สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 94-2 ทำไมต้องใช้ความจริงใจไปแลกกับความหลอกลวง
เฉิงอี้หรานเดินลงมาผ่านข้างจงลั่วเฉินที่อยู่ในห้องโถง ที่นี่ค่อนข้างมืด เขาต้องการแสงสว่าง ดังนั้นจึงเปิดม่านหน้าต่างเล็กน้อย
จงลั่วเฉินถามขึ้นในทันใดว่า “วันนี้ไม่ไปซ้อมเหรอ”
จงลั่วเฉินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
เฉิงอี้หรานก็ไม่ได้มองเขา หลังจากเปิดผ้าม่านออกเล็กน้อยแล้วก็นั่งลงบนโซฟา และโอบกีตาร์ของตนเองขึ้นมาเอ่ยว่า “ซ้อมหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่อารมณ์ดีก็พอแล้ว”
จงลั่วเฉินพยักหน้า พลิกเปิดหนังสือเรื่อง ‘เหยื่ออธรรม’ ไปอีกหน้า
“หนังสือเล่มนี้สนุกมากงั้นเหรอ ผมเห็นคุณอ่านอยู่ตลอด” เฉิงอี้หรานไม่รู้จะพูดคุยเรื่องอะไรจึงมองไปยังจงลั่วเฉิน และหาเรื่องถามออกมา
จงลั่วเฉินอ่านเร็วมาก ตอนนี้เขาอ่านจบไปอีกหน้าหนึ่งแล้ว เขาพลิกเปิดไปอีกหน้าและเอ่ยว่า “นายเคยอ่านไหม”
เฉิงอี้หรานยิ้มเอ่ยว่า “แต่ก่อนผมต้องทำงานหนักเพื่อเอาชีวิตรอด ต่อมาก็ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อความฝัน ตอนนี้ก็ถูกคุณลากเข้ามาร่วมด้วย ชีวิตก็ยิ่งพลิกกลับ ผมไม่ได้เกิดมาก็มีพร้อมทุกอย่างเหมือนคุย ถึงจะมีเวลาว่างแบบนี้”
“ฉันก็ไม่ได้ถือว่ามีทุกอย่าง” จงลั่วเฉินเปิดไปอีกหน้า “เรื่องนี้น่าสนใจดี นายก็ลองอ่านดูได้”
เฉิงอี้หรานเลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เป็นเรื่องยังไง”
จงลั่วเฉินตอบเบาๆ ว่า “เป็นเรื่องของหัวขโมยคนหนึ่ง”
เฉิงอี้หรานอ๋อขึ้นมา จากนั้นก็ยืนขึ้น แบกกีตาร์และพูดว่า “ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จะออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
ตอนนี้เองจงลั่วเฉินก็ปิดหนังสือในมือ ยืนขึ้นและเรียกเฉิงอี้หรานให้หยุดรอก่อน จากนั้นก็เดินไปที่ลิ้นชักและหยิบกุญแจออกมา โยนไปในมือของเฉิงอี้หราน “ฉันคิดว่านายน่าจะชอบมัน”
กุญแจรถ
นี่เป็นรถซุปเปอร์คาร์ที่เฉิงอวิ๋นขับกลับมาเมื่อวานนี้
…
รถซุปเปอร์คาร์คือความฝันของผู้ชายส่วนมาก นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอาชีพ แต่เกี่ยวกับความเร็ว
เสียงท่อเครื่องยนต์ดังเหมือนเสียงสัตว์ป่าคำราม ช่วยสร้างความสุขมห้กับคน แน่นอนว่าสำหรับคนขับเท่านั้น
คนข้างทางจะรู้สึกเพียงแค่เสียงดังน่ารำคาญมากเท่านั้น…แน่นอนว่าคนที่ชอบมันจะรู้สึกแตกต่างออกไป
เฉิงอี้หรานพบว่าสิ่งนี้กับแนวดนตรีของเขามีความคล้ายกัน โดยเฉพาะบางส่วนของร็อค ในสายตาคนจำนวนมากที่ไม่ชอบมันก็เหมือนกับเสียงดังน่ารำคาญเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็เหมือนกับที่จงลั่วเฉินพูด เขาชอบรถซุปเปอร์คาร์คันนี้จริงๆ รู้สึกดีเวลาขับมาก ช่วงนี้ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างผ่อนคลาย
ดูเหมือนเขาจะไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล เพราะทุกอย่างมีทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของจงลั่วเฉินคอยสนับสนุน
จากการสนทนากับเจ้าของสมาคมลึกลับก่อนหน้านี้ ทำให้เขาเข้าใจเรื่องหนึ่ง นั่นคือเพียงแค่ยังมีทรัพยากรทางการเงินของจงลั่วเฉินคอยสนับสนุน เขาก็จะปิดปากคนส่วนใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่น่ากังวลใจจริงๆ
ต่อมารถซุปเปอร์คาร์ก็ไปจอดอยู่ไม่ไกลจากที่พักเดิมของเฉิงอี้หราน
เขาลงจากรถ สวมหมวก ปัดผมลงมา สวมชุดคลุม ใส่แว่นตาไม่มีเลนส์ และแบกกีตาร์เดินออกมา
“เถ้าแก่ บะหมี่ไข่ปลาหนึ่งชุด”
“ได้เลย”
มันยังคงเป็นถนนที่เต็มไปด้วยไนต์คลับ นี่เป็นสถานที่ที่เฉิงอี้หรานคลุกคลีอยู่มากที่สุดนับตั้งแต่ที่มาถึงเมืองแห่งนี้…และที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่มีของกินมากที่สุด
ครั้งนั้นมีเพียงแค่เขากับหงก้วนสองคน หลังจากจบงานในทุกๆ คืนก็จะมานั่งอยู่ที่นี่ สองคนกับเบียร์สองกระป๋อง อยากกินอะไรก็กินได้ที่นี่
เขาพบว่าตนเองไม่คุ้นชินกับอาหารที่จงลั่วเฉินทำ
ถึงพวกมันจะประณีตและมีรสชาติยั่วน้ำลาย แต่เขาก็ยังไม่คุ้นเคยกับมัน…เพียงแค่ไม่คุ้นเคย ไม่มีเหตุผลอะไรอื่น
อาจจะเป็นเพราะที่นั่นมืดเกินไป
แต่ตอนนี้ยังอยู่ในตอนบ่าย ไนต์คลับกับบาร์ต่างๆ ยังไม่เปิดกิจการ ทั้งถนนค่อนข้างสงบเรียบร้อย…อีกทั้งยังไม่ใช่เวลากินข้าวอีกด้วย
โต๊ะด้านหน้ามีเด็กผู้ชายไม่กี่คนนั่งอยู่ เป็นพวกนักเรียนที่หนีเรียนออกมาเล่น ซึ่งตอนนี้กำลังพูดคุยกันเรื่องปัญหาภายในเกม
“อะ บะหมี่ไข่ปลาของนาย…ฉันเคยเจอนายหรือเปล่า?” เถ้าแก่ที่ถือถ้วยบะหมี่มาส่งขมวดคิ้วและถามออกไป
“ใช่เหรอครับ” เฉิงอี้หรานดึงตะเกียบใช้ครั้งเดียวออกจากกัน จากนั้นก็ใช้ตะเกียบคนเครื่องปรุงในถ้วยและเอ่ยไปด้วยว่า “เคยเจอก็ไม่แปลก เถ้าแก่ตั้งร้านอยู่ที่นี่ทุกวัน คงต้องเจอคนมากกว่าผมอยู่แล้ว”
ตอนนี้ดูเหมือนเถ้าแก่จะว่างมาก เมื่อเห็นคนที่สามารถพูดคุยด้วยได้ก็ลากเก้าอี้ออกมานั่ง “ฮา! ฉันชอบฟังคำพูดของนาย ฉันอยู่ที่นี่พบเจอคนมาเยอะจริงๆ! มีผู้ชายมีผู้หญิง คนมีเงินไม่มีเงิน คนลุ่มหลงในความรัก คนโหดเ**้ยม คนขายตัว คนซื้อ เยอะ!”
“ดีจริง” เฉิงอี้หรานหัวเราะและเอ่ยว่า “จะต้องน่าสนใจมากแน่ๆ”
“ใช่แล้ว!” เขาเอ่ยต่อว่า “ฉันอวี๋ต้านเฉียงขายไข่ปลาอยู่ที่นี่มานานหลายปี ผ่านลมผ่านฝน จะมีเรื่องแปลกอะไรที่ไม่เคยพบเห็นอีก?”
“จริงเหรอ” เฉิงอี้หรานอ้าปากกินบะหมี่ พูดว่า “แปลกแค่ไหนครับ”
อวี๋ต้านเฉียงตบโต๊ะเอ่ยว่า “เรื่องอื่นช่างเถอะ นายรู้จักเฉิงอี้หรานไหม”
“เขาดังมากหรือเปล่าครับ”
“ชิๆ ดูเหมือนนายจะเล่นดนตรีเหมือนกัน รู้ไหมว่าเฉิงอี้หรานคือใคร?” อวี๋ต้านเฉียงเอ่ย “ตอนนี้คนที่ดังที่สุดในเมืองก็คือเขาแล้วล่ะ นายไม่รู้จริงๆ นะเหรอ”
“เถ้าแก่รู้จักเขางั้นเหรอ” เฉิงอี้หรานพูดอย่างขบขัน
อวี๋ต้านเฉียงพูดว่า “ฉันรู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักฉัน จะบอกอะไรนายสักอย่าง บางทีเฉิงอี้หรานอาจจะเป็นคนที่เคยกินไข่ปลาของร้านฉันด้วย! ชิๆ เจ้าเด็กคนนี้ ก่อนที่จะโด่งดังก็ได้ยินว่าเคยสู้ชีวิตอยู่ที่นี่”
เฉิงอี้หรานไม่ชอบคำว่าสู้ชีวิต ดังนั้นตอนนี้เขาจึงกินบะหมี่เงียบๆ ไม่ตอบรับ
อวี๋ต้านเฉียงกลับพูดขึ้นในทันใดว่า “เฮ้…ฉันเคยเจอนายที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า? นายดูคล้าย…”
“คล้ายอะไรครับ” เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว
อวี๋ต้านเฉียงโน้มเข้ามาข้างหน้าอีก จ้องอยู่นานถึงเอ่ยว่า “ดูเหมือนเจ้าเด็กคนหนึ่งที่ฉันเจอในคืนวันนั้น”
“จริงเหรอ” เฉิงอี้หรานก้มหน้าคีบบะหมี่
อวี๋ต้านเฉียงกลับระลึกความหลังและเอ่ยว่า “คืนวันนั้นฉันบังเอิญโชคดีได้เงินมาก้อนหนึ่ง! มีเจ้าเด็กคนหนึ่งมอบเครื่องมือหากินให้ฉัน…เอ่อ คล้ายๆ กับอันที่นายแบกไว้ พูดอะไรสักอย่าง? อะไรเบสๆ? เอ่อ ถึงยังไงก็บอกว่าไม่ต้องการแล้ว ทำต่อไปไม่ไหว แล้วยังไม่ต่อรู้ไหม? ฉันจะบอกให้ฟังนะ เจ้าเด็กนั่นเพิ่งไป ต่อมาก็มีเจ้าคนแปลกๆ มาอีกคนหนึ่งบอกว่าจะซื้อเบสอะไรนั่น นั่นก็เป็นคนแปลก ฉันเสนอราคาถูกแล้วแต่เขาก็ไม่สน บีบให้ฉันเสนอราคาสูงขึ้น ชิๆ ไม่เข้าใจโลกของคนมีเงินเลยจริงๆ!”
“คุณ…คุณยังจำได้ไหมว่าคนที่ซื้อไปนั้นมีท่าทางยังไง?” เฉิงอี้หรานถามขึ้นในทันใด
อวี๋ต้านเฉียงชะงัก ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นานถึงเอ่ยว่า “ดูเหมือนเป็น…เอ๋ ท่าทางเป็นยังไงแล้วนะ? แปลกจริง ฉันความจำดีมากนะ ทำไมถึงคิดไม่ออก?”
“ผมกินอิ่มแล้ว” ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็ทิ้งตะเกียบ แล้วเขียนหมายเลขลงบนธนบัตรที่เขาดึงออกมาอย่างรวดเร็ว “เถ้าแก่ หากคุณพบคนที่ซื้อเบสอันนั้นอีกครั้งก็ช่วยโทรหาผมที่เบอร์นี้นะ ผมจะให้คุณโชคดีได้เงินก้อนใหญ่อีกครั้ง”
“ง่ายมาก!” อวี๋ต้านเฉียงดีดหมายเลขบนธนบัตรสิบหยวน จากนั้นก็พบว่าลูกค้าคนนั้นลุกขึ้นจากไปแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ชะงัก ตบหัวและเอ่ยว่า “ให้ตายสิ รอเดี๋ยว นายเคยถามเรื่องนี้กับฉันใช่ไหม? ก่อนหน้านี้?”
ตอนนี้เองก็มีคนเดินผ่านมาคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างตกใจว่า “นั่นมันเฉิงอี้หรานใช่ไหม? เฉิงอี้หรานจริงๆ!”
อวี๋ต้านเฉียงมองเห็นกลุ่มคนเดินไล่ตามเจ้าเด็กคนนั้นไป จากนั้นเขาก็ตบๆ หัวของตนเองอีกครั้ง รู้สึกเหมือนตนเองพลาดอะไรไปสักอย่าง…
“ให้ตายสิ! หากรู้ว่าเป็นดาราใหญ่ ฉันจะเรียกเก็บนายยี่สิบหยวนต่อถ้วยแล้ว!” พลาดเงินไปสิบหยวนเสียแล้ว