ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 541
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นถอนค่ายแล้วออกเดินทาง ครั้นเห็นหลินหว่านหรงขี่ม้าอยู่ข้างหน้าสุดคนเดียว ท่าทางหดหู่ สีหน้าละห้อย เหมือนขอบตาดำเพิ่มขึ้นมากภายในช่วงคืนเดียว หูปู้กุยอดดึงเกาฉิวที่อยู่ข้างกาย ทำปากบุ้ยใบ้ใส่เงาหลังอันไร้ชีวิตชีวาของแม่ทัพหลินไม่ได้ “น้องเกา เจ้าดูสิ นี่ท่านแม่ทัพเป็นอะไรไป? เมื่อคืนวานยังดีๆ อยู่เลยนี่นา?!”
เหล่าเกากะพริบตาปริบๆ สีหน้าฉายความสงสัยเช่นกัน “เอ๊ะ? คงไม่ใช่ว่าเมื่อคืนพลาดหรอกนะ ไม่ใช่สิ เมื่อคืนเขากับเยวี่ยหยาเอ๋อร์หัวเราะกันอย่างมีความสุขมากขนาดนั้น เป็นช่วงเวลาที่ความรักกำลังร้อนแรงพอดี พวกเราต่างได้ยินกับหู แล้วจะพลาดได้อย่างไร…น่าจะพลาดเสียตัวถึงจะถูกสิ!
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เหล่าหูก็อดมองไปที่รถม้าอันประณีตงดงามที่อยู่กึ่งกลางไม่ได้ ผ้าม่านรถเลิกขึ้นเล็กน้อย เผยเงาร่างของสาวน้อยทูเจวี๋ยให้เห็น เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ดวงหน้างดงาม นัยน์ตาสีฟ้าล้ำลึก มุมปากยังประดับรอยยิ้มบาง สงบนิ่งประดุจสายน้ำ หนักแน่นมั่นคง
สาวน้อยอวี้เจียกำลังถือดาบโค้งขนาดกะทัดรัดอันประณีตงดงามเล่มหนึ่ง แกะสลักตัวเลาของขลุ่ยหยกที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง อีกทั้งยังนำขลุ่ยหยกไปแตะที่ริมฝีปากเป่าเป็นเสียงท่วงทำนองอันสนุกสนานออกมาหลายเสียง ภายใต้คิ้วโก่งงอนของนาง ขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อยเป็นระยะ ภายในดวงตาแฝงรอยยิ้มบาง อ่อนหวานงดงามเป็นพิเศษ
เมื่อมองถึงตรงนี้หูปู้กุยก็อดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้ นี่ยังเรียกว่าเชลยได้อีกหรือ? เหตุใดนางถึงยังดูสบายอารมณ์ยิ่งกว่าดื่มชาที่โรงน้ำชาเสียอีก
เปรียบเทียบสีหน้าท่าทางของหลินหว่านหรงกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์แล้ว คนหนึ่งดูอัดอั้นดั่งต้นไม้ที่เ**่ยวแห้ง ส่วนอีกคนหนึ่งเริงร่ามีความสุขดั่งบุปผายามวสันต์อันงดงาม กลับเหมือนทิ้งความสัมพันธ์ไปโดยสิ้นเชิง แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
เกาฉิวมองอยู่นาน ทันใดนั้นก็ปรบมือทันที “แย่แล้ว เหล่าหู เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
หูปู้กุยถามด้วยความตกใจ “เรื่องใหญ่อะไร?”
เกาฉิวเหลียวซ้ายแลขวาอย่างมีเลศนัยหลายครั้ง ถอนหายใจเสียงดังเฮ้อออกมา “คำพูดที่น้องหลินพูดกับพวกเราเมื่อวาน ดูจากสภาพในตอนนี้เกรงว่าคงไม่ใช่เขาจัดการสตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นั้น แต่เป็นสตรีชาวทูเจวี๋ยที่จัดการเขาเสียแล้ว”
เหล่าเกาติดตามหลินหว่านหรงมานาน เรียนรู้คำพูดคำจาของเขามาได้เจ็ดแปดส่วน คำว่า ‘จัดการ’ นี้จดจำแจ่มชัด พูดติดปาก ดังนั้นเขาจึงนำมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว
“เป็นไปไม่ได้กระมัง” หูปู้กุยได้ยินก็ตกใจยิ่ง “แม่ทัพหลินเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์มากที่สุดในต้าหัวเราแล้ว เคยบุกตะลุยฝ่าฟัน ประสบพบเจอสตรีมานับไม่ถ้วน ถือว่าน้ำไฟทำร้ายร่างกายไม่ได้ แล้วเหตุใดถึงถูกสตรีชนเผ่านอกด่านคนหนึ่งทำให้พ่ายแพ้ได้เล่า?! นี่มันก็ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
เหล่าเกาถอนหายใจยาว “นี่จะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้? อย่างที่ว่ากันไว้ สุดท้ายปูก็ต้องกลับไปตายในน้ำ ท่านแม่ทัพยากจะเลี่ยงความผิดพลาดได้ น้องหลินลำบากตรากตรำมาตลอดชีวิต เด็ดบุปผามานับไม่ถ้วน ต่อให้สุดท้ายจะต้องพ่ายแพ้ท่ามกลางมวลบุปผา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอะไร “
เขาสองคนคาดเดาอยู่นาน ถึงกระนั้นยิ่งพูดก็ยิ่งกลัว หากแม่ทัพหลินไม่อาจควบคุมตัวเอง แต่งเข้าทุ่งหญ้าจริง นั่นอย่าว่าแต่ทัพอันโดดเดี่ยวที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้านี้เลย แม้แต่องค์หญิงทั้งสอง คุณหนูสวี กระทั่งว่าทั่วทั้งต้าหัวก็ต้องจบสิ้นกันแล้ว
สองคนสบตากัน เห็นความหวาดกลัวและความประหวั่นลนลานอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จากดวงตาของอีกฝ่าย ก็รู้สึกเหมือนวันสิ้นโลกมาถึงแล้วเยี่ยงนั้น…สุดท้ายก็ทนไม่ได้ เหล่าเกาเหล่าหูก็ตวาดยาวๆ ออกมาพร้อมกัน ใช้แส้หวดก้นม้า อาชาวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว ไล่ตามด้านหลังแม่ทัพหลิน
สาวน้อยทูเจวี๋ยที่มือกำลังเล่นขลุ่ยหยกอย่างสบายอารมณ์ช้อนดวงตาขึ้นเล็กน้อย มองอาชาสามตัวค่อยๆ รวมตัวกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งตรงหน้า มุมปากอดยกยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ ภายในดวงตาผุดรอยยิ้มเย็นชา
เดินทางยางใกล้รุ่ง ทุ่งหญ้าทางตะวันออกปรากฏแสงเรืองรองขึ้นมาเล็กน้อย ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างยังคงมืดมิด หลินหว่านหรงเพิ่งจะหาวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังยาวๆ อยู่ข้างหลัง หูปู้กุยกับเกาฉิวรีบตามมาด้วยสีหน้ารีบร้อน เดินทางเคียงคู่กับเขา ล้อมซ้ายขวาให้เขาอยู่กึ่งกลาง
“เอ๊ะ พี่ชายทั้งสอง ช่างคึกคักเสียจริงนะ เช้าขนาดนี้ก็ลุกขึ้นมาแข่งม้าแล้ว?!” หลินหว่านหรงโบกมือพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ
เหล่าเกาส่งสายตาให้หูปู้กุย เหล่าหูกัดฟันกรอด ฝืนหน้าด้านพูดถามขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ เกี่ยวกับอวี้เจีย…”
“อวี้เจีย?!” หลินหว่านหรงสีหน้าแปรเปลี่ยนแล้วแปรเปลี่ยนอีก สีหน้ากระอักกระอ่วน “อยู่ดีไม่ว่าดี พี่หูมาพูดเรื่องนางทำไมกัน?”
หูปู้กุยประเมินสีหน้าท่านแม่ทัพไปพลาง พูดพร้อมครุ่นคิดไปพลาง “ไม่ทราบว่าเมื่อคืนท่านแม่ทัพกับนางพูดคุยกันได้ผลเช่นไร จะแต่งเข้า…แค่กๆ ความหมายของข้าน้อยก็คือ สร้างความกระทบกระเทือนขั้นลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้นกับนางหรือไม่ขอรับ?!”
ความกระทบกระเทือนขั้นลึกซึ้ง?! หรือว่าตอนนี้ข้ายังลึกไม่พออีก? หลินหว่านหรงถอนหายใจเฮ้อออกมาคราหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พี่หู พี่เกา พวกท่านมาพอดีเลย เกี่ยวกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นี้ ข้ามีแค่ประโยคเดียว…”
ประโยคเดียว?! เหล่าหูกับเหล่าเกามองหน้ากัน น้องหลินคงไม่ได้ถูกสตรีชาวทูเจวี๋ยจัดการเข้าแล้วจริงๆ หรอกนะ ยังเป็นเกาฉิวที่มีปฏิกิริยารวดเร็วเสียหน่อย รีบพูดขึ้นว่า “น้องหลิน ประโยคอะไร เจ้าจงรีบพูดมาเร็วเข้า เจ้าวางใจเถิด พวกเราเตรียมใจไว้แล้ว รับไหว “
หลินหว่านหรงแอบมองไปทางรถม้าที่อยู่กลางขบวน ก้มหน้าลง กัดฟันกรอดพร้อมพูดออกมาทีละคำ “จง…รัก…ชี…วิต…อยู่…ห่าง…อวี้…เฉีย”
พอเขาพูดหลายคำนี้จบก็พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เหมือนอารมณ์ผ่อนคลายลงไปมาก พวกของหูปู้กุยสองคนได้ยินก็นิ่งอึ้ง มากขนาดนี้เลยหรือ? ก็แค่แม่นางน้อยทูเจวี๋ยคนหนึ่งเองนี่นา เหตุใดในสายตาแม่ทัพหลินกลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดได้
“ไม่เชื่อล่ะสิท่า?! ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านต้องไม่เชื่อ!” หลินหว่านหรงยิ้มขื่นส่ายหน้า “หากเป็นเมื่อวาน ข้าก็คงไม่เชื่อ แต่ความจริงก็โหดร้ายเช่นนี้ พวกท่านลองคิดดูเถิด แม่นางที่งดงามขนาดนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเรา แล้วพวกเราทำอะไรนางได้บ้าง? เสี่ยวหลี่จื่อไม่ฟื้นหนึ่งวัน พวกเราไม่อาจทุบตี ไม่อาจด่าทอ ไม่อาจฆ่านางได้ ต้องประคบประหงมนางให้กินดีอยู่ดี แม้แต่จะไล่นางไป นั่นก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเช่นกัน หากพูดอย่างไม่เกรงใจสักหน่อย นางก็คิดลอบกัดพวกเรา นั่นเป็นไปได้เต็มร้อย พวกเราคิดจะลอบกัดนางกลับไร้หนทางโดยสิ้นเชิง”
หลินหว่านหรงหดหู่ใจยิ่งนัก เดือดดาลเป็นล้นพ้น อะไรที่เรียกว่าเชิญเทพเซียนมาง่ายส่งเทพเซียนกลับยาก เขาไม่เคยเข้าใจอย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อนเลย
“อ้อ ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง” เหล่าเกาเหล่าหูร้องอ้อออกมายาวๆ ถึงกระนั้นกลับหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ปราศจากความกังวลแม้แต่น้อย เยวี่ยหยาเอ๋อร์จะดูแลง่ายหรือไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเป็นห่วง ขอเพียงน้องหลินไม่ได้ถูกสตรีชาวทูเจวี๋ยจัดการ เช่นนั้นก็ถือเป็นบุญหนักหนาแล้ว ส่วนจะต่อกรกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างไร ด้วยฝีมือของน้องหลิน ผู้ใดจะเชื่อว่าเขาไม่มีหนทาง? นี่เขากำลังถ่อมตัวอยู่
“นี่ พี่ชายทั้งสอง ที่แท้พวกท่านสองคนฟังข้าพูดอยู่หรือเปล่า?! พวกท่านรู้ความร้ายกาจของเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้หรือไม่?!” เมื่อเห็นรอยยิ้มลามกของคนทั้งสอง ไม่ได้เป็นห่วงต่อโชคชะตาในอนาคต สมอย่างที่ว่ากันว่าเศร้าเสียใจเพราะความย่ำแย่ โมโหเดือดดาลเพราะความไม่เอาถ่าน แม่ทัพหลินก็อดตวาดเสียงดังออกมาไม่ได้
เกาฉิวรีบผงกศีรษะ “น้องหลิน ที่จริงแล้วพวกเราคิดเช่นนี้ อาการบาดเจ็บของเสี่ยวหลี่จื่อ ตอนนี้ไม่อาจออกห่างจากเยวี่ยหยาเอ๋อร์จริงๆ มันช่วยไม่ได้ แค่มัดให้นางเดินทางไปพร้อมพวกเราก็ได้แล้ว นังหนูนี่หรือ แม้จะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็แค่อย่างที่เจ้าพูดเมื่อวาน ไม่ว่านางจะร้ายกาจมากเพียงใด แต่ก็อยู่ในเงื้อมมือพวกเรา แย่ที่สุดก็แค่วางยาใช้กำลัง เพื่อรับประกันว่าเจ้าไม่เสียเปรียบก็พอแล้ว”
“ใช่แล้วๆ” เหล่าหูพูดต่อ “ยังมีเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งขอรับ ข้ากับน้องเกาต่างรู้สึกว่าอวี้เจียคนนี้ต้องมีสถานะไม่ต่ำต้อยในหมู่ชาวทูเจวี๋ยแน่นอน พานางไปด้วย พอถึงช่วงคับขันก็ไม่แน่ว่าอาจใช้ประโยชน์ครั้งใหญ่ได้ นี่เป็นการคิดอ่านเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องด้วยเช่นกัน”
พวกเราสองคคนรับกันเป็นลูกคู่ แม้ไม่ได้เจาะจงว่าให้เก็บเยวี่ยหยาเอ๋อร์ไว้ แต่ความหมายนั้นก็ชัดเจนมาก อวี้เจียตอนนี้เป็นผู้ช่วยชีวิตเสี่ยวหลี่จื่อ ต้องการไล่นางไปก็เป็นไปไม่ได้ หากคิดหาหนทางไล่นางไป กลับไม่สู้คิดว่าจะสยบนางเช่นไรจะดีกว่า นั่นถึงจะเป็นแผนชั้นยอด
ในสามคนผู้ที่อยู่กับอวี้เจียมากที่สุดก็คือหลินหว่านหรง และผู้ที่เข้าใจความร้ายกาจของสาวน้อยทูเจวี๋ยมากที่สุดก็คือเขาเช่นกัน
สถานการณ์ตอนนี้ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ลึกลับราวกับดวงจันทร์บนท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ความเป็นมาของนาง แต่ด้วยความรู้เรื่องตัวอักษรและการแพทย์ต้าหัวของนาง จะบอกว่านางไม่เคยได้ยินชื่อหลินหว่านหรงย่อมไม่มีใครเชื่อ การสนทนาเมื่อคืน สาวน้อยทูเจวี๋ยปฏิภาณไหวพริบเฉียบไว ไม่พูดก็พอทำเนา พอเอ่ยปากก็มุ่งตรงจุดสำคัญ คล้ายเล็งจุดตายหลินหว่านหรงเอาไว้ ทั้งแม่นยำทั้งโหดเ**้ยม
คนหนึ่งที่ลับ คนหนึ่งที่แจ้ง ข้ายังไม่ทันลงมือก็แพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง แล้วศึกนี้จะสู้อย่างไร?! หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่นาน ยิ้มขื่นพร้อมส่ายหน้า “พี่เกา พี่หู พาอวี้เจียผู้นี้ร่วมเดินทางไปด้วย นั่นไม่ต่างกับการขอหนังจากเสือนะ!”
เกาฉิวอืมคราหนึ่ง หัวเราะพร้อมพูดว่า “กลัวอะไรกัน ต่อให้เสือตัวนี้ร้ายกาจอีกสักเพียงใดก็เป็นแค่หนอนใหญ่ตัวเมียเท่านั้น ข้ากับเหล่าหูมีความมั่นใจต่อน้องชายเช่นเจ้า เจ้าจงลงมือทำเต็มที่เถอะ “
ดูท่าคงไม่มีทางถอยแล้วจริงๆ หลินหว่านหรงชูคอมองไปทางรถม้าคันนั้น ผ้าม่านม้วนขึ้นมา สาวน้อยทูเจวี๋ยนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นรถม้า หยิบสมุนไพรอย่างตั้งใจ ปากส่งเสียงฮัมบทเพลงพื้นบ้านแห่งทุ่งหญ้าที่หลินหว่านหรงฟังไม่เข้าใจ ใบหน้าซึ่งปิดบังด้วยผ้าโปร่งบางเผยรอยยิ้มที่งดงามดั่งบุปผายามวสันต์เป็นระยะ งามพิลาสยิ่งนัก
เมื่อถึงช่วงสนุกสนาน นางคว้าตัวยาขึ้นมาหลายกำ จากนั้นจึงโปรยใส่พื้นของตัวรถเบาๆ กองเป็นตัวอักษรเสี่ยวข่ายภาษาต้าหัวสองพยางค์ กลับเป็นชื่อของนาง… ‘อวี้เจีย’ สาวน้อยทูเจวี๋ยผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ ไม่รู้ว่าไปควักดาบโค้งสีทองขนาดกะทัดรัดออกมาจากที่ใด ปลอกดาบส่องสะท้อนผนังรถจนสาดประกายสีทองวิบวับ ล้ำค่าเหลือคนา อวี้เจียวางดบโค้งสีทองใต้ชื่อตัวเอง ใบหน้าปรากฏสีแดงซ่าน จากนั้นก็อดกัดริมฝีปากเบาๆ แย้มยิ้มออกมาไม่ได้
มองดูทุกอิริยาบถของนาง ดูคล้ายสายลมโชยอ่อนที่พัดผ่านบนทุ่งหญ้า สะอาดสดชื่นเป็นธรรมชาติ บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มลทิน เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยามนี้เหมือนสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากที่สุดคนหนึ่ง ไม่มีใครนำนางไปเชื่อมโยงกับแม่นางอวี้เจียผู้ร้ายกาจหาใดเปรียบคนเมื่อคืนนั้นได้ หูปู้กุยพูดพึมพำ “บนทุ่งหญ้ากลับมีสตรีที่น่ารักบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้ด้วย?! ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ”
น่ารัก? หวนนึกถึงการกระทำของอวี้เจียเมื่อคืนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหลินหว่านหรงก็ไม่อาจเขียนเครื่องหมายเท่ากับระว่างสาวน้อยทูเจวี๋ยกับคำว่าน่ารักคำนี้ได้ ไม่บอกว่านางน่าแค้นใจนักก็ถือว่ายกย่องนางแล้ว
อวี้เจียเหมือนรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังมองนางอยู่ ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างแช่มช้า ยิ้มเจิดจ้าดอกไม้ไฟ ดวงตาล้ำลึกประดุจวารี
มารดามัน! เหล่าเกาจับแขนหูปู้กุยโดยไม่รู้ตัว กล่าวด้วยท่าทีดุดันออกมาว่า “ล่มเมือง งามล่มเมือง! น้องหลิน ข้าเป็นตัวแทนราษฎรต้าหัว ขอร้องเจ้าอย่างยิ่งให้สยบหญิงงามล่มเมืองคนนี้ สร้างความเกรียงไกรให้ต้าหัวเรา”
มองดูดวงตาอันชุ่มชื้นดั่งสายน้ำของสาวน้อยทูเจวี๋ย หลินหว่านหรงก็ใจเต้นเร็วรี่หลายครั้ง ทว่าภายในห้วงสมองกลับผุดประโยคหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว…เดินทางร่วมกับเสือ!
“รายงาน! ข่าวด่วน!” ไกลๆ ออกไปนั้น อาชาพ่วงพีตัวหนึ่งวิ่งห้อตะบึงเข้ามาราวลูกธนู เสียงตะโกนของทหารลาดตระเวนดังไปทั่วทุ่งหญ้า อาชาทูเจวี๋ยตัวนั้นตัวเปียกชุ่มไปทั้งร่าง ทหารม้าซึ่งอยู่บนหลังม้าใบหน้าเต็มไปด้วยดินทราย เหงื่อไหลพรากดั่งสายฝน พุ่งตรงเข้ามากลางทัพ
เกาฉิวก้าวเข้าไปหาอย่างเร็วรี่ คว้าจับม้าทูเจวี๋ยซึ่งวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็วไว้ อาชาพ่วงพีตัวนั้นแหงนหน้าส่งเสียงกู่ร้องยาว ๆ ออกมา จากนั้นก็ยืนอย่างสงบนิ่งมั่นคง ทหารลาดตระเวนที่อยู่บนหลังม้าก้าวลงจากอานม้า ทว่าสองขากลับอ่อนระทวย ล้มตรงไปข้างหน้าด้วยความเหนื่อยล้า
หูปู้กุยรีบตวาดส่งเสียงคราหนึ่ง เข้าไปประคองเขาให้อยู่นิ่ง “อย่าได้ลนลานไป แม่ทัพหลินอยู่นี่ มีข่าวสารกองทัพอันใดเจ้าจงรายงานมาเร็ว”
ทหารลาดตระเวนกล่าวพลางหอบหายใจแฮ่กๆ “เรียนท่านแม่ทัพ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ชาวทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นซึ่งเดิมทีมุ่งหน้าไปทางปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ จู่ๆ เช้าตรู่วันนี้ก็เปลี่ยนเส้นทาง วกมาทางตะวันตกเฉียงใต้หาทัพเรา ตอนนี้ทัพหน้าของมันอยู่ห่างจากทัพเราสองร้อยห้าสิบลี้ขอรับ “
“อะไรนะ? นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?!” หูปู้กุยกับเกาฉิวตกใจสะดุ้งโหยงพร้อมกัน “เหตุใดชนเผ่านอกด่านถึงรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ได้? เจ้ารายงานผิดหรือไม่?!”
“เรียนท่านแม่ทัพ จริงแท้แน่นอนขอรับ!” ทหารลาดตระเวนผู้นั้นตอบด้วยความร้อนรน “ข้างหน้ามีพี่น้องสามหน่วยซ่อนตัวอยู่ ครึ่งชั่วยามหลังจากนี้จะมีข่าวมารายงานอีกขอรับ”
ดูท่าว่าคงไม่ผิดแล้ว เหล่าหูสีหน้าตื่นตระหนก หันไปพูดกับหลินหว่านหรง “ท่านแม่ทัพ นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?! เหตุใดจู่ๆ ชนเผ่านอกด่านถึงเปลี่ยนทิศทางได้ขอรับ?!”
หลินหว่านหรงแววตากระจ่างวูบ มองไปทางรถม้าของอวี้เจียทันที ผ้าม่านนั้นทิ้งตัวลงมาอย่างเงียบงันแล้ว เงาร่างเยวี่ยหยาเอ๋อร์โผล่ให้เห็นรำไร บัดเดี๋ยวผลุบบัดเดี๋ยวโผล่ ภายในตัวรถเงียบสงัดจนน่าประหลาดอยู่บ้าง
“รอข้า!” หลินหว่านหรงตวาดอย่างรุนแรงคราหนึ่ง ใช้ฝ่ามือฟาดก้นม้า ม้าทูเจวี๋ยวิ่งห้อตะบึงออกไป พุ่งตรงไปที่รถม้าอันประณีตวิจิตรคันนั้น
“อ๊าย…เจ้าทำอะไร?!” อวี้เจียร้องด้วยความตกใจ ผ้าม่านรถถูกหลินหว่านหรงกระชากออกดังแควก เขากระโดดเข้าไป ใช้ดาบฟันลงบนศีรษะเยวี่ยหยาเอ๋อร์