ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 540.2
หูปู้กุยกับเกาฉิวฟังแล้วก็หัวสมองพองโต ทางแจ้งเป็นพวกเขาที่ควบคุมอวี้เจีย แต่ทางลับอวี้เจียไม่ได้ควบคุมพวกเขาอยู่หรอกหรือ? ที่แท้เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ เหตุใดพออยู่บนทุ่งหญ้าก็ต้องเจอแม่นางน้อยที่ร้ายกาจมากขนาดนี้ คนที่ทั้งมีความกล้าหาญ ทั้งมีสติปัญญาเช่นนี้ ยังปล่อยไว้ได้อีกหรือ
“น้องหลิน ข้ารู้สึกว่าพวกเราเหมือนตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว” เกาฉิวเงียบอยู่นาน จากนั้นถึงแค่นเสียงพร้อมกล่าวประโยคนี้ออกมา เหล่าหูผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง คล้ายมีปัญหาด้วยเช่นกัน
ครั้นเห็นพี่ชายทั้งสองรู้สึกเสียกำลังใจอยู่บ้าง หลินหว่านหรงก็หัวเราะฮ่าๆ พร้อมเอ่ยว่า “จะตกหลุมพรางอะไรได้? อย่างมากก็แผนหญิงงาม พี่ชายทั้งสองอย่าลืมสิว่าต่อให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้จะร้ายกาจอีกสักเพียงใด แต่นางก็เป็นสตรีอยู่ในกำมือพวกเรา ข้าขอพูดอย่างถ่อมตัว สัตว์เพศเมียสองขาบนโลกนี้ไม่มีที่ข้าจัดการไม่ได้”
นี่คือถ่อมตน? เหล่าหูเหล่าเกาสองคนต่างมองหน้ากัน เจ้าขี้โม้ล่ะสิ…เช่นนั้นลิงตัวเมียกับลิงซิงซิง[1] ตัวเมียเจ้าก็จัดการได้ด้วยหรือ? ข้าว่าเจ้าจะถูกจัดการมากกว่า
แม้จะบอกว่าเกาฉิวยกย่องชมเชยน้องหลินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ยามนี้ก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้ “น้องชาย เจ้ามั่นใจเช่นนี้จริงหรือ เจ้าอย่าลืมนะว่าฮูหยินทุกคนของเจ้าต่างเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของตัวหัวเรา สิ่งที่ชื่นชอบล้วนเป็นกลอนเป็นฉือเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรพวกนั้น บวกกับเจ้าหล่อเหลาสง่างาม สำรวยกรุ้มกริ่ม ถึงได้ชนะไร้พ่าย โจมตีไร้ล้มเหลว แต่สตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกนางล้วนเป็นม้าป่าบนทุ่งหญ้า สิ่งที่บูชาคือความสามารถในการต่อสู้ สิ่งที่เคารพเทิดทูนก็คือวีรบุรุษ บุรุษที่ชอบมากที่สุดคือหน้าตาหยาบกระด้างดุร้ายกับแก้มที่มีหนวดเครา เรื่องพวกนี้ไม่ใช่จุดแข็งของเจ้า หากต้องการขี่ม้าป่าเช่นนี้…ข้าว่าอย่าพูดเรื่องความรักเลย ใช้ยายังจะเหมาะกว่าอีก”
“ใช่แล้วขอรับ ใช้ยายังจะดีกว่า…” หูปู้กุยหลุดปากพูดออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าในบัดดล “ไม่ได้ๆ ตัวของเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้เป็นหมอ คุ้นเคยกับฤทธิ์ยามากกว่าผู้ใด ใช้ยาเกรงว่าจะไม่สำเร็จ ตามความเห็นของข้าใช้กำลังยังจะดีกว่า เช่นนี้นางก็หมดหนทางขัดขืนแล้ว ร้องห่มร้องไห้สักหลายวันก็ผ่านไป ผู้หญิงนี่น้า เป็นแบบนี้ทั้งนั้น อย่างที่ว่ากันไว้ ความรักเป็นส่วนเสริม ใช้กำลังเป็นเรื่องหลัก!”
พอสนทนาถึงเรื่องสัปดน ความกังวลที่มีอยู่ก่อนหน้าของเจ้าสองคนนี้ก็ล้วนหายเกลี้ยง หน้าชื่นตาบาน ความคิดชั่วร้ายออกมาไม่รู้จักจบสิ้น ทำให้หลินหว่านหรงหัวเราะร้องไห้ไม่ออก ตอนศึกษายุทธพิชัยสงครามเหตุใดไม่เห็นพวกเจ้าคึกคักขนาดนี้? กลับเป็นประโยคที่ว่า ‘ตกหลุมพราง’ ก่อนหน้านี้ของเหล่าเกาที่ทำให้เขารู้สึกรางๆ เหมือนกัน แต่เมื่อครุ่นคิดให้ละเอียดอีกครั้งก็ไม่รู้สึกแล้ว
เหล่าเกาเหล่าหูสองคนปรึกษากันถึงกลางดึก เกิดความคิดนับไม่ถ้วน ถึงกระนั้นก็ยังหาวิธีการที่จะสยบเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้สักอย่างเดียว ทั้งสองถึงเข้าใจความยิ่งใหญ่ของแม่ทัพหลิน อย่างที่ว่ากันไว้ บนเวทีหนึ่งนาที ด้านล่างเวทีใช้เวลาสิบปี เมื่อหวนนึกถึงการพูดคุยอย่างสำราญบานใจเพื่อได้ใจคุณหนูทุกท่านของแม่ทัพหลิน ดูเหมือนง่ายดายราวหยิบของออกมาจากถุง ทว่าเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่นี้กลับแฝงด้วยหยาดเหงื่อแห่งความยากลำบากมากมาย น่านับถือน่าทอดถอนใจเสียจริง
ให้เจ้าสองคนนี้คิดสกปรกไปก็แล้วกัน หลินหว่านหรงคร้านจะพูดมากกับพวกเขาแล้ว เดินสาวเท้ามุ่งตรงไปยังกระโจมที่จัดให้หลี่อู่หลิง
ตอนนี้ความปลอดภัยของเสี่ยวหลี่จื่อสำคัญยิ่งกว่าอื่นใด กระโจมนั้นตั้งอยู่กึ่งกลางค่าย อยู่ติดกับกระโจมใหญ่ของหลินหว่านหรง รอบด้านของทางเข้ามีเวรยามเฝ้าอยู่สิบกว่านาย เฝ้าระวังเข้มงวดเป็นพิเศษ
“ท่านแม่ทัพ!” เมื่อเห็นเขาค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามา ทหารยามทั้งหลายก็ต่างตื่นตัว รีบแสดงการคารวะทันที
“พี่น้องทุกคนลำบากแล้ว” หลินหว่านหรงผงกศีรษะเล็กน้อย เพิ่งเลิกผ้าม่านเข้าไปก็เห็นเงาสีขาวขยับวูบอยู่ตรงหน้า สายลมสดชื่นเบาบางผ่านร่าง ประหนึ่งหงส์บินโฉบไป
“ใคร?!” ด้วยความตกใจอย่างยิ่ง หลินหว่านหรงเคลื่อนไหวเร็วรี่ ชักดาบยาวออกจากฝักดังขวับ ฟันออกไปทันที การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเป็นชุดของเขานี้เกิดจากการฝึกฝนบนสนามรบ ทั้งแม่นยำทั้งรุนแรง แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยก็ยังสู้ไม่ได้ ถือว่ารวดเร็วและรุนแรงยิ่งนัก
ดาบนี้พอฟันลงไปก็บังเกิดเสียงลมดังหวีดหวิว พละกำลังเต็มที่ แม่นยำเหลือล้น เพียงแต่ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล คมดาบมิได้หยุดยั้ง ฟันลงไปตรงๆ ทว่ากลับฟันโดนอากาศ เมื่อมองข้างหน้าอีกคราก็เวิ้งว้างว่างเปล่า อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่เงาของแมลงวันสักตัวก็ไม่มี
“ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ?” ทหารยามที่อยู่ข้างนอกส่งเสียงตวาดดังลั่น รีบบุกเข้ามา เห็นเพียงแม่ทัพหลินใช้สองมือกุมดาบ ใบหน้าตื่นตระหนก สีหน้าตื่นตะลึงอย่างหาที่เปรียบมิได้
หลินหว่านหรงหอบหายใจยาวๆ “พวกเจ้าเฝ้าอยู่นอกกระโจมเห็นใครบุกเข้ามาหรือไม่?!”
ทหารยามทั้งหลายต่างรีบส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ คืนนี้ตั้งแต่ตั้งค่าย นอกจากท่านกับแม่ทัพเกาแม่ทัพหูที่มาเยี่ยมก่อนหน้านี้แล้ว ก็ปราศจากผู้ใดเข้าใกล้กระโจมหลังนี้อีก”
หลินหว่านหรงมองประเมินกระโจมอย่างละเอียด หลี่อู่หลิงนอนอยู่บนเตียงทหารด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ใบหน้าขาวซีด ทว่ากลับปราศจากความผิดปกติ เพียงแต่ผ้าพันแผลที่ห่อหุ้มร่างเมื่อเห็นแล้วก็ทำให้ตกใจ นี่เป็นบาดแผลที่หลินหว่านหรงเปลี่ยนยาพันผ้าให้เสี่ยวหลี่จื่อด้วยตนเองตอนตั้งค่ายในคืนนี้ เขาย่อมจำได้อย่างชัดเจน
ข้างหน้ายังวางชามยาอยู่ชามหนึ่ง ภายในกระโจมอบอวลด้วยกลิ่นยาเข้มข้น นอกจากนี้ก็ไม่เห็นสิ่งใดเป็นพิเศษอีก!
หรือว่าข้าจะตาฝาด? หลินหว่านหรงเต็มไปด้วยความสงสัย เก็บดาบอย่างแช่มช้า เดินอย่างเร็วรี่ไปยังหน้าที่นอนของเสี่ยวหลี่จื่อ
หลี่อู่หลิงสองตาปิดสนิท ใบหน้ายามหลับสงบสุข ใบหน้าที่ยังอ่อนวัยเล็กน้อยกับริมฝีปากแห้งแตกเล็กน้อยเพราะขาดน้ำ เมื่อเอามือแตะหน้าผากเขา แม้จะร้อนอยู่บ้าง แต่ก็ค่อยๆ ทุเลาลงไปแล้ว
ปราศจากความผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น หรือว่าจะเดินทัพจนเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนตาฝาด? หลินหว่านหรงอดจะขยี้ตาไม่ได้ ทหารยามทั้งหลายพอเห็นแม่ทัพหลินทั้งลูบทั้งดมตากลอกไปมาก็คิดไม่ออกว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ค้นหาอย่างละเอียดอยู่นานก็ปราศจากร่องรอยผิดปกติโดยสิ้นเชิง หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้น หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรๆ ข้าแค่ทดสอบความตื่นตัวของพี่น้องทุกคนเท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่าพี่น้องทั้งหลายปราศจากความหวาดกลัว ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ข้าก็รู้สึกยินดียิ่ง”
เมื่อเดินออกมาจากกระโจมของหลี่อู่หลิง เขาก็เหลียวมองโดยรอบด้วยความตื่นตัว เงียบสงัดไปหมด นอกจากเสียงฟืดฟาดของม้าศึกที่ลอยเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก
เพื่อดูแลชาวทูเจวี๋ยที่เหลืออยู่อีกหลายสิบคนอย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงถูกแบ่งกระจายกันไป กลายเป็นกลุ่มย่อยสิบกลุ่มแย่งกันควบคุมดูแล ชายฉกรรจ์ชาวทูเจวี๋ยที่ชื่อเฮ่อหลี่เย่ยิ่งถูกมัดอย่างแน่นหนา มีผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของหูปู้กุยเฝ้าด้วยตนเอง มีเพียงเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่อยู่ภายในกระโจมอย่างโดดเดี่ยว อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล อีกทั้งสี่ด้านมีเวรยามเฝ้าจำนวนมาก ไม่ให้นางเล่นลูกไม้อะไรออกมาได้
ต่อให้กำจัดปัจจัยที่คาดคิดได้จนหมดสิ้น ก็ไม่อาจคิดผลที่จะตามมาได้อยู่ดี ดังนั้นจึงคร้านที่จะเปลืองความคิด หากเป็นเรื่องดีก็ไม่ใช่เรื่องร้าย หากเป็นเรื่องร้ายก็หลบไม่พ้น กลับบ้านนอนให้เร็วสักหน่อยยังจะดีกว่า
เขาเพิ่งสาวเท้าออกไปก็ได้ยินเสียงขลุ่ยหยกแผ่วเบาหลายครั้งลอยเข้ามาจากที่ไกลๆ ท่วงทำนองนั้นสงบสุขแผ่วเบา คล้ายมาจากฟากฟ้า ท่ามกลางเสียงแผ่วเบาแฝงความเศร้าสร้อยอยู่บ้าง คล้ายหยาดน้ำค้างยามวสันต์ หยดเปาะแปะ ตกกระทบผลผีผาเบาๆ
เดินไปได้หลายก้าวก็เห็นร่างอันสงบนิ่งร่างหนึ่งกำลังหันหลังให้ตนเองอยู่บนทุ่งหญ้าไกลๆ เมื่อถอดหมดไหมทองลง เรือนผมงามอันเรียบลื่นประดุจเมฆาก็สยายลงมาตามธรรมชาติ ราวกับฝูงดาวตกที่ร่วงหล่นลงจากทางช้างเผือก ชุดกระโปรงยาวชนเผ่านอกด่านพื้นดำขลิบทองแผ่สยายอยู่บนทุ่งหญ้า เงาร่างอันงดงามล้ำเลิศนั้นเหมือนดั่งบุปผาทองคำที่อยู่บนทุ่งหญ้า เบ่งบานเต็มที่ภายใต้แสงจันทร์อันขาวบริสุทธิ์
ขลุ่ยของชนเผ่านอกด่านเลาหนึ่งแตะที่ริมฝีปากนาง เสียงดนตรีกระจ่างใสกระโดดออกมาจากเครื่องเป่า บางครั้งก็รวดเร็วมีความสุขสนุกสนาน บางครั้งก็หนักอึ้งแช่มช้า ราวกับสายลมในทะเลทรายที่พัดผ่านใบหน้านาง
คิดจะยั่วยวนข้า? ไม่มีทาง! มองดูเงาร่างอันอรชรอ้อนแอ้นนั้น หลินหว่านหรงกลืนน้ำลายอย่างแรง!
——
[1] ลิงซิงซิง หมายถึงลิงอุรังอุตัง