไม่นาน สำหรับฉันแล้วทุกอย่างในตอนนี้ดูแปลกใหม่ไปหมด แต่เธอกลับไม่เหมือนกัน เธอน่าจะเคยเห็นและสัมผัสมามากกว่าฉันแล้ว เมื่อกี้นี้คงจะทำให้เธอรู้สึกเบื่อแน่เลยใช่ไหม”
“นายท่าน”
คุณหนูสาวใช้ร้องเรียก พร้อมใช้ฝ่ามือของเธอสัมผัสเบาๆ ที่หลังมือของลั่วชิว ยิ้มเอ่ยว่า “โยวเย่ไม่รู้จักช่างไม้”
เพราะไม่รู้จักก็เลยไม่เข้ากับสำนวนนี้
…
“เธอมักจะอ่อนโยนเสมอ”
จู่ๆ ลั่วชิวก็พลิกมือมากุมมือคุณหนูสาวใช้ เล่นนิ้วมือเนียนละเอียดที่นุ่มนิ่มไม่แตกต่างจากของคนจริง
พวกมันคล้ายกับงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบ
“ไท่อินจื่อละ ทำไมไม่เห็นเขาแล้ว” ลั่วชิวถอนหายใจ ปล่อยมือโยวเย่ มองดูรอบๆ แล้วถามขึ้น
“เขาเหรอ” คุณหนูสาวใช้ยิ้มแล้วพูดว่า “คงกำลังหาวิธีไถ่โทษสำหรับความผิดในครั้งนี้อยู่”
ลั่วชิวยิ้ม ยกแก้วขึ้นก่อนพูดเสียงเบาว่า ‘เชียร์ส’
…
…
นี่เป็นแค่การพูดเกินจริงเท่านั้น ถึงจะพอมีรสชาติอยู่ แต่เขาสัมผัสรสชาติอร่อยไม่ได้เลย
ที่ไท่อินจื่อถืออยู่ในมือเป็นชีวาสที่หยิบมาจากโต๊ะแขกโต๊ะหนึ่ง แต่เมื่อดื่มแล้วกลับไม่ได้รสชาติอะไรเลย
ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาเสียสละเพื่อความเชื่อ และวงดนตรีวงนี้ก็ไม่ใช่เป้าหมายแห่งความเชื่อของตนเอง เช่นนั้นก็ต้องไถ่โทษความผิดพลาดในครั้งนี้หน่อยแล้ว
เด็กใหม่ของสมาคมที่รู้สึกว่าอนาคตของตนเองไม่เปล่งประกายกำลังวางแผนการ หากสามารถจับจุดอะไรได้ละก็อาจจะไม่ถูกจับแขวนอีก
หลังจากนั้นได้ยินจากปากคุณหนูโยวเย่ ไท่อินจื่อถึงรู้ว่านายท่านคนปัจจุบันเพิ่งรับตำแหน่งมาได้ไม่นาน
ตามจริงแล้วเขาภาคภูมิที่ได้ครอบครองฐานะของภูตดำอันดับแรกที่นายท่านคนใหม่เรียกหา…แต่เจ็บใจนัก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความภาคภูมิจอมปลอม!
ไม่สนว่าในสมาคมจะเก็บซ่อนภูตดำทรงพลังไว้เท่าไร แต่ตัวเขาถึงเป็นภูตดำที่ติดตามนายท่านมานานที่สุด!
ก่อนหน้ายังไม่รู้ความจริงนี้ ไท่อินจื่อจึงไม่กล้าคาดเดารสนิยมของนายท่าน แต่หลังจากรู้ความจริงนี้แล้ว รวมกับสิ่งที่ได้ยินและได้ฟังในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ไท่อินจื่อรู้สึกเข้าใจรสนิยมของนายท่านขึ้นมาบ้าง
เขามีรสนิยมประณีต…หากไม่ใช่แขกที่ถือการ์ดดำเข้ามาจำเป็นต้องทำตามกฎแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่านายท่านคนปัจจุบันเป็นคนช่างเลือกมากคนหนึ่ง
“คนที่ถูกความปรารถนาครอบงำด้านนอก เพียงใช้แผนการเล็กน้อยอาจจะกลายเป็นเสาทองคำ**ได้”
ไท่อินจื่อล่องลอยอยู่หลังเวทีและพึมพำไปด้วยว่า “แต่จากรสนิยมของนายท่าน จะต้องไม่ถูกใจแน่เลย…อืม หรือข้าจะต้องฝึกปรือให้มากกว่านี้ ไม่ต้องหวังตำแหน่งคนโปรดอันดับหนึ่งอะไรนั่นแล้ว อย่างน้อยก็ขออยู่อย่างสงบสุขในช่วงหลายร้อยปีนี้ให้ได้!”
แต่คนด้านนอกเยอะขนาดนี้ นายท่านก็ยังไม่ถูกใจ…คนด้านหลังเวทีน้อยกว่าหลายสิบยี่สิบเท่า จะหาพบเหรอ
ไท่อินจื่อรู้สึกสงสัย
เขายื่นหัวทะลุเข้าไปในประตูบานหนึ่ง แอบมองสภาพด้านใน “อืม…สองคนนี้กำลังแอบมีอะไรกัน ตกอยู่ในกามารมณ์ ผู้หญิงยังอ้วนอีก รสนิยมแย่!”
เขายื่นหัวเข้าไปในประตูบานที่สอง “พนักงานกลุ่มหนึ่งแอบอู้งาน ตำแหน่งไม่สูง ไม่ผ่าน”
เขายื่นหัวทะลุเข้าไปในประตูบานที่สาม “…ห้องน้ำหรือ หืม ผู้หญิงยืนฉี่ ไม่ผ่าน ไม่ผ่าน ไม่ผ่าน ไม่ผ่าน!”
…
ไท่อินจื่อทอดถอนใจ ที่นี่จะไม่มีเสาทองคำในอุดมคติอยู่เลยเหรอ
ทันใดนั้นเสียงโวยวายเสียงหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจเขา…คล้ายกับมีผู้ชายสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่
ไท่อินจื่อยื่นหัวเข้าไปลึกๆ ต่อ เห็นเพียงข้างในมีผู้ชายสองคน และผู้ชายคนหนึ่งกำลังต่อยไปโดยที่หน้าของผู้ชายอีกคนจนล้มกองลงไปบนพื้น
ผู้ชายที่ต่อยคนนั้นมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว “ต่อให้เหลือแค่ฉันคนเดียว ฉันก็จะไม่ยุบวงนี้!”
*คนควงขวานต่อหน้าช่างไม้ หมายถึง ทำอวดเก่งต่อหน้าคนที่เก่งกว่า
**เสาทองคำ เปรียบสิ่งของหรือบุคคลที่นำมาซึ่งความร่ำรวยและมั่งมี