ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 540.3
“คนหนุ่มใจต้องตั้งมั่นในปณิธาน ผู้ใดใคร่นั่งทอดถอนอย่างเดียวดาย…” เขาหัวเราะร่าย่ำหนักๆ ไปสองก้าว เหยียบหญ้าสีเขียวนั้นจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ “ค่ำคืนอันแสนจะยาวนาน ผู้ใดเล่าจะร่วมนอนเคียงคู่ข้า…เอ๊ะ นี่ไม่ใช่แม่นางอวี้เจียหรอกหรือ? เจ้าก็นอนไม่หลับหรือไง?”
สาวน้อยทูเจวี๋ยค่อยๆ หันร่างกลับมา ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนๆ ดวงตาทั้งคู่ของนางล้ำลึกดั่งสายน้ำ ถึงกระนั้นกลับแฝงด้วยความดื้อด้านยากจะสยบลงได้อย่างหนึ่งอีกด้วย คราบน้ำตากระจ่างใสสองสายมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดวงหน้าขาวบริสุทธิ์ประดุจหยกงดงามน่าลุ่มหลงดั่งจันทราบนท้องฟ้า
โอ๊ยๆ หลินหว่านหรงอดมีอารมณ์ตึงเครียดไม่ได้ ใครบอกว่าทูเจวี๋ยไร้หญิงงาม? เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ก็ช่างให้ความรู้สึกแปลกใหม่เสียจริง
“เจ้ามาทำอะไร?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาคราหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
“ผิดแล้วๆ ประโยคนี้น่าจะเป็นข้าที่พูดกับเจ้าถึงจะถูก” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “แสงจันทร์ในคืนนี้งดงามถึงเพียงนี้ สาดส่องจนข้านอนไม่หลับ พอดีนิสัยสัตว์ป่าของข้ากำเริบต้องการร่ายโคลงกลอนสักหลายบท…อา ทะเลทรายแลทุ่งหญ้าแจ่มจำรัส แม่นางอวี้เจียผิวขลุ่ย ชื่นชอบบุปผาส่องผิวน้ำยามวสันต์ ยามแย้มสรวลดั่งจันทร์สาดส่องทะเลทรายขาวเจิดจ้า…อา กลอนดีๆ หรือว่าแม่นางอวี้เจียจะถูกกลอนของข้าดึงดูดใจเข้าเสียแล้ว หากพูดตามภาษาของต้าหัวเราะ นั่นคือบุพเพสันนิวาส ขี้บุพเพสันนิวาสที่ร่วงหล่นจากฟ้า”
“บุพเพสันนิวาสอะไรกัน?!” อวี้เจียหัวเราะอย่างเย็นชา “พวกเราทูเจวี๋ยกับพวกเจ้าชาวต้าหัวเดิมทีก็เป็นศัตรูคู่แค้นกันอยู่แล้ว เจ้าจับคนในเผ่าของข้า บีบบังคับให้ข้ารักษาคนต้าหัว วิธีการอันต่ำช้าเช่นนี้ก็ช่างหมิ่นเกียรติของชาวต้าหัวอันยิ่งใหญ่ของเจ้าเสียจริง”
หลินหว่านหรงโบกไม้โบกมืออย่างไม่แยแส เดินเข้าไปใกล้นางแล้วนั่งกระแทกก้นลงกับพื้น “ต่ำช้าไม่ต่ำช้าไม่ใช่แม่นางอวี้เจียพูดแล้วก็ตัดสินได้ จะว่าไป เจ้าก็ไม่ได้แอบทำอะไรกับร่างพี่น้องของข้าเช่นกันหรอกหรือ?”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ขยับร่างให้ออกห่างจากเขา แค่นเสียงเย็นชาออกมาคราหนึ่ง ในส่วนลึกของดวงตากลับมีประกายเย็นเยียบออกมาให้เห็นรางๆ
หลินหว่านหรงหรี่ดวงตาทั้งสองข้าง ยิ้มเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “ไม่ต้องให้เจ้ายอมรับทุกคนก็รู้แก่ใจดี อย่างเช่นเหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงมาโผล่อยู่ตรงหน้าข้า ไม่ต้องถามขั้นตอน แค่มองผลลัพธ์ก็ได้แล้ว”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์เล่นขลุ่ยหยกที่อยู่ในมือ แค่นเสียงออกมาอย่างดูแคลน “อย่านึกว่าตัวเจ้าฉลาดมากมายขนาดนั้น ฝูงหมาป่าบนทุ่งหญ้าไม่มีวันสู้นายพรานผู้ชาญฉลาดได้ตลอดกาล”
“อย่างนั้นหรือ? นี่เป็นสำนวนของทูเจวี๋ยด้วยหรือ?” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ดี เกี่ยวกับหมาป่า ต้าหัวเราก็มีสำนวนอันโด่งดังอยู่ประโยคหนึ่งเช่นกัน เรียกว่าหมาป่าเจ็ดครั้ง ความหมายก็คือบุรุษต้าหัวเราในคืนหนึ่งกลายร่างเป็นหมาป่าดุร้ายได้ถึงเจ็ดตัว ทุ่งหญ้าของเจ้ามีนายพรานที่ร้ายกาจขนาดนี้หรือไม่?”
“หน้าไม่อาย!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่งเสียงตำหนิด่าทอด้วยโทสะหลายครั้ง ใบหูเป็นสีชมพูอย่างชัดเจน เห็นชัดว่าฟังสำนวนอัน ‘โด่งดัง’ นี้ออก
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ออกมาสองครา สีหน้ากลายเป็นเย็นชาในบัดดล “บอกมาตามตรงเถอะ คุณหนูเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าไม่สนชาติกำเนิดของเจ้า ที่มาของเจ้าได้ ข้าปล่อยคนในเผ่าของเจ้าได้ ข้าหวังเพียงว่าเจ้าจะไม่เล่นลูกไม้กับร่างพี่น้องของข้า ข้าหวังให้เขาฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพวกเรา”
นี่ก็ถือว่าเขาแบไต๋เล็กน้อยแล้ว เมื่อเผชิญกับสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้ฉลาดเฉลียวเช่นเยวี่ยหยาเอ๋อร์นี้ หากต้องปิดบังก็ไม่สู้ใช้การรุกแทนการรับ ดูไพ่ของนาง
อวี้เจียแค่นเสียง จ้องมองเขาอย่างเย็นชา “อย่าเหมาว่าทุกคนจะต่ำช้าเยี่ยงโจรเช่นพวกเจ้า จิตใจของพวกเราชาวทูเจวี๋ยกว้างขวางเกินกว่าที่พวกเจ้าจะคิดจินตนาการได้”
“ใช่ๆ กว้างขวางจริงๆ” โจรต่ำช้าจ้องมองหน้าอกอัน ‘กว้างขวาง’ ของนางอย่างมีโทสะ น้ำลายหยดติ๋งๆ ดวงตาสาดประกาย
อวี้เจียใบหน้าเย็นชา นัยน์ตาสีฟ้าแฝงแววเย็นชา “คนในเผ่าสองคนของข้าที่เจ้าปล่อยไปก่อนหน้านี้ ทำเพื่อเจตนาใดเชื่อว่าเจ้ารู้ดียิ่งกว่าข้า เป็นผู้ใดที่ใช้ลูกไม้ ชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้ารู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าคนที่เจ้าเล่ห์ต่ำช้าไร้ยางอายเช่นเจ้านี้เป็นหัวหน้าของชาวต้าหัวได้อย่างไร”
ความดูถูกและดูแคลนที่มีต่อเขาของสาวน้อยทูเจวี๋ยปรากฏให้เห็นชัดเจน สิ่งนี้ย่อมมาจากอคติที่มีมาตั้งแต่เกิดต่อต้าหัว ไม่เกี่ยวกับเปลือกนอกอันต่ำช้าเช่นโจรนี้แม้แต่น้อย
ถือว่าเจ้าชมข้าแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ อารยธรรมต้าหัวเรายอดเยี่ยมยิ่งใหญ่หลากหลาย ดูท่าว่าเจ้าคงไม่ได้รับรู้อย่างลึกซึ้ง แต่ก็นะช่วยไม่ได้ เจ้าพูดภาษาต้าหัวอย่างคล่องแคล่วได้ไม่กี่ประโยคก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมมากแล้ว ใช่แล้วล่ะ ดูจากวิชาแพทย์และภาษาต้าหัวของเจ้าล้วนเชี่ยวชาญเช่นนี้ เจ้าเคยไปศึกษาที่ต้าหัวเราหรือไม่? แต่ไม่รู้ว่าสถานศึกษาใดที่ได้รับเกียรติ อาจารย์คือผู้ใด? สวีเว่ยเจ้ารู้จักหรือไม่? เหมยก้วนชิวล่ะ…อีกทั้งยังมีกู้ซุ่นจางอีก…”
เขาถามชื่อคนต่อเนื่องหลายคน ท่าทางสนอกสนใจยิ่งนัก เยวี่ยหยาเอ๋อร์ไหนเลยจะดูความคิดเขาไม่ออก ทั้งไม่ส่ายหน้าและไม่ผงกศีรษะ ยิ้มเย็นชาไม่เอ่ยวาจา
ใช้เรี่ยวแรงไต่ถามจนหมดสิ้นแล้ว นังหนูนี่กลับทำตัวเป็นแผ่นเหล็ก ไม่หลุดออกมาสักคำเดียว หลินหว่านหรงแอบเดือดดาล พูดพลางหัวเราะฮิฮะ “อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าต้องนัดแนะกับพ่อรูปหล่อชาวต้าหัวที่เป็นคนรักของเจ้าแน่ เจ้าเตรียมที่จะหนีตามเขาไป ถึงได้พากเพียรเรียนการแพทย์และภาษาต้าหัวของพวกเรา ไม่เลวๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง!”
ฟังเขากล่าววาจาเหลวไหล อวี้เจียผู้นั้นก็อดจะโมโหไม่ได้แล้ว “ใครหนีตามชาวต้าหัวของเจ้ากัน? สตรีแห่งทุ่งหญ้าเช่นพวกเราถวิลหาคือผู้กล้าไร้เทียมทาน บุรุษต้าหัวเช่นพวกเจ้าขี้ขลาดขวัญอ่อน เฉกเช่นดอกฝ้ายป่าในทุ่งหญ้า แค่เหยียบย่ำลงไปก็อ่อนยวบแล้ว ใจไม่สู้!”
“เอ่อ แม่นางอวี้เจียกล่าวผิดมหันต์แล้ว” หลินหว่านหรงกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล “เหตุใดเจ้าถึงใช้ต้นไม้เล็กอันแห้งเ**่ยวต้นหนึ่งไปทำให้ป่าอันรักชัฏต่ำต้อยลงไปด้วยเล่า ไม่พูดถึงอื่นไกล เจ้าดูข้าสิ ข้าอ่อนหรือว่าแข็ง? ข้าไม่สู้หรือไม่?”
“เจ้า?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงออกทางจมูก? “ใจสู้กลับมีอยู่บ้าง ถึงกระนั้นกลับเอาไปใช้กับเบื้องล่างจนหมด”
การวิจารณ์เช่นนี้กลับสลักฝังแน่นถึงใจแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังโดยไม่รู้สึกรู้สา “แม่นางอวี้เจียมีสายตาดี มองทะลุถึงกระดูกคนจริงๆ หากมิใช่พวกเราสองคนเจอกันครั้งแรก ข้าต้องนึกว่าเจ้าเคยพบข้ามาก่อนแน่ จะว่าไปคุณหนูอวี้เจีย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยได้ยินชื่อของข้าหรือไม่?”
“ซานเกาซื่อ…อัวเหล่ากง” อวี้เจียตอบอย่างดูแคลน “ชื่อน่าเกลียดขนาดนี้ ข้าอยากได้ยินมันไปทำไม?”
หลินหว่านหรงพูดพร้อมกลั้นหัวเราะ “เรียกนานเข้าก็ไม่น่าเกลียดแล้ว พูดเช่นนี้ก่อนหน้านี้แม่นางอวี้เจียก็ไม่เคยได้ยินชื่อข้ามาก่อน น่าเสียดายๆ ดูเจ้าเข้าอกเข้าใจข้ามากขนาดนี้ ข้ายังนึกว่าเจ้าศึกษาตัวข้าอย่างยากลำบากมาก่อนนะนี่”
คำพูดของเขานี้คล้ายตั้งใจทั้งคล้ายไม่ตั้งใจ พูดออกมาอย่างนั้น ทำให้อวี้เจียผู้นั้นอดนิ่งอึ้งไปไม่ได้ นัยน์ตาสีฟ้าล้ำลึกประดุจสายน้ำ
หลินหว่านหรงจ้องมองดวงตาคู่นั้นของนาง กล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ที่จริงแล้ว ที่ทูเจวี๋ยข้ามีสหายที่ไม่ถึงขั้นเป็นสหายผู้หนึ่ง เขาชื่อลู่ตงจ้าน เป็นคนที่ฉลาดมาก แต่ว่าแม่นางอวี้เจียเจ้ายังลาดกว่าเขาเสียอีก น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้ารู้จักลู่ตงจ้านหรือไม่?”
อวี้เจียสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน กล่าวออกมาอย่างแช่มช้าว่า “ใต้เท้าลู่ตงจ้าน ราชครูผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุ่งหญ้า ต่อให้เป็นชาวบ้านทูเจวี๋ยจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไรกันเล่า?”
“ที่แท้เจ้าก็รู้จักเขา” หลินหว่านหรงหัวเราะแฝงความนัยลึกซึ้ง “ก็ดี มีเวลาว่างเมื่อไหร่รบกวนเจ้าบอกเขาแทนข้าด้วย บอกว่าข้ายินดีต้อนรับให้เขาเป็นแขกที่ต้าหัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ข้าจะไม่แย่งหญ้าแสบจมูกจากเขาอีกแล้ว ใช่แล้วล่ะ สถานที่เพาะปลูกหญ้าแสบจมูกนั่นชื่ออะไรนะ อาเอ่อร์ไท่ซาน เคอปู้ตัว สถานที่ดี สถานที่ดี!”
เขาจ้องมองเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ส่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาดราวกับหมาป่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
มือน้อยของอวี้เจียสั่นระริก ความเย็นวาบเอ่อท้นขึ้นมาภายในจิตใจ นางพลันคลี่ยิ้มออกมา ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ชาวต้าหัวที่คิดว่าตัวเองฉลาด ที่แท้เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ลู่ตงจ้านส่งมา”
คิดไม่ถึงว่ากลับถูกแม่หนูคนนี้เป็นฝ่ายเปิดโปงก่อน หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะเย็นชา “หรือว่าไม่ใช่?”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่งเสียงหัวเราะกระจ่างใสออกมาเป็นชุด กรีดผ่านความเงียบสงัดยามราตรี ลอยล่องไปยังกระโจมทั้งไกลทั้งใกล้ ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ทำให้ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนหันมามองทางนี้
เหล่าเกากับเหล่าหูยื่นศีรษะออกมาจากกระโจมของตัวเองจากที่ไกลๆ มองมาทางนี้หลายครั้ง เมื่อเห็นเงาร่างของหลินหว่านหรงชิดข้างกายเยวี่ยหยาเอ๋อร์ดวงตาก็พลันเปล่งประกาย ชี้นิ้วโป้งขวับๆ พร้อมกัน หัวเราะอย่างต่ำช้าและคลุมเครืออย่างเหลือล้น มีเพียงผีสางถึงรู้ว่าเจ้าคนลามกสองคนนี้คิดไปถึงที่ใดแล้ว
แม่เอ๊ย! ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ใส่ความข้านะ! เมื่อเห็นท่าทางได้ใจของสาวน้อยทูเจวี๋ยแล้ว หลินหว่านหรงจึงอดถามไม่ได้ “เจ้าหัวเราะอะไร? ทำลายการนอนของผู้อื่น สร้างการคาดเดาไม่มีที่สิ้นสุด ปัญหานี้หนักหนามากนะ เจ้ารู้หรือไม่?!”
อวี้เจียหยุดเสียงหัวเราะ มองเขาคราหนึ่ง “ชาวต้าหัวที่คิดว่าตัวเองฉลาดเอ๋ย อย่าใช้ความคิดอันคับแคบของเจ้ามาประเมินผู้อื่น ข้าขอสาบานด้วยนามของเทพแห่งทุ่งหญ้า ราชครูลู่ตงจ้านไม่ได้ส่งข้ามาแน่นอน”
เทพแห่งทุ่งหญ้าภายในจิตใจชาวทูเจวี๋ยมีสถานะเหนือใดเปรียบ เยวี่ยหยาเอ๋อร์สาบานเช่นนี้ หรือว่านางจะไม่ได้ถูกลู่ตงจ้านส่งมาจริง? ถูกอวี้เจียก่อกวน หลินหว่านหรงงุนงงขึ้นมาทันที แม้เขาจะมีประสบการณ์จีบสาวมานับไม่ถ้วน แต่เมื่ออยู่หน้าสาวน้อยทูเจวี๋ยอวี้เจียผู้นี้แล้วกลับรู้สึกเหมือนใช้ดาบใหญ่ฟันปุยฝ้าย ใช้ไปก็เสียแรงเปล่า
ความรู้สึกอันตรายอย่างรุนแรงเอ่อท้นขึ้นมาภายในจิตใจ หลินหว่านหรงผุดลุกขึ้นทันที กล่าวอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “คุณหนูหมอเทวดา เจ้าช่วยเสี่ยวหลี่จื่อให้ฟื้น ข้าจะปล่อยเจ้ากับคนในเผ่าของเจ้าไป…ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ทันที!”
อวี้เจียก็ลุกขึ้นเช่นกัน จ้องตาเขาโดยปราศจากความกริ่งเกรง “ให้พี่น้องเจ้าฟื้นตอนนี้? ขอโทษด้วย ด้วยวิชาแพทย์ของอวี้เจีย ข้าทำไม่ได้ แน่นอนว่าเจ้ายังเลือกที่จะปล่อยข้ากับคนในเผ่าข้าตอนนี้ได้ หากเป็นเช่นนี้จริง อวี้เจียจะซาบซึ้งเป็นล้นพ้น”
นางค้อมกายลงไป ปัดฝุ่นดินและเศษหญ้าที่ติดอยู่บนกระโปรงยาวออกเบาๆ เรือนร่างอรชรงามยวนเย้าเหนือธรรมดา
แม่เอ๊ย! นี่มันเรื่องอะไรกัน? นังหนูนี่เกาะแน่นแล้ว จะไล่หรือไม่ไล่นางไปดี? มองดูเงาร่างอันอรชรอ้อนแอ้นอขงอวี้เจียจากไป หลินหว่านหรงก็กำหมัดแน่น เพลิงโทสะอัดแน่นอยู่เต็มอก
‘ข้ารู้สึกว่าพวกเราเหมือนตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว’ คำพูดของเหล่าเกาก้องอยู่ในหูครั้งแล้วครั้งเล่า หลินหว่านหรงหน้าซีด อับจนถ้อยคำอยู่นาน