สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 22 ฝันคลั่ง (1)
ยังไม่ถึงเที่ยง คุกก็กลับมาถึงร้านขายเต้าหู้อีกครั้ง
ตอนเข้ามาถึงพบว่าซานเอ๋อร์กับเสี่ยวจือล้วนแต่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ อาหารบนโต๊ะดูอุดมสมบูรณ์กว่าวันก่อนๆ เล็กน้อย
แต่เสี่ยวจือกลับถือช้อนและเอาแต่จ้องดูอาหารที่เต็มอยู่บนโต๊ะตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าหิวจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
เสี่ยวจือพุ่งเข้าไปหาคุก คุกไม่ได้หลบ ปล่อยให้เธอจูงมือตนเองไปที่หน้าโต๊ะ “กินข้าวๆ”
ซานเอ๋อร์พูดขึ้นในตอนนี้ว่า “เสี่ยวจือ ลูกไปดูโทรทัศน์อยู่ทางนั้นก่อน แม่มีเรื่องจะพูดกับลุงมาร์ค”
“เสี่ยวจือก็อยากฟังด้วย” เสี่ยวจือยกมือขึ้น
“เสี่ยวจือ” ซานเอ๋อร์ถลึงตาโต
เสี่ยวจือเบ้ปาก ถือชามข้าวเดินไปหน้าโทรทัศน์ ทั้งยังจงใจเดินเสียงดังเป็นพิเศษ ไม่หันหน้ากลับมา ซานเอ๋อร์ถอนหายใจกับผู้ชายตรงหน้าและพูดเบาๆ ว่า “คุณ…คุณหาอะไรเจอไหม”
คุกส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันไปถามที่ร้านขายโลหะ เขารู้ว่าใครซื้อชะแลงไป”
“เป็นใครเหรอ” ชั่วขณะนั้นซานเอ๋อร์ก็ตื่นเต้นขึ้นมา
คุกกลับพูดว่า “ฉันไม่รู้จัก แต่ตอนบ่ายฉันจะแอบไปดูหน่อย”
สำหรับเขาแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เวลาทั้งเช้าและถามข้อมูลมาได้แค่นี้ ในความเป็นจริงนั้นเขายังไปที่โรงพยาบาล เพราะเมื่อคืนมีหนึ่งคนในพวกนั้นที่ถูกเขาทำร้ายอย่างหนัก ไม่สามารถหายาทาและหายเองได้
แต่โรงพยาบาลในเมืองไม่มีคนป่วยที่บาดเจ็บสาหัส…อย่างนั้นก็หมายความว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสน่าจะถูกส่งไปที่อื่นในคืนนั้น อาจจะเป็นเมืองใกล้ๆ
อีกอย่างโรงพยาบาลในเมืองไม่ใหญ่มาก คุกจึงพบว่าคนคนหนึ่งที่ควรจะนอนอยู่ในโรงพยาบาลนั้นกลับหายดีและออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว
“ตอนที่ฉันไม่อยู่ มีใครมาหรือเปล่า” คุกถาม
ซานเอ๋อร์ส่ายหน้าและพูดว่า “เอาอย่างนี้ คุณ…คุณนั่งลงกินข้าวก่อนเถอะ ใกล้จะบ่ายแล้ว”
คุกพยักหน้า ยื่นมือออกไปคีบอาหารบางส่วนใส่ชาม “ฉันจะกลับไปกินในห้อง”
ซานเอ๋อร์พูดขึ้นว่า “อยู่ที่นี่…ได้ไหม”
คุกพูดว่า “ไม่จำเป็น”
ซานเอ๋อร์ไม่พูดอะไรอีก เพียงนั่งลงอย่างปวดใจ ตักข้าวขาวเข้าปากโดยไม่คีบกับทานด้วย
ก่อนขึ้นห้อง คุกก็พูดขึ้นในทันใดว่า “เสี่ยวจือ รับไว้สิ ซื้อมาระหว่างทาง”
เห็นของบางอย่างลอยไปยังเสี่ยวจือ จากนั้นก็ตกลงตรงหน้าเธอ ชั่วขณะนั้นเสี่ยวจือที่แต่เดิมงอนอยู่ก็ดีใจจนยิ้มขึ้นมา “แม่ ลุงมาร์คเอาตุ๊กตาให้”
ซานเอ๋อร์มองดูแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “เด็กโง่ นั่นคือพวงกุญแจ ไม่ใช่ตุ๊กตา”
…
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง คุกถึงเดินลงมาจากห้อง บอกว่าจะออกไปข้างนอกและออกไปเลย
“แม่คะ ทำไมวันนี้ลุงมาร์คถึงออกไปข้างนอกตลอดเลย”
“เขามีเรื่องต้องทำ” ซานเอ๋อร์ย่อตัวลงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ต้องถามแล้ว เข้าใจไหม ลุงมาร์คของลูกกำลังปกป้องพวกเราอยู่”
เสี่ยวจือครุ่นคิดครู่หนึ่ง “จริงเหรอคะ”
“จริงสิ”
“จริงเหรอๆ”
“จริงสิๆ”
“เหมือนกับพ่อที่ปกป้องเสี่ยวจือกับแม่ใช่ไหม”
ซานเอ๋อร์เพียงลูบหัวเสี่ยวจือ ทันใดนั้นก็เลิกแขนเสื้อขึ้นมาและพูดว่า “วันนี้ไม่ต้องไปสถานรับเลี้ยงแล้ว แม่ก็จะไม่เปิดร้าน พวกเรามาช่วยกันทำกับข้าวอร่อยๆ รอลุงมาร์คกลับมาดีไหม”
“ดีค่ะ ครั้งก่อนที่แม่ป่วยเสี่ยวจือต้มโจ๊กได้แล้ว”
ซานเอ๋อร์ยิ้มบอกว่าเสี่ยวจือเป็นเด็กดี…ไม่รู้ว่าเริ่มต้นอยากรอคอยใครคนหนึ่งกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีอารมณ์อยากทำอาหารที่หลากหลายหน่อยรอเขากลับมากิน
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ว่าเป็นประตูหลัง ที่ซานเอ๋อร์รู้ก็คือมาร์คมักจะเข้าด้านหลังทุกครั้ง…ประตูหลัง เธอส่ายหน้าอย่างรุนแรง รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว
“กลับมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ หรือลืมของ”
“ลุงมาร์คกลับมาเหรอคะ เสี่ยวจือจะไปเปิดประตู”
“นี่ เสี่ยวจืออย่าเดินเร็วขนาดนั้นสิ เสี่ยวจือ…จริงๆ เลยเด็กคนนี้”
…
…
เป็นเรื่องง่ายที่จะหารูในผนังเก่า คุกสะกิดเท้ากระโดดเล็กน้อยก็สามารถเข้าไปในลานหลังบ้านของคนอื่นได้แล้ว
เมื่อเท้าเหยียบพื้นก็ยังไม่ส่งเสียง
ตามคำพูดของเจ้าของร้านขายโลหะทำให้คุกสามารถหาบ้านของคนที่ซื้อชะแลงได้อย่างง่ายดาย คนชั่วคนนี้อาศัยอยู่เพียงลำพัง ดังนั้นคุกจึงปีนกำแพงเข้ามาเลย
แต่เขากลับไม่พบคนอยู่ที่นี่ มีเพียงร่องรอยว่ามีคนอยู่ที่นี่
“ไม่อยู่…หรือจะไปรักษาบาดแผลที่อื่นจริงๆ”
แต่คุกก็ไม่แน่ใจว่าว่าคนคนนี้จะเป็นคนที่บาดเจ็บหนักที่สุดเมื่อวานหรือไม่ ดังนั้นเขาจะต้องไปดูที่บ้านของอีกสามคนถึงจะแน่ใจได้
เขามาเร็วไปเร็วไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลย
คุกเริ่มพบว่าตนเองแปลกประหลาด วิธีการใช้ไม้หาบ ทักษะการปีนกำแพง และการสืบค้นเรื่องราว…เรื่องเหล่านี้ดูคุ้นเคยกับเขามาก
“ฉันเป็นใครกันแน่…”
อีกครั้งที่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังพุ่งออกมาจากหัวของเขา แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันกลับขาดไปอีกเล็กน้อยตลอด
เหมือนความคิดมหาศาลถูกปิดกั้น เขาลูบของบางอย่างในกระเป๋ากางเกงของตนเองโดยไม่รู้ตัว เป็นกิ๊บที่เขาซื้อมาจากแผงของหญิงชรา
จะให้หรือไม่ให้ดีกลายเป็นการปะทะกันระหว่างอารมณ์และเหตุผล จนถึงในตอนนี้ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์
ระหว่างที่ครุ่นคิดและค้นหาไปด้วยทำให้เวลาผ่านไปจนเกือบถึงเย็นอย่างรวดเร็ว คุกได้ยินจากเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงว่าผู้ชายคนนั้นมักจะไปมั่วสุมอยู่กับใครจากนั้นก็ไปตามบ้านของผู้ชายพวกนั้น
เหมือนแทบไม่ได้อะไรเลย…เขารู้เพียงว่าวันนี้มีสองคนที่ไม่อยู่บ้านทั้งวัน และมีสองคนที่ออกจากบ้านไปแล้วตั้งแต่เช้า
เบาะแสที่ดูมีประโยชน์เพียงเบาะแสเดียวก็คือ…ผู้ชายทั้งสี่คนนี้สนิทกับจางคุน อีกทั้งยังเรียกเขาว่าลูกพี่
สุดท้ายเขาก็ไปดูรอบบ้านของจางคุนและก็ไม่พบคนอยู่ในนั้น
“อย่างน้อยก็จำกัดขอบเขตได้แล้ว”
แม้แต่ตัวคุกเองก็สัมผัสได้ว่า…ภายในดวงตาฉายแววสังหารอันน่ากลัวออกมา ตอนนี้ภายในหัวของเขาเกิดความคิดขึ้นมาว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็คือทำให้มันหายไปตลอดกาล…
คุกฉวยโอกาสช่วงเย็นที่คนน้อยเดินอ้อมตามตรอกรอบบ้านซานเอ๋อร์ จากนั้นถึงหันกลับไปหน้าประตูหลังร้านขายเต้าหู้ เขามั่นใจแล้วว่าในละแวกนั้นไม่มีคนที่น่าสงสัย…แค่ต้องรอดูว่าคืนนี้จะมีใครมาอีกไหม
ขณะที่กำลังครุ่นคิด คุกก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างฉับพลันและหยุดอยู่ที่หน้าประตูหลัง
เขายื่นมือออกไปผลักประตูเบาๆ…เพียงเบาๆ ประตูก็เปิดออก ไม่ได้ล็อก คุกเงยหน้าขึ้นมาในทันใด และพุ่งตัวเข้าไปในลานหลังบ้านเหมือนเสือชีต้า
ที่ลานหลังบ้าน ไม่รู้ว่ากระถางล้มลงตั้งแต่เมื่อไหร่ เหมือนจะมีร่องรอยของการดิ้นรนและยังมี…รองเท้าข้างหนึ่ง
รองเท้าของเสี่ยวจือ
คุกเก็บขึ้นมา ออกแรงบีบเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววเย็นยะเยือก เห็นอักษรสีแดงแถวหนึ่งถูกเขียนไว้บนกำแพง
…
…
ที่นี่เป็นโรงสีแห่งหนึ่งนอกเมือง ด้านข้างยังมีกังหันวิดน้ำเก่าแก่อยู่อันหนึ่ง
จางคุนกับลูกน้องสองคนของเขากำลังมองผู้หญิงและเด็กหญิงที่ถูกมัดอยู่ที่นี่…ไม่รู้ว่าตอนนี้จางคุนที่ดวงตาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายกำลังคิดอะไรอยู่
“ลูกพี่ พี่อยากจัดการสักหน่อยก่อนไหม” ลูกน้องกระซิบข้างหูจางคุน “พวกเราสองคนจะออกไปเฝ้าข้างนอก รอเจ้าต่างชาติคนนั้นมาแล้วเห็นว่าผู้หญิงของตัวเองถูกย่ำยีจะไม่โมโหอีกเหรอ ฮ่าๆ”
นัยน์ตาของจางคุนเปลี่ยนเป็นน่ากลัวและเกิดความปราถนาขึ้นมาเล็กน้อย เขาพูดขึ้นในทันใดว่า “พวกนายสองคน ออกไปก่อน”
“รับทราบ”
เสียงเปิดและปิดประตูดังขึ้น
ซานเอ๋อร์ที่ถูกมัดมือไพล่หลังและปิดตาอยู่บนพื้นหวาดกลัวจนตัวสั่นขึ้นมา…ลูกสาวที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องไห้ไม่หยุด ร้องเรียกหาแม่
“แก…พวกแกจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน สารเลว…ปล่อยนะ…เดรัจฉาน”
จางคุนคล้ายกับกลายเป็นหมาบ้าขึ้นคร่อมบนตัวซานเอ๋อร์ ใบหน้าดูบ้าคลั่ง “ทำไมเธอถึงไม่ชอบฉัน ทำไม ฉันยกให้เธอเป็นผู้หญิงของฉันตลอด ไม่เคยใช้กำลังกับเธอ แต่เธอกลับไม่สนใจฉัน แต่กลับไปมีอะไรกับเจ้าต่างชาตินั่น เธอมัน…นังแพศยา แพศยา นังแพศยา”
เขาใช้สองมือบีบคอผู้หญิงที่เขาต้องการครอบครองมาโดยตลอด “ฉันจะฆ่าเธอให้ตายซะ”
แค่ก…แค่ก
“แม่คะ แม่ แม่ แง”
เสี่ยวจือร้องไห้เสียงดังขึ้นมา