ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 537
เหล่าเกาหัวเราะแปลกประหลาด แววตาต่ำช้าทั้งสกปรกโสมม หลินหว่านหรงหันหน้าไปมองก็เห็นว่าที่ตัวเองถืออยู่ในมือก็คือผ้าไหมสีแดงสดอ่อนนุ่ม ขอบลายดอกกลมๆ เมื่อพับแล้วก็มีขนาดเท่าฝ่ามือ ทั้งยังมีกลิ่นหอมจางๆ ผืนหนึ่ง นุ่มนิ่มเรียบลื่นดั่งสายน้ำ งดงามเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิง เฉกเช่นดวงหน้าสีแดงร้อนลวกของอวี้เจียสาวน้อยทูเจวี๋คนนี้ กระทั่งยังสัมผัสถึงความอบอุ่นเล็กน้อยได้อีกด้วย
มองดูตู้โตวสีสันสดใสที่อยู่ในมือจอมทัพของพวกตน เหล่า ‘โจร’ ต้าหัวก็อดหัวเราะพรวดออกมาไม่ได้ พยายามสะกดกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ สีหน้าคลุมเครือมากเท่าใดก็คลุมเครือมากเท่านั้น เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นก็ยิ่งหน้าแดงก่ำ กำสองหมัดแน่น กัดฟันกรอดจงส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ดวงตาแวววาวพ่นไฟออกมาหลายจั้ง จ้องมองเขาเขม็ง
หลินหว่านหรงสีหน้าเป็นปกติ หัวเราะฮ่าๆ กล่าววาจาโดยไร้ความละอาย “เอ๊ะ ผ้าเช็ดหน้าสีแดงผืนใหญ่จังเลยนะ มือสองข้างของข้ายังกุมไม่หมดเลย! กำลังขาดผ้าซับหน้าหลังล้างหน้าอยู่พอดี ผ้าเช็ดหน้านี้เป็นของข้าแล้ว…”
“ซู่มั่วหนูซีซ่า!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่งเสียงด่าทอไฟแลบ ดวงตามีน้ำตาเอ่อ กระชากตู้โตวในมือเขามาอย่างแรง จนฉีกขาดเป็นสองส่วนเสียงดังแคว่กแล้วโยนลงบนพื้น ยกรองเท้าขี่ม้าขึ้นแล้วเหยียบย่ำลงไปอ่างหนักหน่วง ปากยังพร่ำบ่นอะไรออกมาอีกด้วย
หลินหว่านหรงกะพริบตา ถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “พี่หู นังหนูนี่พูดอะไรหรือ เหตุใดต้องแย่งผ้าเช็ดหน้าข้าไปด้วย?!”
นอกจากความนับถือหนังหน้าของแม่ทัพหลินแล้วก็มีแต่ความนับถือ หูปู้กุยหัวเราะแล้พูดว่า “ไม่มีอะไรขอรับ สาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้นิสัยรุนแรง นางบอกว่าท่านลูบคลำของของนางก็เหมือนกับสุนัขบ้าที่กัดดอกไม้บนทุ่งหญ้า นางสาปแช่งให้ท่านตายไวๆ ขอรับ”
เหล่าหูแม้จะแปลแบบปิดบังแล้ว แต่หลินหว่านหรงเป็นคนชนชั้นใด แค่กะพริบตาก็รู้ได้ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็บอกให้ข้าไปตายล่ะสิ เขาหัวเราะฮ่าๆ เล็กน้อย “ไม่เป็นไรๆ ตีคือสนิท ด่าคือรัก รักจนถึงขีดสุดก็ใช้เท้าเตะถีบ ข้าไม่เคยกลัวสาวน้อยด่ามาก่อน นางยิ่งด่าข้าก็ยิ่งมีความสุข…แค่กๆ เมื่อผ่านการทดสอบอันเข้มงวดจากข้า แม่นางอวี้เจียก็รู้จักยาพวกนี้จริงๆ น่าจะรักษาคนไข้ได้ไม่ผิดแน่ พี่หู ท่านบอกนางเถิด ตอนนี้มีคนดีมากน้ำใจและเที่ยงธรรมอันดับหนึ่งแห่งต้าหัวต้องการทำการค้าที่บริสุทธิ์ยุติธรรมกับนาง”
หูปู้กุยแปลโดยละเนื้อหาที่อยู่ในคำพูดเขาบางอย่างไปอย่างระมัดระวัง หลังจากแปลแล้วเยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็แค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง พูดโดยไม่แยแสว่า “ทุ่งหญ้ามีคำพูดว่าเอาไว้ จันทร์กระจ่างจะไม่มีวันส่องฝูงหมาป่าโลภมากชั่วนิรันดร์ ข้าอวี้เจียไม่มีวันทำการค้ากับคนต่ำช้าไร้ยางอายสกปรกโสมมเช่นเจ้านี้แน่!”
“ฉับ!” นางพูดยังไม่ทันจบก็เห็นหัวหน้าโจรคนนั้นชักดาบแล้วฟันไปที่ม้าของขบวนพ่อค้า ระหว่างที่โลหิตสาดออกไปไกลนั้น ม้าก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาออกมาคราหนึ่ง แล้วค่อยๆ จมกองเลือดลงไป
หัวหน้าโจรที่เพิ่งพูดจาสรวลเสเฮฮาเมื่อครู่ ยามนี้หน้าดำดั่งน้ำหมึก ดาบยาวนำมาชิดริมฝีปาก เป่าอย่างแช่มช้าสบายอารมณ์ บนคมดาบมีเลือดหยดติ๋งๆ ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
เยวี่ยหยาเอ๋อร์สีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล มองดูคนในเผ่า ‘ผู้อ่อนแอ’ ข้างหลัง น้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดก็ผงกศีรษะ “เจ้าจะทำการค้าอะไร?!”
“สาวน้อยผู้ฉลาดหลักแหลม!” หลินหว่านหรงเปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้ม หัวเราะฮิฮะ “เจ้าวางใจเถิด ข้าคนนี้ยุติธรรมมาก ต่อให้เจ้าจะจับจ้องความงามของข้า ต้องการทำการค้าสัมพันธ์ชายหญิงกับข้านั่นเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ความบริสุทธิ์ของข้าเป็นของเมียข้าเท่านั้น เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ขอเพียงเจ้ารักษาพี่น้องของข้าหาย ข้าจะให้หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต ปล่อยคนในเผ่าเจ้าไปคนหนึ่ง เจ้าว่าอย่างไร?”
คนผู้นี้ช่างหน้าไม่อายเสียจริง อวี้เจียฟังแล้วก็เดือดดาล “เจ้าชาวต้าหัวที่ไร้ยางอายคนนี้ นึกว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร ข้าช่วยคนบาดเจ็บชาวต้าหัวของเจ้าคนหนึ่ง เจ้าถึงปล่อยคนในเผ่าข้าคนหนึ่ง เห็นข้าหลอกง่ายนักหรือ เจ้าพ่อค้าชั่วที่ไร้มโนธรรม!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้กลับรู้สมญานามของข้าด้วย? หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่ต้องร้อนใจไป ในเมื่อเป็นการค้า เช่นนั้นก็ต้องมีการต่อรอง เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เจ้าว่ามาเถิดว่าต้องการรปล่อยกี่คนเจ้าถึงจะช่วยรักษาคน?”
จมูกน้อยของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง “นอกเสียจากเจ้าจะปล่อยคนในเผ่าข้าไปทั้งหมด มิเช่นนั้นข้าก็ไม่มีวันช่วยเจ้าช่วยเหลือคนแน่”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะเย็นชา จ้องมองนางเขม็ง “น้องสาว เป็นคนก็ต้องมีความจริงใจบ้าง อย่านึกว่าผู้อื่นเป็นไอ้โง่ จะปล่อยให้เจ้ารังแกได้! ข้าขอให้เจ้าช่วยคนเดียว กลับจะให้ข้าปล่อยคนมากขนาดนี้ ที่แท้ใครที่เป็นพ่อค้าชั่วกันแน่ เชื่อว่าในใจทุกคนต่างรู้ดี ต่อครั้งเดียว ข้าปล่อยสิบคน เจ้าช่วยหนึ่งคน!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอดส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ มองเขาอย่างดูแคลน ไม่เอ่ยวาจา
“เช่นนั้นข้าจะใช้ท่าไม้ตายแล้ว” หลินหว่านหรงแค่นเสียงออกจมูกคราหนึ่ง “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับดีๆ เช่นนั้นพวกเราทำตรงข้ามก็ได้ พี่เกา ลับมีดฆ่าคน! ข้าอยากจะลองดูสิวาต้องฆ่าสักกี่คน นังหนูนี่ถึงจะยอมจำนน”
เกาฉิวรับคำ เอาดาบใหญ่พาดบ่า เดินไปทางพ่อค้าทูเจวี๋ยทีละก้าวๆ งานที่เขาทำอยู่ในวังหลวงก็คือขู่ให้คนกลัวโดยเฉพาะ รูปร่างหน้าตาท่าทางกอปรด้วยความน่าเกรงขามยิ่งนัก บวกกับศึกใหญ่ที่สู้กับเฮ่อหลี่เย่เมื่อครู่ก็ได้เปรียบ เจ้าคนเป่าเคราถลึงตาโพลงคนนี้ พ่อค้าทูเจวี๋ยเหล่านี้ไม่มีผู้ใดกล้ากระตุกหนวดเสือ ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว
ดูจากท่าทีของโจรหน้าดำตัวดำคนนี้แล้ว ช่างทำเรื่องอะไรออกมาก็ได้จริงๆ สาวน้อยทูเจวี๋ยที่ชื่ออวี้เจียถูกเขาบีบจนหมดหนทางถอย อดตวาดด้วยโทสะออกมาไม่ได้ “หากเจ้าฆ่าคนในเผ่าของข้า ข้าอวี้เจียขอสาบานต่อเทพแห่งทุ่งหญ้า จะไม่รักษาให้เจ้าสักคนแน่”
“เป็นการขู่ที่ร้ายกาจเสียเหลือเกินนะ! ข้ากลัวจังเลย!” หลินหว่านหรงหัวเราะเย้ยหยันอย่างดูแคลน “คิดว่าข้าจะตกใจยกใหญ่จริงๆ หรือ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมคุยเงื่อนไข…พี่เกา ยังจะรออะไรอีก ลงมือ!”
เกาฉิวส่งเสียงด้วยโทสะ ชูดาบใหญ่แล้วฟันไปยังศีรษะของชาวทูเจวี๋ย
อวี้เจียปาดสองตาเล็กน้อย น้ำตาสองสายไหลรินอย่างเงียบงัน กล่าวอย่างแช่มช้าว่า “เอาเถิด เจ้าชนะแล้ว ขอเพียงเจ้าปล่อยคนในเผ่าข้าครึ่งหนึ่ง ข้าจะรักษาคนป่วยคนนั้นของเจ้า”
ดาบสังหารของเหล่าเกาหยุดอยู่เหนือศีรษะของชาวทูเจวี๋ยผู้นั้น แอบหัวเราะด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ครึ่งหนึ่ง? มากขนาดนั้นเชียว?!” หลินหว่านหรงขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจมาก
นัยน์ตาสีฟ้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยพ่นเพลิงโทสะออกมาอย่างเร็วรี่ โบกแกว่งกำปั้นพร้อมตวาดเสียงเจื้อยแจ้วอย่างมีน้ำโห “ชาวต้าหัวผู้ชั่วช้า เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่? หากแม้แต่คนในเผ่าเพียงครึ่งเดียวก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ ข้าก็ยอมตายภายใต้ดาบโจรของพวกเจ้านี้ไปพร้อมกับพวกเขา!”
“เอาเถอะ!” หลินหว่านหรงถอนหายใจด้วยความลำบากใจ “ครึ่งหนึ่งก็ครึ่งหนึ่ง เฮ้อ ไม่เคยเห็นโจรที่มีเมตตาอย่างข้าขนาดนี้มาก่อนเลย! แต่ว่านะ ข้าก็ขอบอกเอาไว้ก่อน พี่น้องของข้าได้รับบาดเจ็บจากธนู ยังสลบไสลอยู่…” ดวงตาเขาสาดประกายอำมหิต กล่าวด้วยท่าทางดุร้ายป่าเถื่อน “หากเจ้าช่วยพี่น้องข้าไม่ได้ ข้าก็ไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์หรือเยวี่ยวานเอ๋อร์อะไรนั่น เจ้าอย่าโทษว่าข้าฝีมือโหดเ**้ยมไร้น้ำใจ ข้าจะให้ชนเผ่านอกด่านเช่นพวกเจ้าฝังเป็นเพื่อนเขาทั้งหมด!”
ไอสังหารของเขาแผ่กระจาย สีหน้าดุร้าย ประกายดุร้ายภายในดวงตาประหนึ่งหมาป่าร้ายบนทุ่งหญ้า แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยรูปร่างสูงใหญ่ดุร้ายเช่นนี้ก็ยังต้องรู้สึกกลัวอยู่บ้าง
อวี้เจียกลับไม่กลัวหมาป่าตัวนี้ เหลือบมองเขาอย่างดูแคลนหลายครั้ง กล่าวด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น “ขอเพียงคนยังไม่ตาย ข้าก็มีความมั่นใจเจ็ดส่วนที่จะช่วยเขาให้รอดชีวิต! หวังว่าเจ้าจะรักษาคำสัญญา ปล่อยคนในเผ่าของข้าโดยเร็ว”
นังหนูนี่ฝีปากกลับไม่เบาเลยนะ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แม่นางเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้าจงวางใจเถอะ ต้องรู้ว่าสมญานามบุรุษผู้มีความเที่ยงธรรมคุณธรรมน้ำใจเป็นอันดับหนึ่งของต้าหัวของข้าไม่ได้มีอย่างเสียเปล่า เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ข้าจะปล่อยคนในเผ่าของเจ้าคนหนึ่งก่อน…นั่นน่ะ ที่ขาขาดน่ะ มองอะไร พูดถึงเจ้านั่นละ ก็เจ้านั่นละ! เจ้าไปได้แล้ว! พี่เกา ส่งไม้ค้ำให้มันสักอันหนึ่งเถอะ! ทุกคนออกมาหากิน ไม่ง่ายดายเลยนะ!”
พ่อค้าทูเจวี๋ยผู้นี้ระหว่างที่ปะทะกันเมื่อครู่ก็ถูกนายทหารต้าหัวฟันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาขาดทั้งสองข้าง เมื่อได้ยินหัวหน้าโจรเจาะจงว่าจะปล่อยตนเองไปก่อนก็พลันบังเกิดโทสะโจมตีจิตใจ ถ้าเขาเดินได้มารดามันจริงๆ ก่อนอื่นจะฟันเจ้าหน้าดำเช่นเจ้าก่อน ชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นด้วยความโมโหร่างจึงหงายหลัง สลบล้มไปทันที
“เอ๊ะ ตื่นเต้นจนเป็นลมไปแล้วหรือ?! เจ้านี่ก็ช่างไร้ศักดิ์ศรีแห่งชนเผ่าเสียจริง” หลินหว่านหรงมองมันด้วยสีหน้าดูถูก เปลี่ยนมาจ้องมองอวี้เจียพร้อมกล่าวยิ้มประจบ “เมื่อเทียบกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ของข้าก็ช่างต่างกันเสียเหลือเกิน…เอ๊ะ ซ้ายหนึ่ง ขวาหนึ่ง ช่างใหญ่สมดุลยิ่งนัก! น้องสาวอวี้เจีย ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว รูปร่างดีขนาดนี้เป็นเพราะดื่มนมวัวเป็นประจำใช่หรือไม่?! วัวนมนั่นบ้านของพวกเจ้าเลี้ยงเองอย่างนั้นหรือ ข้าก็อยากเลี้ยงบ้างน้า…”
…
เกาฉิวขนลุกอยู่ด้านข้าง ฟังคำพูดของน้องหลิน เขาถึงรู้จักหลักการที่ว่าห้วงมหรรณพแห่งความรู้ไร้ประมาณ ห้วงมหรรณพแห่งความลามกไร้ประมาณแล้ว
ฟังเขาพูดจาไร้สาระ ดวงหน้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยแดงระเรื่อ กัดฟัดกรอด กระโดดขึ้นรถม้าแล้วสะบัดผ้าม่านที่ห้อยลงมากระแทกใส่จมูกแม่ทัพหลิน
ยังรุนแรงยิ่งกว่าข้าเสียอีกนะ! หลินหว่านหรงลูบดั้งจมูกพร้อมส่ายหน้า เกาฉิวประชิดข้างใบหูเขาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะอย่างชั่วช้าและประจบสอพลอ “น้องหลินความคิดสูงส่ง สตรีทูเจวี๋ยเลี้ยงวัวนม นั่นมันช่างล้ำเลิศจริงๆ เลยนะ!”
เจ้าคนถ่อยคนนี้นี่! หลินหว่านหรงมองเขาด้วยความไม่พอใจคราหนึ่ง กล่าวตักเตือนเขาอย่างรุนแรง “พี่เกา ท่านต้องเลียนแบบข้านะ เป็นคนจะต้องเที่ยงธรรม ต้องมีอุดมคติ อย่าจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความต่ำช้า! คำชาวบ้านกล่าวได้ดี ยอดเขามีความลามกเป็นหนทาง บนทะเลไร้ประมาณมีการล่อลวงเป็นเรือ หลักการอันล้ำลึกเช่นนี้ ท่านต้องเข้าใจให้ถ่องแท้!”
เกาฉิวร้องอ้อยาวๆ คราหนึ่ง บังเกิดปัญญาขึ้นมาทันที
ชนเผ่านอกด่านนับร้อยคนนี้ถูกมัดจนหมดสิ้น แม้แต่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ปราศจากข้อยกเว้น ทีแรกชนเผ่านอกด่านที่ชื่อเฮ่อหลี่เย่คนนั้นยังคิดขัดขืน ต่อมาไม่รู้ว่าอวี้เจียไปพูดอะไรกับมัน มันถึงเชื่อฟังได้
ไพร่พลห้าพันนาย พาชนเผ่านอกด่านนับร้อยคนซึ่งจับได้กลางทางเดินทางมุ่งหน้าไปทางใต้อย่างรีบร้อน ตลอดทางหลินหว่านหรงระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อเดินทางได้หลายชั่วยาม กลับไม่พบแม้แต่เงาของทหารม้าทูเจวี๋ยแม้แต่คนเดียว บนทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างฟ้าดินเงียบสงัด คล้ายเหลือเพียงกองโจรทหารอันเดียวดายชาวต้าหัวกลุ่มนี้เท่านั้น
เมื่อคำนวณตามเวลาแล้ว ต่อให้ทหารม้าทูเจวี๋ยเป็นหอยทากก็น่าจะรู้ข่าวของปาเยี่ยนเฮ่าเท่อแล้ว แต่พวกมันกลับปราศจากความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย สถานการณ์อันน่าแปลกประหลาดนี้ทำให้ทุกคนกังวลขึ้นมาทันที
“ท่านแม่ทัพ พวกเราจะตัดผ่านอู่หยวนกลับไปยังเฮ่อหลานซานจริงหรือขอรับ?” หูปู้กุยตบก้นม้าศึกหนักๆ หลายครั้ง เดินไล่ตามหลินหว่านหรง เช็ดเหงื่อบนหน้าพร้อมเอ่ยถาม
ชนเผ่านอกด่านจำนวนสามแสนโอบล้อมเฮ่อหลานซาน ผืนดินหลายร้อยลี้เลียบอู่หยวน ตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าทหารอาชาเหล็กชาวทูเจวี๋ยตั้งแต่แรก หากตัดฝ่าวงล้อมชนเผ่านอกด่านสามหมื่นคนกลับไปยังเฮ่อหลานซาน นั่นคือคนบ้ากล่าวเรื่องเพ้อเจ้อ
“มิเช่นนั้นท่านว่าจะทำเช่นไร?” หลินหว่านหรงไม่ตอบเขา ย้อนถามด้วยท่าทีอันหนักอึ้ง “หรือว่าจะเลียบเทือกเขาขามาแล้วค่อยปีนกลับไป?”
เฮ่อหลานซานตะวันออกสูงตะวันตกต่ำ ตอนขามาพวกเขาข้ามตัดผ่านตะวันออกมาตะวันตก เดินลงต่ำมาตลอดทาง ผ่านยอดเขามาจำนวนนับไม่ถ้วน สูญเสียนักรบจำนวนมากถึงจะมาถึงทุ่งหญ้าได้ การเดินทางย้อนกลับทางเดิมนั้นทำไม่ได้ ยอดเขาสูงเสียดฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นลาดชัน ประหนึ่งดาบที่ตั้งตรง ลงได้แต่ขึ้นไม่ได้ หากมิใช่ปราการทางธรรมชาตินี้ ชนเผ่านอกด่านคงข้ามเฮ่อหลานซานมาโจมตีเมืองซิงชิ่งตั้งแต่แรกแล้ว
หูปู้กุยรู้เช่นกันว่าเดินกลับทางเดิมไม่ได้ แต่หากต้องการใช้ทหารห้าพันบุกฝ่าเข้าไปในกระบวนทัพศัตรูจำนวนสามแสน ต่อให้มีแม่ทัพหลินผู้วางแผนไม่เคยผิดพลาดนำทัพ นั่นก็ถือเป็นเส้นทางแห่งความตายอยู่ดี
ครุ่นคิดอยากลำบากก็ไร้ผลลัพธ์ ดังนั้นหูปู้กุยจึงไม่คิดให้มากความอีก อย่างมากก็ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ รบจนตัวตายบนทุ่งหญ้าอันกว้างขวางได้ นั่นถือเป็นเกียรติยศอันไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าของทหารต้าหัวแล้ว
“ท่านแม่ทัพ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าน้อยต้องการเตือนสักหน่อยขอรับ” หูปู้กุยมองไปบนรถม้าหลายครั้ง พูดกดเสียงต่ำว่า “สถานะของอวี้เจียคนนี้เกรงว่าคงไม่ธรรมดา”
“อ้อ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมเอ่ยถาม “ไม่ธรรมดาอย่างไร?”
หูปู้กุยสีหน้าหนักอึ้ง “ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องชาวทูเจวี๋ยที่ชื่อเฮ่อหลี่เย่ที่อยู่ข้างกายนางคนนั้น มีกำลังวังชามหาศาล มีแค่เหล่าเกาซึ่งต้องใช้พละกำลังทั้งหมดถึงจะสยบมันได้ แม้ข้าจะไม่รู้จักชื่อเฮ่อหลี่เย่นี้ แต่มีผู้กล้าทูเจวี๋ยผู้ดุดันเ**้ยมหาญติดตามเช่นนี้ สถานะของอวี้เจียจะธรรมดาได้อย่างไรกันล่ะขอรับ?!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะลามก “หรือว่าจะเป็นองค์หญิงทูเจวี๋ย?! หากเป็นจริง เช่นนั้นพวกเราก็รวยแล้ว ต่อให้เป็นราชบุตรเขยดาบทองไม่ได้ ข้าก็ต้องเป็นดาบทองตกเขียว ฮิๆ!”
“จับตัวองค์หญิงทูเจวี๋ยง่ายขนาดนี้เชียว?” เมื่อเผชิญกับความคิดลามกอันแกร่งกล้าของแม่ทัพหลิน เหล่าหูก็นิ่งอึ้งไป “อีกอย่าง องค์หญิงทูเจวี๋ยจะมาขลุกอยู่กับขบวนพ่อค้าได้อย่างไรกัน? นี่ไม่ใช่มาแสดงเป็นผู้กล้าในนิยายเสียหน่อยนะขอรับ”
เหล่าหูพูดมีเหตุผล หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ยิ่งอยากรู้สถานะของอวี้เจียสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่หูท่านพูดได้ดี” เขาตบบ่าเหล่าหูสองครั้ง แค่นเสียงออกมาหนักๆ “ดูท่าว่าคงต้องใช้เสน่ห์อันไร้เทียมทานหมื่นคนลุ่มหลงของข้าไปไต่สวนสักรอบแล้ว พี่หู เตรียมกระบองเขี้ยวหมาป่าเอาไว้ พาเยวี่ยหยาเอ๋อร์มา หึๆ มีข้าคนแซ่หลินออกโรง ข้าจะดูสิว่านางจะถอดหรือไม่ถอด…”
หูปู้กุยมองเขาทันที แม่ทัพหลินเลิกตาโพลงพร้อมพูดว่า “…พี่หู ท่านถลึงตามองข้าทำไมกัน! เฮ้อ ต้องเป็นเพราะท่านฟังผิดแน่ ข้าพูดว่าจะดูสิว่านางจะรับสารภาพหรือไม่! แบบนี้ก็ฟังผิดด้วย? เกิดเป็นคนความคิดต้องบริสุทธิ์!”
“ขอรับ ขอรับ” เหล่าหูเช็ดเหงื่อเย็นบนใบหน้า ชี้ไปยังรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ไกลๆ “ในรถของอวี้เจีย เมื่อครู่เหล่าเกาเพิ่งให้คนหามเสี่ยวหลี่จื่อเข้าไปในรถม้า ได้ยินว่านางกำลังลงมือรักษาอยู่ขอรับ”
อ้อ? หลินหว่านหรงสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก รีบควบม้าเข้าไปหา เพิ่งเลิกผ้าม่านขึ้นก็มองเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยถือมีดคมเล่มหนึ่งกำลังแทงไปที่หน้าอกหลี่อู่หลิง