ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 540.1
เมื่อตัดสินใจเส้นทางการเดินทัพได้แล้วก็ให้หูปู้กุยถ่ายทอดคำสั่งลงไป นายทหารคุ้นชินกับการเดินทัพพิสดารของแม่ทัพหลินมาตั้งแต่แรก การย้อนกลับหุบเขาเฮ่อหลานซานต้องตัดผ่านการปิดผนึกของชาวทูเจวี๋ยจำนวนสามแสน การเดินทัพเข้าทุ่งหญ้าก็ต้องเผชิญกับการโอบล้อมของชนเผ่านอกด่านเช่นกัน ความเสี่ยงเท่าเทียมกัน ถึงอย่างไรจะไปทางไหนก็ตายเหมือนกัน หากต้องถูกชาวทูเจวี๋ยหกหมื่นล้อมกระหนาบกำจัดโดยไร้ความหมาย ก็ไม่สู้เข้าสู่ทุ่งหญ้าแล้วสู้กันอย่างอึกทึกครึกโครมกันสักตั้งจะดีกว่า
ไพร่พลห้าพันเปลี่ยนทิศทางอย่างเงียบงัน เลือกเส้นทางซึ่งตรงข้ามกับเส้นทางขามาโดยสิ้นเชิง เดินทางย้อนศร ท่ามกลางราตรีอันเวิ้งว้าง เดินทางข้ามส่วนลึกของทุ่งหญ้าอันไร้ขอบเขต
หลินหว่านหรงพลันหันกลับไปมอง ม่านราตรีมืดมิดไปหมด มองไม่เห็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างทุ่งหญ้ากับทะเลทราย และยิ่งมองไม่เห็นหุบเขาเฮ่อหลานซานที่คำนึงหา
การไปครั้งนี้ห่างจากบ้านเกิดมากขึ้นไปเรื่อยๆ ชิงเสวียน เฉี่ยวเฉี่ยว คุณหนูใหญ่ หนิงเอ๋อร์ นางเซียน จิ้งจอกอัน… ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปหาพวกนางได้หรือไม่ ใจเขาพลันรู้สึกชอกช้ำ ดวงตารื้นขึ้นเล็กน้อย
เกาฉิวติดตามอยู่ข้างกายเขา เมื่อเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ความคิด อดพูดกล่าวปลอบใจออกมาไม่ได้ “น้องหลิน เจ้าวางใจ พวกเราต้องกลับไปได้แน่ ต่อให้ข้าเหล่าเกาต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องคุ้มครองเจ้าให้จงได้”
หลินหว่านหรงหัวเราะผงกศีรษะ ไม่เอ่ยวาจา เขาเหลือบมองแวบหนึ่ง เห็นรถม้าอันหรูหราซึ่งอยู่ท่ามกลางหมู่คณะคันนั้น เงียบงันอยู่นานจากนั้นถึงพูดขึ้นมาว่า “พี่เกา เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้จะต้องจับตามองให้ดี นางย่อมไม่ใช่หญิงธรรมดาอะไรแน่ ข้ามีลางสังหรณ์อย่างน่าประหลาด การเดินทางของเรานี้เกี่ยวข้องกับนางแล้ว”
เกาฉิวอืมคราหนึ่ง หัวเราะแล้วพูดว่า “ต่อให้นางจะร้ายกาจอีกสักเท่าใด นั่นก็เป็นสตรีอยู่ดีนี่นา ด้วยฝีมือในการจัดการสตรีของน้องหลิน เกรงว่าถึงเวลาจะร้องไห้ร่ำร้องขอให้เจ้ามีสัมพันธ์กับนาง เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้เช่นกัน ยังจะต้องกลัวนางอีกหรือ?”
สามประโยคของเหล่าเกานี้ไม่ทิ้งสันดานเดิมเลยนะ หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะพร้อมส่ายหน้า “พี่เกา ท่านผิดแล้ว ความคิดของสตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่ท่านคิดเช่นนี้แน่ ท่านจำเหตุการณ์ที่ช่วยรักษาเสี่ยวหลี่จื่อบนรถม้าได้หรือไม่?”
เหตุการณ์บนรถม้าเหล่าเกาจำได้อย่างแม่นยำ ฝีมืออันล้ำเลิศของน้องหลินทำให้คนต้องทอดถอนหายใจ เหล่าเกาอดหัวเราะลามกหลายครั้งไม่ได้ “จำได้ๆ สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นั้นถูกเจ้ากระเซ้าเย้าแหย่ เกือบจะหลบหนีไปด้วยความลนลาน น้องชายช่างฝีมือดีจริงๆ เลยนะ”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ “พี่เกา ท่านผิดอีกแล้ว หากข้าบอกว่าไม่ใช่ข้าที่กระเซ้านาง แต่เป็นนางที่กระเซ้าข้า ท่านเชื่อหรือไม่?”
“นางกระเซ้าเจ้า?!” เหล่าเกาได้ยินแล้วก็ตาค้าง บนโลกนี้ยังมีสตรีที่กล้ากระเซ้าน้องหลินอีกหรือ? เช่นนั้นการบำเพ็ญเพียรของนางต้องสูงส่งจนถึงขั้นไหนกันนะ
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “พี่เกา ท่านลองคิดดู พวกเราพูดกระเซ้าขนาดนั้นบนรถม้า เปลือกนอกของเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ดูเหมือนจะตื่นตระหนกโมโหเดือดดาล แต่สายตากลับกระจ่างใส ปราศจากความตื่นตระหนกใด คำพูดและการกระทำสงบเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ภายใต้สภาวะอารมณ์ไม่มั่นคงอย่างรุนแรงเช่นนี้ยังสงบจิตใจและอารมณ์รักษาอาการบาดเจ็บให้เสี่ยวหลี่จื่อ ปราศจากความผิดพลาดใดๆ นี่เป็นสภาวะจิตใจเช่นไรกัน? อย่าว่าแต่สตรีเลย ต่อให้เป็นเหล่าบุรุษเองจะหาคนที่หนักแน่นเช่นนี้ได้สักกี่คน แต่พวกเราดันไม่รู้ตัว นึกเอาเองว่ากระเซ้าเย้าแหย่อย่าสนุกสนานยิ่งนัก โดยที่ไม่รู้ตัวว่าด้านจิตใจแล้ว พวกเราต่างเป็นฝ่ายถูกเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้กระเซ้าต่างหาก!”
การวิเคราะห์นี้เกาฉิวฟังแล้วก็บังเกิดปัญญาขึ้นมาทันที “น้องหลิน เจ้าไม่พูดข้าก็นึกไม่ออกจริงๆ แม่สาวคนนี้หนักแน่นเกินไปจริงๆ ด้วย…อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว บนรถม้าน้องหลินกระเซ้าเย้าแหย่เช่นนั้นเป็นการจงใจทดสอบแม่หนูคนนี้?! นับถือๆ ความล้ำเลิศในการแสดงของน้องชาย แม้แต่ข้าเหล่าเกาพ่ายแพ้”
“ไม่ต้องพูดก็ได้” หลินหว่านหรงโบกมือถอนหายใจ “คนบนโลกต่างมองแค่เปลือกนอกที่ยโสโอหังไม่อยู่ในกรอบของข้า ไหนเลยจะเข้าใจจิตใจภายในอันร้อนแรงและจริงใจของข้าได้? ความสัปดนอย่างมีคุณธรรมเช่นนี้กลับถูกคนคิดว่าเป็นความอนาจาร…เฮ้อ ถูกคนเข้าใจผิดมามาก ข้าก็ชินมาตั้งนานแล้ว ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูด”
สัปดนอย่างมีคุณธรรมที่แสนดีเหลือเกิน! เกาฉิวผงกศีรษะเห็นใจอย่างยิ่ง น้องหลินไม่ใช่คนทำอะไรตามอำเภอใจจริงๆ ต้องรับเสียงก่นด่าไปกระเซ้าเย้าแหย่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ ทนรับความอยุติธรรมชั่วกัปชั่วกัลป์ ถึงกระนั้นกลับยังปลงได้ขนาดนี้ ช่างทำให้คนนับถือยิ่งนัก
หูปู้กุยรับบัญชาจากหลินหว่านหรง ให้หน่วยลาดตระเวนออกไปไกลๆ เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนทิศในการเดินทางเป็นต้นมา ทัพอันโดดเดี่ยวจำนวนห้าพันนายนี้ก็เล่นเกมแมวจับหนูกับชนเผ่านอกด่านแล้ว ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันเวิ้งว้าง สำหรับทุกคนแล้วถือเป็นการเดินทางอันแสนจะรางเลือนไม่รู้อนาคต ไม่มีใครรู้ว่าข้างหน้าจะมีสิ่งใดรอคอยพวกเขาอยู่กันแน่
เดินทางอย่างรวดเร็วเข้าไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้าอีกหนึ่งชั่วยามกว่าถึงจะตั้งค่าย เมื่อจัดการกับหน่วยลาดตระเวน เวรยามทั้งในที่ลับที่แจ้งทุกหน่วยพระจันทร์ก็ลอยประดับท้องฟ้าแล้ว หูปู้กุยชี้ไปยังแผนที่แล้วพูดว่า “ทหารทูเจวี๋ยสองหมื่นนายยามนี้อยู่ห่างจากพวกเราไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราวสามร้อยลี้ ด้วยความเร็วในการเดินทางของพวกมัน คาดว่าพรุ่งนี้เช้าก็จะถึงปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ข้าน้อยคิดว่าจะมีทหารจำนวนหนึ่งรั้งอยู่ที่นี่เพื่อซ่อมแซมเมือง ส่วนคนที่เหลือก็จะสะกดรอยตามต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายในการโอบล้อมพวกเราขอรับ”
“ไม่เลว ความเร็วของชนเผ่านอกด่านไม่ถือว่าช้า” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พูดเช่นนี้ พรุ่งนี้เช้าคนขาด้วนกับคนตาบอดที่พวกเราปล่อยไปนั่นก็จะรายงานร่องรอยของพวกเราแก่ชาวทูเจวี๋ย ‘อย่างแม่นยำ’ แล้ว”
หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ “ถึงตอนนี้ข้าน้อยถึงเพิ่งเข้าใจ ที่แท้การที่ท่านแม่ทัพปล่อยคนในเผ่าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ก็ยังมีความหมายลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในนั้นอีก คราวนี้ชาวทูเจวี๋ยจะต้องมีความมั่นใจต่อการโอบล้อมพวกเรามากยิ่งขึ้นแล้ว แม่นางน้อยผู้นั้นเกรงว่าแม้แต่ฝันก็ยังคิดไม่ถึงว่าคนในเผ่าของนางจะเป็นผู้ช่วยพวกเรา”
“ไม่แน่” หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยสีหน้าอันหนักอึ้ง “ด้วยความเจ้าเล่ห์ของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ นางไม่มีทางคิดไม่ถึงเรื่องนี้แน่ เพียงแต่พวกเราแยกนางจากคนในเผ่าของนาง นางถึงไม่อาจใช้แผนการได้”
หูปู้กุยรู้ความร้ายกาจของเยวี่ยหยาเอ๋อร์จากปากเกาฉิวตั้งแต่แรก ครั้นได้ยินจึงแค่นเสียงแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ตามความเห็นของข้าน้อย ไม่ว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นี้จะมีสถานะอะไร แต่นางต้องเป็นคนที่จัดการได้ยากอย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อขจัดเภทภัยในภายหลัง ไม่สู้รอให้นางรักษาเสี่ยวหลี่จื่อหายแล้ว…” เขาหยุดพูด เอามือมาวางไว้ที่คอ ทำท่ากรีดอย่างโหดเ**้ยมคราหนึ่ง
เกาฉิวใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย “เหล่าหู แม่นางน้อยผู้สะสวยถึงเพียงนี้ ท่ามกลางชาวทูเจวี๋ยหลายร้อยปีถึงจะมีสักคนหนึ่ง ฆ่าไปก็เสียดายยิ่งนัก ไม่สู้ให้ข้าวางยาทำให้นางสติเลอะเลือน ให้นางจดจำน้องหลินเพียงคนเดียวไปทั้งชาติ นั่นจะไม่ใช่ความน่ายินดีอันยิ่งใหญ่อีกหรือ?!”
หูปู้กุยกล่าวด้วยคาวมประหลาดใจ “พี่เกา มียาเช่นนี้จริงๆ หรือ? นั่นช่างดีเหลือเกิน”
เกาฉิวผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง “อืม รอให้สู้กับชนเผ่านอกด่านเสร็จและกลับไปแล้วข้าจะศึกษาให้ดี พยายามผสมตัวยาชนิดนี้ออกมาโดยเร็ววัน เหล่าหู ท่านจงรอคอยด้วยความอดทน”
พูดกับเจ้าคนนี้เท่ากับเสียเที่ยวเปล่า หูปู้กุยสถบมาคำหนึ่ง คร้านที่จะสนใจเขา
หลินหว่านหรงถอนหายใจ ยิ้มขื่นพร้อมพูดว่า “พี่หู ท่านมีความคิดเช่นนี้ เกรงว่าเสี่ยวหลี่จื่อคงไม่ฟื้นตลอดกาลแล้ว”
หูปู้กุยฉลาดเป็นกรดเช่นกัน พอได้ยินก็ตกใจทันที “ท่านแม่ทัพ ความหมายของท่านก็คือ เยวี่ยหยาเอ๋อร์จงใจทำให้เสี่ยวหลี่จื่อฟื้นไม่ได้?”
เกาฉิวเข้าใจประเด็นสำคัญนี้เช่นกัน สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ขึ้นมาทันที หากเป็นเช่นนี้ นั่นมันก็น่ากลัวเกินไปแล้ว
หลินหว่านหรงกล่าวแช่มช้า “สตรีชาวทูเจวี๋ยที่งดงามเช่นนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเรา ด้วยสติปัญญาและความฉลาดหลักแหลมของเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะต้องทิ้งอะไรไว้เพื่อปกป้องตัวเองแน่ พวกเราไม่อาจยืนยันได้ว่านางทำอะไรกับเสี่ยวหลี่จื่อหรือไม่ แต่สิ่งที่พวกเรายืนยันได้ก็คือนางมีความสามารถและวิธีการที่จะทำให้หลี่อู่หลิงฟื้นไม่ได้ตลอดกาลแน่นอน”
ประโยคสุดท้ายนี้เหมือนค้อนหนักที่กระแทกลงบนจิตใจของเหล่าเกาเหล่าหู แม่ทัพหลินพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย ขอให้สตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นี้มารักษาหลี่อู่หลิง เดิมทีก็เป็นเรื่องที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงร่วมกันอยู่แล้ว พวกเขาอาศัยคนในเผ่าของอวี้เจียมาข่มขู่อวี้เจียได้ แต่อวี้เจียจะไม่อาศัยหลี่อู่หลิงมาข่มขู่พวกเขาได้หรือ? หรือว่าจะไม่ต้องสนใจความปลอดภัยของเสี่ยวหลี่จื่อ ฆ่าคนในเผ่าของอวี้เจียจนหมดสิ้น? คำพูดนี้ทำได้แค่ขู่คนเท่านั้น พวกเขากับอวี้เจียโดยพื้นฐานแล้วมีความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างควบคุมและถูกควบคุม ต้องดูว่าใครร้ายกาจกว่ากันเท่านั้นเอง