ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 545.1
อวี้เจียครุ่นคิด ทันใดนั้นก็รู้สึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ทันที พยายามโผออกไปอย่างเอาเป็นเอาตาย ตวาดเสียงดังไปทางคนในเผ่าที่วิ่งห้อตะบึงไปไกล “ยาหมาหู (กลับมา) สั่วหลี่ยาหมาหู (พวกเจ้ากลับมาเร็ว)!”
ชาวทูเจวี๋ยที่ถูกปล่อยตัวฝีเท้าราวกับโผบิน ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็วิ่งออกไปได้หนึ่งลี้ ไหนเลยจะยังได้ยินเสียงร้องตะโกนของนางอีก ด้วยความร้อนใจเยวี่ยหยาเอ๋อร์ขยับร่างจะพุ่งไปข้างหน้า ทว่ากลับถูกแขนอันกำยำทรงพลังคู่หนึ่งขวางเอาไว้
หลินหว่านหรงยืนอยู่ข้างหน้านาง ใบหน้าอมยิ้ม กล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “เจ้าเรียกไปก็ไร้ประโยชน์ พวกมันไม่ได้ยินหรอก! เจ้าดูสิ ท่าทางการวิ่งของพวกมันงามสง่ามากขนาดนั้น เฮ้อ ชีวิต สำหรับทุกคนก็ล้ำค่าทั้งนั้น!”
“ปีศาจ!” ด้วยความเดือดดาล อวี้เจียใช้ศีรษะกระแทกหน้าอกเขา กอดมือใหญ่ที่โบกสะบัดเปะปะวุ่นวายของเขา จากนั้นก็กัดอย่างหนักหน่วง
กัดอีกแล้ว?! ความเจ็บปวดที่ชำแรกเข้าสู่จิตใจส่งผ่านเข้ามา หลินหว่านหรงแยกเขี้ยว ตวาดด้วยโทสะพร้อมเหวี่ยงร่างนางออกไป อวี้เจียส่งเสีงร้องคราหนึ่งแล้วล้มลงบนทุ่งหญ้า เมื่อก้มหน้าลงไปก็เห็นว่าหลังมือมีรอยฟันทรงจันทร์เสี้ยวกระจ่างชัดเพิ่มขึ้นมาอีกรอยหนึ่ง โลหิตค่อยๆ ซึมออกมา หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาคู่กับรอยกัดเมื่อคราวก่อน ค่อนข้างเด่นชัดสะดุดตา
ถูกอวี้เจียทิ้งรอยอยู่บนมือสองครั้งต่อเนื่อง หลินหว่านหรงจึงหงุดหงิดโมโหยิ่งนัก “น้องสาว นอกจากกัดคนแล้ว เปลี่ยนไปปทำอย่างอื่นสักหน่อยได้ไหม?!”
อวี้เจียจ้องมองเขา ฟันขาวสะอาดขบริมฝีปากสีแดงสดแน่น กล่าวอย่างเย็นชาออกมาว่า “เจ้าต้องการลอบโจมตีต๋าหลานจา?!”
แม้จะเห็นความฉลาดหลักแหลมของนางมาจนชินแล้ว แต่พอได้ยินเยวี่ยหยาเอ๋อร์พูดประโยคเดียวก็บอกเป้าหมายของตนอย่างชัดเจน หลินหว่านหรงก็ยังอดที่จะตกใจไม่ได้ สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้รวบรวมความงดงามและสติปัญญาไว้ในตัวคนเดียว ช่างเป็นบุคคลอันร้ายกาจอย่างยิ่งยวดคนหนึ่งเสียจริง มีนางหนึ่งคนก็เพียงพอที่จะต้านทานทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยได้เป็นแสน ที่โชคดีก็คือนางอยู่ในกำมือเรา ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์คงย่ำแย่เกิดจินตนาการ
“ต๋าหลานจา? เป็นดินแดนทูเจวี๋ยของพวกเจ้ากระมัง?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ “คุณหนูอวี้เจียวางใจ หากมีเวลาว่าง ข้าจะไปเยี่ยมเยียน”
อวี้เจียได้ฟังคำพูดก็รู้ความหมาย มองทะลุความคิดเขาออกตั้งแต่แรก กำหมัดแน่นทันที ดวงตาทั้งคู่สาดประกายร้อนแรงไม่ยอมอ่อนข้อ “ชาวต้าหัวไร้ยางอายและต่ำช้า เจ้าต้องการยกดาบสังหารคนในเผ่าข้าที่ต๋าหลานจา?! ข้าแค้นเจ้า! อวี้เจียแค้นเจ้า!”
“แค้นข้า?!” หลินหว่านหรงยิ้มอย่างเย็นชา “เช่นนั้นก็แค้นไปเถอะ อย่างไรเสียข้าก็ไม่เคยหวังให้เจ้ามารักข้าอยู่แล้ว”
“จะ…เจ้าหมาป่าต่ำช้าไร้ยางอาย!” หากเอ่ยถึงการประชันฝีปาก ใต้หล้ายังมีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้หลินหว่านหรงอีก? สาวน้อยทูเจวี๋ยโกรธจนหน้าซีด สั่นเทาไปทั้งร่าง ค้นหาคลังคำศัพท์ภาษาต้าหัวไปทั่วก็หาคำมาบรรยายโจรต้าหัวผู้นี้ไม่ได้
หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย “บอกว่าข้าเป็นหมาป่า นั่นคุณหนูอวี้เจียก็ยกย่องข้าแล้ว ข้ายังห่างจากสันดานหมาป่าไกลลิบลับ ต้าหัวเรามีคำพูดโบราณอยู่ประโยคหนึ่ง กล่าวเอาไว้ว่าอย่าเอาเรื่องที่ตนเองไม่ยินดีไปให้ผู้อื่น คุณหนูอวี้เจียเจ้าเห็นอกเห็นใจคนในเผ่าเจ้า เห็นพวกเขาหลั่งเลือดได้รับบาดเจ็บเจ้าก็เจ็บปวดไม่อยากอยู่ ใจดั่งมีดกรีด เช่นนี้ก็ดีมาก มีความเป็นคนมาก แต่ตอนที่คนในเผ่าเจ้าเข่นฆ่าสหายร่วมชาติชาวต้าหัวของข้า คุณหนูอวี้เจียเจ้าเคยเห็นใจสหายร่วมชาติของข้าบ้างหรือไม่? ร้องไห้เจ็บปวดเสียใจให้พวกเขาทุกคนเช่นเดียวกันหรือไม่? ความเห็นอกเห็นใจอันถั่งท้นของเจ้าไปอยู่ที่ไหนกันแล้ว? ไม่ผิด ข้าฆ่าคนในเผ่าเจ้า ข้าต่ำช้ามาก แต่พวกเจ้าชาวทูเจวี๋ยก็เข่นฆ่าสหายร่วมชาติชาวต้าหัวเราจำนวนนับไม่ถ้วน หรือว่านี่คือความสูงส่ง? พูดกันตรงๆ ทูเจวี๋ยก็เป็นเพียงหมาป่าที่ปราศจากความเป็นคนเท่านั้นเอง ส่วนคุณหนูอวี้เจียผู้งดงาม มาตรฐานด้านคุณธรรมของเจ้าล้วนพุ่งเป้าไปที่ผู้อื่น แต่ไม่พุ่งเป้ามาที่ตัวเองเท่านั้น แต่เจ้าดันยังพูดจามีหลักการเหตุผล นึกว่าตัวเองสูงส่งกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง น่าขำ ช่างน่าขำยิ่งนัก!”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาแดกดัน แววตาร้อนแรง สายตาที่มองเยวี่ยหยาเอ๋อร์เต็มไปด้วยความเวทนาและดูแคลน ประหนึ่งช่วงเวลานี้เขาถึงเป็นผู้ปกครองชาวทูเจวี๋ย
หากพูดเรื่องนี้กับเซิ่งตันและลาปู้หลี่ นั่นก็ไม่ต่างกับการสีซอให้ควายฟัง กลายเป็นที่น่าหัวร่อ แต่อวี้เจียคนนี้คุ้นเคยกับวัฒนธรรมต้าหัว สติปัญญาเหนือผู้คน คำพูดเหล่านี้เมื่อนางได้ยินก็บังเกิดความรู้สึกที่ต่างออกไปทันที
อวี้เจียกัดฟันกรอด พยายามให้ตนเองเงยหน้าขึ้นมา ไม่ให้เจ้าโจรต้าหัวคนนี้ดูถูกตนเองได้ เพียงแต่ทุกครั้งที่สบกับแววตาอันคมกริบของเขา นางก็อดยอมแพ้ไปไม่ได้
ลองอยู่หลายครั้งต่างได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน แววตาของนางวาววับ ก้มหน้าลงพลางถอนหายใจด้วยความรู้สึกจนใจ “ถ้าหากมีคนยินยอม พิจารณาข้อเสนอของเจ้าอย่างจริงจัง เจ้าจะละเว้นต๋าหลานจาหรือไม่?!”
“ละเว้น?! นั่นเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้” หลินหว่านหรงส่ายหน้ายืนกราน “ตอนที่พวกเจ้ารุกรานต้าหัว เข่นฆ่าสังหารสหายร่วมชาติของข้า พวกเจ้าเคยคิดละเว้นสหายร่วมชาติของข้าบ้างหรือไม่? การสู้รบไม่ใช่การละเล่นของเด็ก ในเมื่อทูเจวี๋ยเปิดศึก เช่นนั้นก็ต้องมีคนจ่ายค่าตอบแทน มีแค่เจ้าหลั่งเลือด เจ้าถึงจะเข้าใจว่าอะไรคือความเจ็บปวด ซากศพตายเกลื่อน บ้านแตกสาแหรกขาด ภรรยาจากบุตรพลัดพราก หากไม่ให้พวกเจ้าได้รับรู้ถึงความรู้สึกอันแสนจะเจ็บปวดนี่อย่างล้ำลึก ชาวทูเจวี๋ยก็จะไม่มีวันรู้ว่าต้าหัวต้องเจอกับอะไรบ้างไปตลอดกาล!”
คำพูดหลายประโยคนี้แสดงการตัดสินใจเขาอย่างชัดเจนแล้ว ชาวทูเจวี๋ยต้องจ่ายโลหิตเป็นค่าตอบแทน นี่ไม่ใช่เรื่องของการต่อราคา ความแข็งกร้าวของเขากระตุ้นโทสะอวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงมีโทสะออกมา “โลหิตของคนในเผ่าข้าไม่มีวันไหลรินโดยเสียเปล่าแน่ เจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทน!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ออกมาเสียงดัง ส่ายหน้าพร้อมมองนางหลายครั้ง “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเรียนรู้ได้แค่อักษรและศาสตร์การแพทย์ของต้าหัวเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ไม่มีวันเข้าใจนิสัยใจคอชาวต้าหัวเราไปตลอดกาล ในเมื่อข้ากับพี่น้องของข้ากล้ามาแล้วก็ไม่เคยคิดที่จะมีชีวิตรอดกลับไป เอาเรื่องพวกนี้มาข่มขู่ข้า นั่นคือการหาเรื่องใส่ตัว”
อวี้เจียอึ้ง มองรอยยิ้มดูแคลนของเจ้าโจร ในใจนางพลันรู้สึกแปลกประหลาด เห็นๆ อยู่ว่าเดิมทีทุ่งหญ้าเป็นพื้นที่ของนางกับคนในเผ่าของนาง แต่เมื่ออยู่หน้าโจรต้าหัวคนนี้กลับรู้สึกว่าโชคชะตากำลังถูกผู้อื่นควบคุม สติปัญญาและไหวพริบทุกอย่างของตนทั้งหมดไม่อาจใช้งานได้เมื่ออยู่ต่อหน้าชาวต้าหัวผู้ไม่เกรงกลัวความตายคนนี้
นางกัดฟันกรอด ใบหน้าเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ กวัดแกว่งกำปั้นน้อยใส่หลินหว่านหรงอย่างรุนแรง ความหมายก็คือข้าอวี้เจียไม่มีวันละเว้นเจ้า สีหน้าท่าทางอันยากจะได้พบเห็นของสาวน้อยผู้นั้นกลับทำให้หลินหว่านหรงตะลึงงันอยู่นาน ยิ้มแย้มอยู่ในใจ
“อ้อ ใช่แล้วล่ะ” เพิ่งเดินไปหลายก้าว เจ้าโจรคนนั้นพลันหันหน้ากลับมาอีก ยิ้มแปลกประหลาดให้อวี้เจีย “มัวแต่ดีอกดีใจ ยังมีเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งที่ลืมบอกน้องสาวเยวี่ยหยาเอ๋อร์ไป”
เรื่องสำคัญ? ทุกครั้งที่เจ้าโจรคนนี้พ่นหลายคำนี้ออกมาจากปาก สำหรับนางแล้วล้วนไม่ใช่ข่าวดีอะไร อวี้เจียฟังจนขนหัวลุกชันชาวาบ ต่อให้เป็นคนฉลาดหลักแหลมมากที่สุดในแผ่นดินก็ไม่อาจทนรับการทรมานที่บัดเดี๋ยวแรงบัดเดี๋ยวเบาของเจ้าโจรหน้าดำคนนี้ได้ นางกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร พูดให้จบเพียงครั้งเดียวได้หรือไม่?”
เอ๊ะ? รู้จักไล่บี้แล้ว? ไม่เลวๆ! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “ทัพของข้ากำลังจะเข้าสู่การรบบนทุ่งหญ้าอย่างรุนแรง เคลื่อนไหวอย่างเร็วรี่ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของน้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เมื่อผ่านการถกกันอย่างเคร่งเครียดของพวกเราสามคนแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะคุ้มกันคุณหนูอวี้เจียเข้มงวดมากยิ่งขึ้น…กิน อยู่ ทำงานพร้อมกับข้า!”
อวี้เจียหน้าซีด รีบพูดด้วยน้ำเสียงมีโทสะ “ชาวต้าหัวไร้ยางอาย เจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ!”
“ขอร้องเจ้าล่ะ คุณหนูอวี้เจีย ใช้สายตาที่มันบริสุทธิ์เสียหน่อยนะ” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “ข้าไม่ใช่คนใจง่ายขนาดนั้น…ต่อให้เจ้ายินดี เมียข้าก็ไม่เห็นด้วย! อยู่ร่วมกระโจมกันเท่านั้น ไม่ได้นอนเตียงเดียวกันเสียหน่อย ตรงกลางยังกั้นผ้าม่านได้ด้วย ใช่แล้วล่ะ ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าไม่ได้มีกฎระเบียบเรื่องบุรุษสตรีไม่อาจแตะเนื้อต้องตัวผายลมสุนัขอะไรนั่นกระมัง…เอ๊ะ เจ้าจะฆ่าตัวตายหรือ!”
ดาบโค้งสีทองของอวี้เจียพาดอยู่ที่คอ น้ำตาคลอเบ้า “อวี้เจียไม่มีวันให้หมาป่าชั่วช้าลบหลู่ความบริสุทธิ์ของข้า…”
“ข้าไม่มีวันให้หมาป่าตัวเมียบนทุ่งหญ้ามาทำลายร่างกายของข้าเช่นกัน” หลินหว่านหรงแค่นเสียง “เดิมทีคิดจะให้โอกาสเจ้าแทงสังหารข้าครั้งหนึ่ง แต่ในเมื่อเจ้าไม่ยินดี เอาเถิด เจ้าฆ่าตัวตายเถอะ อาการบาดเจ็บของเสี่ยวหลี่จื่อน่าจะไม่หนักหนาแล้วกระมัง!”