ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 544
ตามเครื่องหมายบนแผนที่ของแผนที่ของสวีจื่อฉิง ตอนนี้ดินแดนของชนเผ่านอกด่านที่พวกเขาอยู่ใกล้มากที่สุดชื่อว่าต๋าหลานจา ต๋าหลานจาในภาษาทูเจวี๋ยหมายถึงไข่มุกแห่งทุ่งหญ้า ตามการคาดการณ์ของหลินหว่านหรง ในเมื่อไข่มุกแห่งทุ่งหญ้านี้ใกล้แค่ตรงหน้า เช่นนั้นศึกแรกในการล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าของทหารม้าต้าหัวก็ควรปักธงเซ่นสังเวยที่ต๋าหลานจา
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือแผนที่ของคุณหนูสวีชี้ตำแหน่งของแต่ละกลุ่มบนทุ่งหญ้าอาลาซ่านอย่างหยาบๆ ยิ่งนัก จำนวนประชากรก็ยิ่งอธิบายไม่ละเอียด หน่วยลาดตระเวนจำนวนสามหน่วยที่หูปู้กุยส่งออกไปค้นหาเป็นระยะทางหลายสิบลี้ แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของต๋าหลานจา
เหล่าเกากล่าวอย่างไม่อาจสะกดกลั้น “กุนซือสวีเข้าใจผิดหรือไม่? ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบพวกเรานี้มีไข่มุกที่ไหนกัน?”
หูปู้กุยหัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “น้องเกาอย่าร้อนใจไป นี่เป็นสิ่งที่แม่ทัพหลินสั่งการเอาไว้ ศึกแรกในการล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าของพวกเราจะต้องสู้ให้ดัง สู้ให้โหด สู้ให้ชนะ ก่อนสืบทราบสถานการณ์ของต๋าหลานจาอย่างชัดเจน ยิ่งไม่อาจให้ชาวทูเจวี๋ยค้นพบร่องรอยของพวกเราโดยง่าย ด้วยเหตุนี้พี่น้องทั้งหลายที่สืบร่องรอยของศัตรูนี้จึงเลื่อนไหวด้วยความระมัดระวัง ส่วนเรื่องตำแหน่งของต๋าหลานจาน่ะหรือ ข้าว่า แม่ทัพหลินคงมีอะไรไว้ในใจแล้ว…เอ๊ะ แม่ทัพหลินล่ะ?!”
เขามองข้างกาย หลินหว่านหรงซึ่งเมื่อครู่ยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ด้านข้างกลับหายไร้ร่องรอยไปแล้ว
เกาฉิวบุ้ยปากไปไกลๆ หัวเราะพร้อมพูดว่า “นั่นไม่ใช่หรืออย่างไร?! เขากำลังสืบหาตำแหน่งของไข่มุกแห่งทุ่งหญ้าจากแม่นางอวี้เจียอยู่!”
หูปู้กุยทอดสายตามองออกไปไกล พลันหัวเราะพรวดออกมาทันที หลินหว่านหรงไม่รู้ว่าไปโผล่อยู่ข้างรถม้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังเลิกผ้าม่านขึ้น มองเข้าไปข้างในด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
เพิ่งยื่นหน้าเข้าไปก็รู้สึกถึงสายลมเย็นหอบหนึ่งวูบผ่านใบหน้าอย่างรวดเร็ว เสียงตวาดเจื้อยแจ้วด้วยโทสะของอวี้เจียดังขึ้นมาพร้อมกัน “ชาวต้าหัวผู้ไร้ยางอาย เจ้ามาทำอะไรอีก?!”
“ข้าจะทำอะไรได้!” หลินหว่านหรงยึดมือทั้งคู่ของนางอย่างแน่นหนา แอบออกแรง ปลายดาบสีทองที่อยู่ในมืออวี้เจียห่างจากหน้าเขาแค่ไม่กี่นิ้ว ถึงกระนั้นกลับไม่อาจรุกคืบเข้ามาได้แม้แต่น้อย สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงหลายครั้ง ใบหน้าแดงก่ำ สองมือสองเท้าดิ้นรนอย่างดื้อดึง
มองดูเรือนร่างอันงดงามอรชรของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ขยับบิดไปมาไม่หยุดราวกับงูตัวน้อย ก้นงามงอนอกกระเพื่อม งามพิลาสเหลือคนา หลินหว่านหรงอดมองเพิ่มอีกหลายครั้งไม่ได้ ฉวยโอกาสลูบคลำมืออันอ่อนนุ่มนิ่มของนางไปหลายครั้ง หัวเราะฮิฮะพร้อมพูดว่า “แม่นางอวี้เจีย ที่แท้เจ้าคิดจะฆ่าข้า หรือว่าโถมตัวเข้าสู่อ้อมอกกันแน่?! เฮ้อ ตัวข้าเองก็ไม่ใจแล้ว”
“หน้าไม่อาย…” สาวน้อยทูเจวี๋ยรีบส่งเสียงด่าทอ ใช้เท้าถีบร่างเขาอย่างหนักหน่วง
หลินหว่านหรงสีหน้าเย็นชาทันที มือใหญ่คลายออกในบัดดล สาวน้อยทูเจวี๋ยที่กำลังดิ้นรนอย่างเต็มที่ร่างล้มลงบนพื้นรถอย่างแรงราวกับต้นหลิวที่เอนลู่ลงไป ครั้งนี้แอบใช้แรงไปไม่น้อย ดังนั้นเมื่อร่างของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กระแทกพื้นจึงอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ แค่นเสียงออกมา แสดงว่าล้มแรงยิ่งนัก
หลินหว่านหรงไม่แม้แต่จะมองนาง กล่าวพลางหัวเราะเย็นชาออกมาว่า “ข้าหน้าไม่อายหรือไม่ ยังไม่ถึงตาชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้ามาวิพากษ์วิจารณ์ คุณหนูหมอเทวดา ข้ามาเตือนเจ้า ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องใช้ยา เจ้าต้องไปดูอาการให้พี่น้องข้าแล้ว!”
“ไม่ดู!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด เพิ่งแค่นเสียงออกมาก็ได้ยินเสียงร้องอ๊าอย่างน่าอนาถดังมาแต่ไกล จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตวาดด่าทอเป็นภาษาทูเจวี๋ย เหมือนเป็นเสียงของเฮ่อหลี่เย่
อวี้เจียรีบเลิกผ้าม่านขึ้น เห็นว่าท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ไม่ไกล ชาวทูเจวี๋ยผู้หนึ่งหัวแยกออกจากร่าง โลหิตไหลสาดกระจายเต็มทุ่งหญ้า เฮ่อหลี่เย่สองมือสองเท้าถูกมัดเป็นบ๊ะจ่าง ตะโกนเสียงอย่างเดือดดาลด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว โจรที่ชื่อหูปู้กุยคนนั้นมุมปากยิ้มบิดเบี้ยว เป่าคราเลือดที่อยู่บนดาบใหญ่เบาๆ อย่างไม่แยแส สีหน้าผ่อนคลาย ทว่าภายในดวงตากลับปรากฏไอสังหารคมกริบ
“เจ้า…เจ้าทำอะไร?!” ด้วยความตกใจอย่างยิ่ง เยวี่ยหยาเอ๋อร์สีหน้าแปรเปลี่ยนโดยฉับพลัน ชูกำปั้นน้อยใส่หลินหว่านหรงอย่างหนักหน่วง โมโหเดือดดาลราวกับหมาป่าตัวเมียน้อยที่อยู่บนทุ่งหญ้า “เจ้าฆ่าคนในเผ่าของข้า!”
หลินหว่านหรงแบมือทั้งสองข้างออก กล่าวด้วยสีหน้าของผู้บริสุทธิ์ “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ผู้ที่ฆ่าคนคือพี่หูของข้า ไม่ใช่ข้า ข้ารักษาสิทธิ์ที่เจ้าจะพูดว่าไม่ แน่นอนว่าข้าก็รักษาสิทธิ์ในการฆ่าคนของพี่หูด้วยเช่นกัน ตอนนี้เจ้าเลือกส่ายหน้าต่อไปได้ ความอดทนของข้าดีมาก”
“ต่ำช้า!” ดวงตาของอวี้เจียฉายเปลวเพลิงอันร้อนแรง “ใช้การเข่นฆ่าคนในเผ่าข้ามาข่มขู่ข้า ข้าไม่ละเว้นเจ้าไปแน่!”
หลินหว่านหรงสายตาเย็นชาราวกับน้ำแข็งอันเย็นเยียบเดือนสิบสอง “ไม่ละเว้นข้า?! คุณหนูอวี้เจีย เจ้าล้อเล่นกระมัง! ทหารม้าอาชาเหล็กทูเจวี๋ยสามแสนเหยียบย่ำชายแดนต้าหัวเรา เผาฆ่าปล้นชิงทำแต่เรื่องชั่วช้า สหายร่วมอุทรจำนวนนับไม่ถ้วนของข้าถูกพวกเจ้าย่ำยี ตายอย่างน่าอนาถใต้ดาบสังหารของชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้า แต่คุณหนูอวี้เจียผู้งดงามกลับใช้ถ้อยคำอันเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมมาชี้โทษกล่าวหาว่าข้าฆ่าคน ตำหนิว่าข้าหน้าไม่อาย…ได้ ข้าจะฆ่า ข้าจะหน้าไม่อายแล้ว เจ้าจะทำอะไรข้าได้!”
เขาหน้าตาถมึงทึง จ้องมองอวี้เจียอย่างดูแคลน สายตาประหนึ่งภูเขาน้ำแข็งหมื่นปีที่ไม่มีวันละลาย ปราศจากความรู้สึก เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตะลึงงัน ลางสังหรณ์บอกว่าเจ้าโจรคนนี้เปลี่ยนเป็นคนละคน จากต่ำช้าไร้ยางอายกลายเป็นเย็นชาไร้ไมตรี เปลี่ยนสีหน้าราวกับเปลี่ยนเสื้อผ้า
สายตาดูแคลนของเจ้าโจรคนนี้ทำให้นางเกิดความรู้สึกอยากขัดขืนอย่างหนึ่ง เพียงแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับไม่อาจต้านทานสายตาเขาได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่กำหมัดพร้อมแค่นเสียงออกจมูก ก้มหน้าลงไปน้อยๆ เท่านั้น
“คุณหนูหมอเทวดา ถึงเวลาดูอาการแล้ว” หูปู้กุยที่อยู่ไกลๆ ค่อยๆ เช็ดคราบเลือดที่อยู่บนดาบใหญ่ เล็งไปที่ชาวทูเจวี๋ยพร้อมกวัดแกว่งอย่างสบายอารมณ์หลายครั้งเป็นระยะ ดูท่าทางสบายอารมณ์ยิ่งนัก เสียงไม่เร็วไม่ข้าของเจ้าโจรหน้าดำดังข้างใบหูอวี้เจีย มีความสงบเยือกเย็นและเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก มุมปากเขาประดับรอยยิ้มดูแคลน แค่มองก็เห็นจนหมดสิ้น
หากบอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าโจรหน้าดำเอาชนะอย่างหวุดหวิด อวี้เจียในตอนนี้กลับรู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่อาจจะบรรยายออกมาได้ หัวหน้าโจรผู้นี้แค่เปลี่ยนสีหน้าก็สร้างแรงกดดันรุนแรงแก่นางได้แล้ว กระทั่งว่ายังทำให้นางบังเกิดความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นในใจ
มองดูคนในเผ่าที่ล้มจมกองเลือดคนนั้น นางไม่อาจรวบรวมความกล้าปฏิเสธได้อีก ดังนั้นจึงแค่นเสียงด้วยความเดือดดาล หยิบตัวยาไม่กี่อย่างขึ้นมา จากนั้นจึงกระโดดลงจากรถ
รถม้าที่บรรทุกเสี่ยวหลี่จื่ออยู่กึ่งกลางขบวน เมื่อทั้งสองขึ้นรถมาหลี่อู่หลิงยังคงหลับลึกอยู่ สีหน้าสงบนิ่ง การหายใจก็สะดวกขึ้นมาก มีเค้าลางของการหายดีให้เห็นอยู่รางๆ
หลินหว่านหรงยินดียิ่งนัก อยากจะกอดเยวี่ยหยาเอ๋อร์พร้อมจูบสักหลายทีให้มันรู้แล้วรู้รอด ละทิ้งความขัดแย้งระหว่างชนชาติไม่ต้องเอ่ยถึง วิชาแพทย์ของสตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นี้ช่างทำให้คนนับถือเสียจริง
“กระหยิ่มยิ้มย่องอะไรกัน เขายังห่างไกลจากการหายดีมากนัก!” อวี้เจียเห็นสีหน้าตื่นเต้นยินดีของเขา ใจก็รู้สึกหงุดหงิดโมโหมาก คิดสร้างความกระทบกระเทือนใจให้เขาสุดกำลัง
หลินหว่านหรงส่ายหน้า กล่าวโดยไม่แยแส “ไม่กลัว ไม่กลัว สิ่งที่ข้ามีก็คือเวลาที่รอได้ ต่อให้ตัดหัวของข้า ข้าก็ไม่มีทางทอดทิ้งพี่น้องที่เปรียบเสมือนแขนขาของข้าไป หมอเทวดาอวี้เจีย ขอบใจเจ้า”
เจ้าโจรคนนี้มีความจริงใจจริงๆ ดวงตาเปล่งประกาย สาวน้อยทูเจวี๋ยก้มหน้าลง กล่าวพร้อมแค่นเสียงอย่างดูแคลน “บุรุษต้าหัวเช่นพวกเจ้าต่างก็ชอบร้องไห้เช่นนี้หรือ?!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “หลายวันนี้ลมทรายรุนแรง ตอนข้าล้างหน้าต้องใช้น้ำให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ไม่ทันเช็ดให้สะอาด เป็นที่น่าหัวร่อของหมอเทวดาแล้ว”
ชาวต้าหัวที่ชอบโกหก! อวี้เจียคร้านจะสนใจเขา เมื่อมีชีวิตของคนในเผ่ามาขู่เข็ญ นางไม่กล้าชักช้าเช่นกัน ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของหลี่อู่หลิงอย่างละเอียด จากนั้นจึงตรวจชีพจรเขา ยุ่งวุ่นวายไปชั่วขณะ
หลินหว่านหรงมองประเมินการเคลื่อนไหวของสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้อย่างละเอียด วิธีการในการรักษาคนไข้ของนางหลากหลายนัก นอกจากวิธีการวินิจฉัยตามแบบฉบับการแพทย์แผนจีนหลายอย่างแล้ว นางยังเชี่ยวชาญเรื่องบาดแผลภายนอกมากยิ่งนัก อย่างเช่นวิธีการรีดเลือดออกจากหน้าอกเสี่ยวหลี่จื่อเมื่อวาน แพทย์แผนจีนทั่วไปไม่อาจทำได้ เห็นชัดว่านี่เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์จริง
“มองอะไร?!” ครั้นเห็นสายตาของเจ้าโจรคนนี้มองประเมินร่างตนเองไม่หยุด เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็คล้ายหงุดหงิดโมโหอยู่บ้าง ปาตัวยาหลายอย่างกระแทกใส่ร่างเขาอย่าแรง “บดยาให้ข้า!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะหลายครั้ง รับสมุนไพรที่นางโยนมา “ดอกสายน้ำผึ้ง เถียนชี โสมหิมะ หลายอย่างนี้ใช้ขจัดอักเสบลดบวม ทำให้จิตใจกระปรี้กระเปร่าลดความร้อน เกล็ดปลาจิ่นหลี่ ตังกุย บำรุงโลหิต อืม ไม่เลวๆ ตำรับยาของหมอเทวดาไม่เลวจริงๆ ตรงกับอาการมาก”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยหลายครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงแค่นเสียงออกมา “ที่แท้เจ้าก็มีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง เช่นนั้นยังต้องให้ข้ามาทำอะไร”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “หมอเทวดาเข้าใจผิดแล้ว ข้าขึ้นชื่อมาสายตาสูงส่งฝีมือต่ำต้อย เรียกชื่อยาออกมาได้แต่เลือกตัวยาไม่ได้ ว่าไปแล้วก็น่าละอาย ในหมู่ศาสตร์ทั้งหลาย การแพทย์เป็นสิ่งที่ข้าอ่อนมากที่สุด”
อวี้เจียมองเขาคราหนึ่ง กล่าวลอยๆ ออกมา “เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าถนัดมากที่สุดคือศาสตร์ใด?!”
“ศาสตร์ในห้อง!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์นิ่งอึ้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงหน้าแดงเล็กน้อย ตวาดด้วยโทสะออกมา “ชาวต้าหัวที่ไร้ยางอาย!”
แม้แต่เรื่องนี้ก็รู้ด้วย?! แม่หนูคนนี้ช่างเข้าใจอารยะรรมต้าหัวเราอย่างกว้างขวางล้ำลึกเสียจริง หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง กระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งนัก
บดตัวยาเหล่านั้นเรียบร้อย ครึ่งหนึ่งใช้กิน ครึ่งหนึ่งใช้ภายนอก เรื่องเปลี่ยนยาให้หลี่อู่หลิงนี้อวี้เจียไม่มีทางทำแน่ ดังนั้นจึงกระทำโดยหลินหว่านหรงกับเกาฉิวมาตลอด
มองดูเขาทาก้อนยานั้นลงบนหน้าอกหลี่อู่หลิง อวี้เจียเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า “แม่ทัพหลิน ขอเจ้าอย่าฆ่าคนในเผ่าของข้าอีกได้หรือไม่?”
หลินหว่านหรงตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง นับตั้งแต่สัมผัสกับอวี้เจีย นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางใช้ท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้สนทนา หลินหว่านหรงผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณหนูอวี้เจีย คำกล่าวนี้ถามได้ดี เช่นนั้นข้าขอคำชี้แนะจากเจ้าสักประโยคหนึ่ง ชาวทูเจวี๋ยสามแสนคนของพวกเจ้าสามารถถอนตัวกลับไปทุ่งหญ้า สาบานว่านับแต่บัดนี้จะไม่รุกรานต้าหัวเราได้หรือไม่?”
อวี้เจียเงียบงันครู่หนึ่ง คล้ายไม่ยินยอมตอบคำถามนี้ หลินหว่านหรงมองความคิดนางออก ยิ้มเรียบๆ ออกมา “คิดแต่จะได้ แต่ไม่คิดจะเสียออกไป? เช่นนั้นก็ไม่ต้องหารือกันแล้ว! ความอัปยศที่ชาวทูเจวี๋ยนำมาให้ต้าหัวเรา มีแค่โลหิตเท่านั้นถึงจะชำระล้างได้”
อวี้เจียได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมา กล่าวอย่างดื้อดึง “เรื่องจริงจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพิสูจน์มาตั้งนานแล้ว ต้าหัวของพวกเจ้าไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของทูเจวี๋ยเราไปตลอดกาล การต่อต้านก็นำมาเพียงการนองเลือดที่ใหญ่ยิ่งขึ้นเท่านั้น ข้าขอโน้มน้าวให้พวกเจ้าล้มเลิกโดยเร็วจะดีกว่า ขอเพียงพวกเจ้ายอมวางอาวุธ ทูเจวี๋ยเราจะไม่เข่นฆ่าราษฎรต้าหัวแม้แต่คนเดียว”
นังหนูนี่เห็นข้าเป็นโจรขายชาติเสียแล้ว! หลินหว่านหรงระเบิดหัวเราะเสียงดัง “คุณหนูเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ความมั่นใจของเจ้ากลับเต็มเปี่ยมนัก เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือข้า”
ดวงตาอวี้เจียสาดประกายบางๆ “ตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้าไม่ได้หมายความว่าข้าจะแพ้ ข้าอวี้เจียกล่าวด้วยความมั่นใจได้ว่าเจ้าต้องพ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือข้า ข้าจะทำให้เจ้ายินยอมพร้อมใจ”
“เช่นนั้นก็ต้องเอาเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาพูดกันแล้วล่ะ พวกเรา ตั้งตารออยู่!”
ภายในรถม้าเงียบสงัดครู่หนึ่ง นอกจากเสียงลมหายใจของหลี่อู่หลิงแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก เขาสองคนสายตาคมกริบ จ้องมองซึ่งกันและกัน กลับตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่มีใครยอมก้มหัวให้ใคร
มองดูดวงตาที่เหมือนดั่งสายน้ำ ดวงหน้างามประพิมพ์ประพายแดงระเรื่อของสาวน้อยทูเจวี๋ย หลินหว่านหรงยิ้มออกมาทันที คลำหาของอย่างหนึ่งออกมาจากอก “หมอเทวดา นี่ให้เจ้า”
อวี้เจียเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเขาชัดเจน นิ่งอึ้งทันที “เจ้า เหตุใดเจ้าถึงมีขลุ่ยหยกของข้าได้?!”
“ข้าเก็บได้ตอนอยู่เมืองซิงชิ่ง” หลินหว่านหรงยัดขลุ่ยหยกขนาดเล็กกะทัดรัดเลานั้นใส่มือนาง กล่าวเรียบๆ ว่า “คืนนั้นข้ายังเกือบถูกหน้าไม้ทูเจวี๋ยยิงสังหารด้วย”
อวี้เจียกัดฟันกรอด รับขลุ่ยหยกเลานั้นกลับมาโดยไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว ลูบไล้อย่างระแวดระวังหลายครา ทันใดนั้นนางก็คลี่ยิ้ม ส่งขลุ่ยหยกเลานั้นคืนสู่มือเขา “ในเมื่อเจ้าเก็บได้ เช่นนั้นก็มอบให้เจ้า ขลุ่ยหยกเช่นนี้ข้ามีถมไป”
“อย่างนั้นหรือ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” เขากำขลุ่ยหยกขนาดกะทัดรัดนั้นอยู่ในมือ ถอนหายใจเล็กน้อย กล่าวพึมพำกับตนเองว่า “ขลุ่ยหยกที่ล้ำค่าเช่นนี้ ข้าก็มีอยู่เลาหนึ่ง”
สาวน้อยทูเจวี๋ยทอดสายตามองเขา ส่วนลึกของนัยน์ตาสีฟ้ามีประกายแสงกระจ่างวูบขึ้นมารางๆ หลินหว่านหรงใบหน้าสงบนิ่งดุจสายน้ำ หรี่ตาลงเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเงียบงันไปนานเท่าใด สาวน้อยทูเจวี๋ยพลันลุกยืนขึ้น เอ่ยเสียงเบาออกมา “วันนี้ก็เท่านี้ก็แล้วกัน อาการบาดเจ็บของสหายเจ้าอยู่ในขั้นทรงตัวแล้ว พอพรุ่งนี้ข้าจะมาตรวจอีกครั้ง”
“ขอบคุณหมอเทวดา” หลินหว่านหรงเลิกผ้าม่าน ใช้สายตาส่งอวี้เจียกระโดดลงจากรถไป เมื่อนางเดินไปได้หลายก้าว จู่ๆ เขาก็เอ่ยปากหัวเราะขึ้นมา “ใช่แล้วล่ะ น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งที่ลืมบอกเจ้า…”
อวี้เจียหันหน้ากลับมา มองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมชี้ไปไกลๆ “เพื่อเป็นการขอบคุณหมอเทวดาที่ช่วยรักษาอย่างเต็มที่ ข้าจะมอบของขวัญเล็กๆ ให้เจ้าอย่างหนึ่ง…คนในเผ่าครึ่งหนึ่งของเจ้าจะถูกปล่อยตัวไป!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์เงยหน้ามองหูปู้กุยที่อยู่ไกลๆ พาทหารหลายสิบนายกำลังปลดเชือกที่มัดชาวทูเจวี๋ยออก ชาวทูเจวี๋ยเหล่านี้ทีแรกไม่กล้าเชื่อ แต่เมื่อลองเดินไปหลายก้าว เห็นว่าทหารต้าหัวปราศจากปฏิกิริยา ถึงยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง ชักเท้าวิ่งห้อตะบึงจากไป
ทีแรกเห็นเขาฆ่าคน ต่อมาเห็นเขาปล่อยคน ต่อให้เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้ฉลาดล้ำเลิศก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าในน้ำเต้าเขาขายยาอะไร จิตใจพลันสับสนขึ้นมาบ้าง
“แม่นางอวี้เจีย เจ้าต้องเชื่อนะว่าข้ามีความจริงใจมาก!” หลินหว่านหรงใบหน้าผุดรอยยิ้มราวกับหมาป่าสีเทาตัวใหญ่ “หนี้เลือด มีเพียงล้างด้วยเลือดเท่านั้น!”