ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 543
ทอดสายตามองออกไป ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันเวิ้งว้างดอกไม้ป่าแกว่งไกว สีเขียวมรกตไร้ประมาณ ท้องฟ้าสีฟ้าสีน้ำเงินเข้มกระจ่างสดใสราวกับผ่านการชำระล้างด้วยน้ำ สายลมโชยเอื่อยเบาๆ พัดผ่านใบหน้า ส่งกลิ่นหอมของหญ้าป่า ทัพห้าพันของต้าหัวเดินทางอยู่บนทุ่งหญ้าอย่างกว้างใหญ่ รวดเร็วยิ่งนัก ค่อยๆ กลืนหายเข้าสู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้า
ทุ่งหญ้าอาลาซ่านแทบจะไม่มีคน เดินทางมานานขนาดนี้กลับไม่เห็นเงาของชนเผ่านอกด่าน หลังจากทูเจวี๋ยสร้างแคว้นก็รวบรวมตระกูลย่อยเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกัน แบ่งพื้นที่ตามจำนวนคน แต่ละพื้นที่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน เมื่อฤดูแล้งหรือฤดูหนาวมาถึง แต่ละตระกูลก็จะใช้ชีวิตเลี้ยงสัตว์อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง เมื่อฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นบุปผาเบ่งบาน น้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์ ทุกตระกูลก็จะออกเลี้ยงสัตว์ ภาพอันยิ่งใหญ่ตระการตานั้นราวกับสายรุ้งที่เคลื่อนไหวอยู่บนทุ่งหญ้า
ระบบการอยู่รวมกันเช่นนี้ส่วนใหญ่ล้วนหยิบยืมมาจากต้าหัว เพียงแต่ทำตามสถานการณ์บนทุ่งหญ้า ปรับปรุงเล็กน้อยเท่านั้นเอง อาจเรียกได้ว่าเป็นการอยู่กับที่กึ่งหนึ่ง ด้วยการชักนำของนโยบายการปกครองแบบอยู่กับที่กึ่งหนึ่ง ทุ่งหญ้าอาลาซ่านจึงค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่ที่อาศัยอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาวทูเจวี๋ยที่มีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน จำนวนน้อยก็หลายพันคน จำนวนมากก็มีถึงหมื่นคน
เพื่อรับประกันว่าแต่ละหน่วยจะมีสถานที่เลี้ยงสัตว์เพียงพอ ระหว่างพื้นที่อยู่อาศัยของชาวทูเจวี๋อย่างน้อยต้องรักษาระยะห่างหลายร้อยลี้ และด้วยระยะห่างนี้เองถึงทำให้ทหารม้าต้าหัวมีพื้นที่ว่างในการเคลื่อนไหว ตอนนี้ทหารม้าชั้นยอดของทูเจวี๋ยจำนวนสามแสนกว่านายกำลังโอบล้อมช่องเขาเฮ่อหลานซานอยู่ ชายฉกรรจ์ของแต่ละหน่วยต่างถูกนำไปจนเกลี้ยง และนี่จึงเพิ่มพูนความมั่นใจในการล่วงเข้าสู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้าแก่ทัพอันโดดเดี่ยวของหลินหว่านหรง
ก่อนออกเดินทางสวีจื่อฉิงเคยมอบแผนที่ทุ่งหญ้าอาลาซ่าน จุดบ่งชี้ล้วนเรียบง่าย แต่เส้นทางนั้นกลับชัดเจนยิ่งนัก ช่วยทัพอันโดดเดี่ยวนี้ได้มาก บวกกับหูปู้กุยซึ่งมีประสบการณ์มากมายคอยช่วยเสริม ไพร่พลห้าพันนายนี้อย่างน้อยก็ไม่ต้องหลงทางอยู่บนทุ่งหญ้า
หลังจากบุกยึดปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ทัพใหญ่ได้เสบียงเสริมกลับมาได้ถึงหกเจ็ดวัน ต่อให้ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าแล้วหาเสบียงไม่พบ พวกเขาก็ยืนหยัดไปได้อีกเจ็ดวัน
ต่อให้เป็นเช่นนี้หลินหว่านหรงก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ควบม้าตรวจสอบกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เมื่อเห็นม้าทูเจวี๋ยของนายทหารแต่ละคนต่างแขวนเนื้อตากแห้งและอาหารแห้งเต็มไปหมดเขาถึงผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ
“น้องหลิน ข่าวดี ข่าวดี” เกาฉิวร้องเรียกมาตลอดทางวิ่งห้อตะบึงมาพร้อมหูปู้กุยจากด้านหลังของขบวน
“ข่าวดีอะไร?” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางมองสองคนมาถึงเบื้องหน้า เขากระโดดลงจากม้า “หรือว่ากุนซือสวีทำให้ชาวทูเจวี๋ยสามแสนอัปราชัยครั้งใหญ่ได้แล้ว?!”
พวกเขาขาดการติดต่อกับสวีจื่อฉิงมาได้เจ็ดแปดวันแล้ว ตอนนี้ยังเป็นกองทัพอันโดดเดี่ยวล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า เดินทางตรงข้ามกับช่องเขาเฮ่อหลานซาน ยิ่งเดินทางก็ยิ่งห่างไกล ใต้เฮ่อหลานซานมีสถานการณ์เช่นไรกันแน่ พวกเขาก็ไม่รู้แม้แต่น้อย
เกาฉิวส่ายหน้าแล้วตอบว่า “น้องชายเจ้าคงไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะ? ข้าเหล่าเกาไม่ใช่เทพเซียนเสียหน่อย แล้วจะไปมีข่าวของคุณหนูสวีได้อย่างไรกัน? ที่ข้าพูดหมายถึงชาวทูเจวี๋ยสองหมื่นนั่น เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้จริงๆ พวกมันกำลังลองตามหาพวกเราอยู่ ชนเผ่านอกด่านสองหมื่นนี้เดินทางไม่ถึงร้อยลี้พอไม่ได้อะไรก็วกไปทางตะวันออกทันที ไล่ตามไปที่อู่หยวนแล้ว”
หลินหว่านหรงร้องอ้อ ไม่รู้สึกตื่นเต้นยินดี ชาวทูเจวี๋ยสองหมื่นนี้พอพบว่าหลงกลก็ต้องเปลี่ยนทิศทาง การพบเจอพวกเขาก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น อวี้เจียผู้นั้นกลับซื่อสัตย์อยู่บ้าง ไม่ได้พูดเท็จ ถึงอย่างนั้นด้วยสติปัญญาและไหวพริบของแม่หนูคนนี้ยังน่ากลัวกว่าชาวทูเจวี๋ยแสนคนเสียด้วยซ้ำ
“เมื่อเอ่ยถึงกุนซือสวี ข้าเหล่าเกากลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้” เกาฉิวพูดเสียงเบา “พวกเราเปลี่ยนแผนกะทันหัน ไม่ย้อนกลับอู่หยวน แต่กลับมุ่งหน้าเข้าสู่ทุ่งหญ้าต่อไป เรื่องนี้ควรให้กุนซือสวีทราบหรือไม่? นางจะได้วางกลยุทธ์ของทัพใหญ่ให้สอดรับกับพวกเรา ไม่แน่ว่าจะทำให้งานของพวกเราลุล่วงไปแล้วครึ่งหนึ่ง”
“พูดมีเหตุผล” หลินหว่านหรงมองเขาด้วยความประหลาดใจ หัวเราะแล้วพูดว่า “พี่เกา ตอนนี้ท่านช่ำชองการทหารมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ ใกล้เท่าน้องชายเช่นข้าแล้ว นับถือๆ”
หูปู้กุยฟังพวกเขาสองคนสนทนาอยู่ด้านข้าง แล้วส่ายหน้าด้วยสีหน้าอันหนักอึ้ง “น้องเกา ต้องการแจ้งข่าวแก่กุนซือสวีไหนเลยจะง่ายดายเช่นเจ้าพูด ชนเผ่านอกด่านสามแสนตั้งอยู่ที่อู่หยวน แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ยังบินเข้าไปไม่ได้ แล้วจะแจ้งนางอย่างไร?!”
เกาฉิวส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วพูดว่า “ต้องการแจ้งข่าวคุณหนูสวีไม่ใช่เรื่องลำบากเช่นกัน ไม่แน่ว่าตอนนี้ชนเผ่านอกด่านพวกนั้นกำลังแจ้งข่าวให้พวกเราโดยไม่ต้องเสียเงินก็ได้นะ”
แจ้งข่าวโดยไม่ต้องเสียเงิน? เหล่าหูเหล่าเกาสองคนนิ่งอึ้งพร้อมกัน ยังเป็นหูปู้กุยที่เอ่ยปากถาม “แม่ทัพหลิน แจ้งข่าวโดยไม่ต้องเสียเงินอะไรกันหรือขอรับ? เหตุใดพวกเราถึงไม่รู้?!”
“เฮ้อ ก็เพราะเรื่องนี้ข้าถึงต้องทนรับเสียงก่นด่าไม่น้อย ว่าไปแล้วก็ถูกใส่ความยิ่งนัก” หลินหว่านหรงถอนหายใจ กล่าวอย่ามีเลศนัย “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านรู้ชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้าหรือไม่?!”
ชื่อภาษาทูเจวี๋ยของแม่ทัพหลิน? เหล่าเการีบผงกศีรษะหัวเราะลามก “รู้ๆ ซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง ข้าได้ยินแม่นางน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์เรียกอยู่หลายครั้ง จึ๊ๆ ชื่อนี้ตั้งได้ดีมากเลยนะ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพื่อเอารัดเอาเปรียบโดยเฉพาะ น้องหลิน ข้าเหล่าเกายอมเจ้าแล้ว!”
เหล่าเกาชูนิ้วโป้งแกว่งไปมาต่อเนื่อง กล่าวทอดถอนชมเชยไม่หยุด หูปู้กุยมีปฏิกิริยาช้าไปสักหน่อยถามด้วยความสงสัยออกมาว่า “น้องเกา เจ้าชื่อนี้เอารัดเอาเปรียบเช่นไร เจ้าลองบอกข้ามา”
“นี่ท่านไม่รู้หรือ? ซานเกอซื่อ…หว่อเหล่ากง! เหล่ากง (สามี) หากพูดภาษาบ้านๆ สักหน่อยก็คือผัว ท่านพี่ ชื่อนี้ตั้งให้แม่นางน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์พูดโดยเฉพาะ ท่านเข้าใจหรือไม่?” เกาฉิวสอนหูปู้กุยด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง
หูปู้กุยบังเกิดปัญญาขึ้นมาโดยพลัน หัวเราะฮ่าๆ ออกมาทันที เต็มไปด้วยความนับถือต่อฝีมือของแม่ทัพหลิน
เจ้าคนลามกเหล่าเกาคนนี้! หลินหว่านหรงส่ายหน้า กล่าวพร้อมถอนหายใจยาว “ชื่ออย่างเดียวกัน ในสายตาคนแต่ละคนความนัยย่อมต่างกันโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ท่านมองเห็นเป็นสิ่งสะท้อนความจริงที่ท่านคิดอยู่ภายในใจ เฮ้อ ความห่างชั้นระหว่างคนกกับคนทำไมถึงได้มากขนาดนี้นะ?”
“มะ…หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าชื่อภาษาทูเจวี๋ยของน้องหลินไม่ได้พูดเช่นนี้?” เกาฉิวตะกุกตะกัก
“แน่นอนว่าไม่ได้พูดเช่นนี้” หลินหว่านหรงแค่นเสียงจมูกคราหนึ่ง “ผู้อื่นเห็นชื่อนี้ของข้าต่างนึกว่าข้าน้ำกามขึ้นสมอง ต่ำช้าไร้ยางอาย ไม่เลือกใช้วิธีการในการกระเซ้าเย้าแหย่ดรุณีน้อย ที่จริงแล้วข้าว่าพวกที่ทายความนัยของชื่อข้าผิด ทั้งยังตำหนิกล่าวโทษข้าพวกนั้นถึงจะเป็นพวกน้ำกามขึ้นสมองอย่างแท้จริง พี่หู ความคิดของท่านค่อนข้างเที่ยงตรง ท่านลองท่องชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้ากลับหลัง ดูสิว่ามันคืออะไรกันแน่?!”
หูปู้กุยอ้อคราหนึ่ง ครุ่นคิดอย่างถ้วนถี่ กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “กงเหล่าอัว…ซื่อเกอซาน! ท่องเช่นนี้ใช่หรือไม่ขอรับ แม่ทัพหลิน?!”
“ไม่เลว! ท่องกลับหลังก็คือกงเหล่าอัว ซื่อเกอซาน…กงเหล่าอัว ซื่อเกอซาน (บุกรัง คือเราสามคน)!” หลินหว่านหรงพูดแค่นเสียงฮึ่มๆ “นี่คือวิธีการท่องชื่อของข้าอย่างถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว และเป็นความลับที่ข้าต้องการบอกคุณหนูสวีอีกด้วย พี่เกา ท่านดูสิ ท่านคิดอะไรไป? น้ำกามขึ้นสมองแล้วกระมัง!”
ที่แท้ก็มีความหมายแฝงเช่นนี้! เหล่าเกาเหงื่อเย็นเยียบโชกชุ่ม มิน่าเล่าน้องหลินถึงได้โมโหเดือดดาล เห็นๆ อยู่ว่าเป็นชื่อที่สูงส่ง มีความหมายแฝงยิ่งนัก แต่กลับถูกคนมากมายอ่านผิดอย่างต่ำช้า ดูท่าว่าก่อนหน้านี้เป็นข้าที่เข้าใจเขาผิดแล้ว น่าละอายๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว” หูปู้กุยปรบมือพูดขึ้นมา “แม่ทัพหลินมีฐานะเป็นมันสมองของทัพเราในการเข้าสู่ทุ่งหญ้า ลักพาตัวอวี้เจีย ชื่อนี้จะต้องแพร่สะพัดไปทั่วทุ่งหญ้าและทะเลทรายแน่นอน ด้วยความฉลาดหลักแหลมและสติปัญญาของคุณหนูสวี ขอเพียงได้ยินชื่อภาษาทูเจวี๋ยของแม่ทัพหลิน นางก็จะเข้าใจเจตนาของพวกเรา ท่านแม่ทัพ ท่านลำบากแล้ว ข้าน้อยไม่เคยนับถือท่านเช่นนี้มาก่อนเลย”
แม่ทัพหลินส่ายหน้า ถอนหายใจลึกเปี่ยมล้นด้วยความเศร้าโศก “ผู้อื่นหัวเราะเยาะว่าข้าเสียสติบ้าบอ ข้าหัวเราะเยาะผู้อื่นว่ามองไม่ทะลุปรุโปร่ง…คนอย่างข้านี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องโดดเดี่ยว เฮ้อ เคยชินเสียแล้วๆ”
คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่าที่แท้แม่ทัพหลินจะเป็นคนที่ล้ำลึกเยี่ยงนี้ เหล่าหูส่ายหน้าทอดถอนใจ ดูท่าว่าวันหน้าคงมองแค่เปลือกนอกอันสกปรกของเขาเพียงอย่างเดียวไม่ได้เสียแล้ว ต้องมองไปถึงจิตใจอันโดดเดี่ยวน่าสงสารของเขาให้มากกว่านี้
เหล่าเกาหัวเราะฮิฮะสองคราด้วยความกระดากใจ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “น้องหลิน ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าต้องเลียนแบบเจ้า เป็นคนที่เปลือกนอกหลงระเริงโลกีย์ ทว่าในใจกลับสูงส่ง ตอนนี้ข้ามีจุดเริ่มต้นเช่นนี้แล้ว”
จุดเริ่มต้นผายลมน่ะสิ เจ้าน่ะเปลือกนอกหลงระเริงโลกีย์ ในใจหลงระเริงโลกีย์ยิ่งกว่า! เมื่อได้ยินเหล่าเกาแสดงความในใจอย่างเสแสร้งออกมา แม้แต่หูปู้กุยก็ยังหัวเราะอย่างดูแคลน
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วพูดว่า “พี่ชายทั้งสอง ข้าขอพูดอย่างไม่เกรงใจ ความหมายแฝงของชื่อข้าถือเป็นความลับสุดยอดในกองทัพเรา ตอนนี้พวกท่านรู้ความลับนี้แล้ว คงจะรู้แล้วว่าเป้าหมายสุดท้ายในการบุกเข้าทุ่งหญ้าของพวกเราคือที่ใดแล้วกระมัง?”
“รู้สิ เหล่าอัว (รัง) อย่างไร…” เกาฉิวหัวเราะอย่างไม่แยแส รับไปส่งเดชอย่างนั้น ผ่านไปไม่นานสีหน้าก็แปรเปลี่ยน “รัง?! น้องหลิน เจ้า…เจ้าจะบุกไปที่ราชธานีของชาวทูเจวี๋ย?!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะพลางแย้มยิ้ม “มิเช่นนั้นจะเรียกว่าความลับขั้นสุดยอดหรือ?! ทำไมเล่า พี่เกา ท่านกลัวแล้ว?!”
เหล่าเกาส่งเสียงหึ กล่าวอย่างดูแคลน “ข้ากลัวกับผีน่ะสิ วันนั้นพูดเล่นอยู่ที่ค่าย เห็นน้องหลินไม่ส่งเสียงสักแอะ ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบสิ้น จริงดังคาด พวกเราอ้อมครั้งใหญ่ สุดท้ายก็ยังต้องไปที่รังของชนเผ่านอกด่านอยู่ดี ฮ่าๆ สะใจ สะใจ ติดตามน้องหลิน สิ่งที่ทำล้วนแต่เป็นเรื่องสาแก่ใจที่ข้าเหล่าเกาไม่เคยประสบมาก่อนในชาตินี้”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวกับหูปู้กุยว่า “พี่หู ท่านล่ะ ไปหรือไม่?!”
เดิมทีการเข้าสู่ทุ่งหญ้าก็เพื่อใช้การศึกหล่อเลี้ยงการศึก ฉวยโอกาสกวาดล้างกลุ่มของชนเผ่านอกด่านสักหลายกลุ่มก็ถือเป็นผลสำเร็จอันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าความคิดของแม่ทัพหลินกลับซุกซ่อนแผนการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่ด้วย หูปู้กุยตื่นเต้นเสียจนเลือดลมพลุ่งพล่านมาตั้งแต่แรก ร้องออกมาว่า “ไป! หากข้าไม่ไป ขอให้ข้านั่งยองฉี่!”
เกาฉิวถามด้วยความไม่เข้าใจ “เหล่าหู คำสาบานของท่านนี้กลับน่าสนุกนัก…นั่งยองฉี่คืออะไร?”
หลินหว่านหรงมองเขาแฝงความหมายลึกซึ้ง ผงกศีรษะแล้วตอบว่า “พี่เกา ท่านกลายเป็นคนใสซื่อไปแล้วจริงๆ ข้าชื่นชมมาก!”
เหล่าเกาที่เปลี่ยนเป็นใสซื่อไปไม่ต้องเอ่ยถึง ในเมื่อบอกแผนการนี้กับคนทั้งสองแล้ว หลินหว่านหรงก็ไม่ปิดบังอันใดอีก หยิบแผนที่ที่สวีจื่อฉิงวาดลวกๆ ออกมา นำแผนการที่ครุ่นคิดมานานบอกกล่าวทั้งหมด “พี่หู ท่านดู เมื่อวิเคราะห์จากแผนที่ของกุนซือสวี สถานที่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นส่วนปลายสุดของทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน ส่วนเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของทูเจวี๋ยอยู่ทางเหนือสุดของทุ่งหญ้า หากพวกเราเดินทางเลียบทุ่งหญ้าขึ้นเหนือย่อมไปถึงเค่อจือเอ่ร์แน่นอน แต่ระหว่างนี้มีกลุ่มของชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนขวางอยู่ ต่อให้พวกเราโจมตีทำให้กลุ่มของชาวทูเจวี๋ยพ่ายแพ้จนหมดสิ้น รอให้พวกเราไปโจมตีเค่อจือเอ่อร์ก็เป็นเรื่องของหลายเดือนหลังจากนี้แล้ว ถึงเวลาสิ่งที่รอคอยพวกเราอยู่ที่ราชธานีของชนเผ่านอกด่านก็คือทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยหนึ่งแสน เช่นนั้นก็ไม่ต้องสู้กันแล้ว”
หูปู้กุยประเมินแผนที่อย่างละเอียด ผงกศีรษะ “ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้องที่สุด หากบุกตรงไปทางเหนือตลอดทาง ไม่ใช่แค่จะเปิดเผยเป้าหมายของเราเท่านั้น แต่จะยิ่งเป็นการรนหาที่ตายอีกด้วย ไม่คุ้มที่จะทำ หากต้องการโจมตีไปถึงเค่อจือเอ่อร์ จะต้องโจมตีพิสดารเช่นปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ เดินทางไปตามเส้นทางที่ชนเผ่านอกด่านไม่รู้ตัว”
หลินหว่านหรงขยับนิ้วไปข้างหน้า ชี้ไปยังจุดหนึ่งบนแผนที่ หัวเราะแล้วพูดว่า “ที่นี่เรียกว่าอี้อู๋ ข้าเคยได้ยินมาว่ามีเส้นทางสายไหมอันพิสดารอยู่เส้นหนึ่ง ตัดผ่านภูเขาหิมะและทะเลทราย ผ่านอี้อู๋ หนานไถ ข้ามผ่านทะเลสาบอูหลุนกู่ ไปถึงภูเขาอาเอ่อร์ไท่ ข้ามผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ ฝั่งตรงข้ามก็คือเคอปู้ตัวซึ่งปลูกหญ้าแสบจมูก เมื่อตัดผ่านเคอปู้ตัวก็คือเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของทูเจวี๋ยแล้ว”
เส้นทางที่หลินหว่านหรงชี้เริ่มจากอี้อู๋ ออกจากทุ่งหญ้าอาลาซ่าน อ้อมเป็นวงโค้งเล็กๆ แล้วข้ามผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ จากนั้นก็เข้าสู่ทุ่งหญ้าอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่พบก็จะเป็นเคอปู้ตัวสถานที่ปลุกหญ้าแสบจมูกอันล้ำค่ากับเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้ว
หูปู้กุยมองแล้วก็ตื่นเต้นยินดียิ่งนัก “ท่านแม่ทัพ มีเส้นทางเยี่ยงนี้อยู่จริงหรือขอรับ? หากเป็นความจริง ขอเพียงพวกเราไปถึงอี้อู๋ก็จะอ้อมการปิดผนึกขัดขวางของชาวทูเจวี๋ยได้แล้ว”
“น่าจะมีกระมัง” หลินหว่านหรงหัวเราะคราหนึ่ง “แต่ก็ไม่แน่ใจ ไม่แน่ว่าหลังจากพวกเราเดินทางผ่านไปแล้วถึงจะมีเส้นทางสายนี้ก็เป็นได้”
หูปู้กุยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ โจมตีปาเยี่ยนเฮ่าเท่ออย่างพิสดารก็พิสูจน์ความสามารถในการเลือกเส้นทางของหลินหว่านหรงได้แล้ว ในเมื่อแม่ทัพหลินพูดว่าไปถึงราชธานีของชนเผ่านอกด่านได้ เช่นนั้นก็ต้องได้
เกาฉิวฟังพวกเขาสองคนสนทนา มองตรวจสอบแผนที่อย่างละเอียด ผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อน้องหลินบอกว่าได้ เช่นนั้นก็ต้องเดินทางได้ เพียงแต่ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ พวกเราจะไปถึงอี้อู๋ได้อย่างไร? ระหว่างนี้ยังขวางด้วยกลุ่มของชาวทูเจวี๋ยอีกหลายกลุ่มเชียวนะ!”
แผนที่ของสวีจื่อฉิง สัญลักษณ์ในแถบนี้พร่าเลือนยิ่งนัก เพียงหมายเหตุไว้ว่ามีกลุ่มของชาวทูเจวี๋ยอยู่หลายกลุ่ม ถึงกระนั้นกลับไม่ได้พูดถึงตำแหน่งอย่างชัดเจน
“ง่ายมาก สู้ไปก็ได้แล้ว!” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบๆ “การไปถึงแถบอี้อู๋นี้พวกเราต้องอาศัยกำลังของตัวเองเพื่อสร้างหนทาง พวกเราไม่ใช่แค่ต้องใช้เลือดของชนเผ่านอกด่าน ส่งข่าวให้คุณหนูสวี สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือมีแค่การสู้รบเท่านั้น พวกเราถึงได้เสบียงเลี้ยงดู”
“แต่ แม้แต่ตำแหน่งของกลุ่มเหล่านี้พวกเราก็ยังไม่รู้เลยนะขอรับ!” หูปู้กุยกล่าวด้วยความสงสัย
“ท่านไม่รู้ แต่มีคนรู้นี่นา!” หลินหว่านหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านลืมแล้วหรือ? เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยังมีคนในเผ่าอีกตั้งหลายสิบคน ข้าลำบากลำบนพาพวกมันมาทำอะไร? นี่ คือคนนำทางที่ดีที่สุด!”