ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 546.2
“ฆ่าเจ้า?! ไม่จำเป็น เหตุผลไม่ต้องบอกเจ้าเป็นรอบที่สองเช่นกัน” หลินหว่านหรงโบกมืออย่างไม่แยแส กล่าวด้วยท่าทางสบายๆ “ลองคิดถึงตอนที่ชาวทูเจี๋ยเช่นพวกเจ้ายกดาบสังหารสหายร่วมชาติของข้าก็แล้วกัน…ขอแต่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็จะได้รับรู้ความเจ็บปวดที่จารึกฝังลงไปในจิตใจ คุณหนูอวี้เจีย ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจเหตุผลนี้อย่างช้าๆ”
อวี้เจียค่อยๆ หลับตา น้ำตากระจ่างใสสองหยดคลออ้อยอิ่งอยู่ที่หางตาอันงดงามเป็นเวลานาน สุดท้ายก็หยดลงมาเบาๆ
“ที่นองอยู่เต็มพื้นคือโลหิตของเพื่อนร่วมชาติของข้า เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?!” นางพึมพำกับตนเอง น้ำเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอย แฝงความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยากจะบรรยายได้
“เจ้าคงเห็นโลหิตของสหายร่วมชาติชาวต้าหัวของข้าจนชินล่ะสิ” หลินหว่านหรงหัวเราะเย้ยหยัน “หากต้องการเข้าใจปัญหานี้อย่างแจ่มชัด ง่ายดายมาก ลองไปถามข่านผีเจียผู้สูงส่งของเจ้าสิ นับตั้งแต่เขาเริ่มสงคราม เขาก็ถูกกำหนดให้เป็นมือประหารแล้ว ช่วงเวลานี้ก็คือสิ่งที่ชาวทูเจี๋ยเช่นพวกเจ้าสมควรได้รับ”
อวี้เจียสายตาเย็นชา “ความคิดของท่านข่านผีเจีย ชาวต้าหัวที่อยู่ในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์เช่นพวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจไปตลอดกาล พวกเราชาวทูเจี๋ยร่อนเร่เลี้ยงสัตว์อยู่บนทุ่งหญ้าและทะเลทรายอันแร้นแค้นมาทุกยุคทุกสมัย ชีวิตอันลำบากยากเข็ญนั้นหากไม่พบเจอกับตัว เจ้าจะรับรู้ได้อย่างไร? อวี้เจียไม่เข้าใจ เหตุใดดินแดนสวรรค์อันแสนจะอุดมสมบูรณ์ถึงมีแค่ชาวต้าหัวที่ละโมบโลภมากรักสบาย ไม่รู้จักพัฒนาตัวเองเช่นพวกเจ้าถึงเสพสุขได้แต่เพียงผู้เดียว? เหตุใดชนเผ่าที่ขยันขันแข็งกล้าหาญชาญชัยของข้าถึงได้แต่อาศัยอยู่ในกระโจม ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้าด้วย?! ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้าได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมมากที่สุดในต้าหัว อวี้เจียใคร่ถามแค่ประโยคเดียว สวรรค์จัดการเช่นนี้ ยุติธรรมแล้วหรือ?! ท่านข่านทูเจวี๋ยคิดจะนำพาคนในชนเผ่าตามหาชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขมากกว่านี้ หรือว่านี่ก็ผิดหรือ?!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยคำพูดคำจาเฉียบคม ดวงตามีน้ำตาร้อนเอ่อคลอ ถึงกระนั้นกลับฝืนสบตาเขา คล้ายต้องการหาคำตอบ
เมื่อยืนอยู่ในจุดยืนของยุคสมัยนี้ ความคิดของอวี้เจียก็ต่างจากคนอื่นจริงๆ นางยอมรับความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของต้าหัว ทั้งยังใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งชาวทูเจี๋ยจะมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์และสงบสุขเช่นนี้ สิ่งนี้เดิมทีนั้นไม่ผิด เพียงแต่ยิ่งเป็นคนฉลาดมากเท่าใดก็ยิ่งทำเรื่องไม่คุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้น จากตัวของสาวน้อยทูเจวี๋ยก็มองเห็นได้รางๆ แล้ว
หลินหว่านหรงส่ายหน้า หัวเราะพร้อมพูดว่า “บนโลกนี้ไม่เคยมีความยุติธรรมมาก่อน สวรรค์ประทานข้อดีให้เจ้าก็ต้องประทานข้อเสียให้เจ้าเช่นกัน อย่างเช่นชาวทูเจี๋ยเช่นพวกเจ้ารูปร่างสูงใหญ่ กำลังวังชาไร้สิ้นสุด ส่วนร่างกายของราษฎรต้าหัวเช่นพวกเรากลับอ่อนแอกว่ามาก พอสู้รบกันพวกเจ้าก็มีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติก่อนแล้ว คุณหนูอวี้เจีย เจ้าว่านี่ยุติธรรมหรือไม่?”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ครุ่นคิด ไม่ได้ตอบคำถามเขา
“ดินแดนของทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าแร้นแค้น ร่างกายคนในเผ่าเจ้าแข็งแรงกำยำ ไม่ถูกคนอื่นรังแก สวรรค์ประทานให้เจ้ามีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่เจ้ากลับชอบเอาข้อเสียของตัวเองไปเปรียบเทียบกับกับข้อดีของผู้อื่น ไม่พูดถึงข้อได้เปรียบที่ตัวเองมีแม้แต่น้อย คุณหนูอวี้เจีย บนโลกนี้มีเรื่องดีๆ ที่ได้เปรียบทั้งสองทางเช่นนี้ด้วยหรือ?” ดวงตาของหลินหว่านหรงร้อนแรง จ้องใบหน้านางเขม็ง
อวี้เจียนิ่งอึ้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้กัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “หากเป็นที่เจ้าว่านี้ คนในเผ่าข้าเกิดมาก็สมควรถูกกักอยู่นทุ่งหญ้า ทนรับลมฝนอันเหน็บหนาว ทนรับความทรมานและโรคภัยไข้เจ็บเช่นนี้น่ะหรือ?”
“นั่นเป็นโลกทัศน์อันคับแคบของเจ้า” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยโทสะ “เจ้านึกว่าทุ่งหญ้านี้แห้งแล้งกันดารหรือ? ผิดแล้ว ผิดอย่างยิ่ง ผิดอย่างมหันต์ ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ซุกซ่อนสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน พันปีหลังจากนี้มันจะกายเป็นขุมทองขุมสมบัติที่ผู้คนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนต่างแก่งแย่งกัน ทางเหนือของทุ่งหญ้าอาลาซ่านยังจะมีประเทศอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งก่อตั้งขึ้นมา มันใหญ่โตจนเจ้ายากจะจินตนาการได้…”
“ประเทศอะไร? เหตุใดเจ้าถึงรู้?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา เต็มไปด้วยความสงสัย
หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง กล่าวด้วยโทสะ “ข้าพูดเอง เจ้าห้ามคิดเหลวไหล…ข้าฉลาด ข้าใช้สมองคาดเดา ได้หรือเปล่า?!”
อวี้เจียมองเขาพร้อเบะปาก เบือนหน้าหนีไป ลอบแค่นเสียงออกจมูก
“ไม่ผิด ต้าหัวเราอุดมสมบูรณ์ แต่มีบางเรื่องที่ไม่ใช่ความอุดมสมบูรณ์จะแก้ไขได้ อย่างเช่นภาษา การแพทย์ ศิลปวิทยาต้าหัวที่เจ้าเรียนรู้มา นี่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์หรือ? นี่คือการสั่งสมมานับพันปีของชนชาติหนึ่ง เป็นการตกผลึกทางสติปัญญาของชนชาติ ไม่เกี่ยวกับว่าใช้ชีวิตอยู่ที่ใด หากต้องการให้ชนเผ่าเจ้ามีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ทำให้เป็นจริงด้วยการรุกราน ครอบครองแหล่งทรัพยากรของผู้อื่น นั่นต้องสร้างขึ้นมาโดยการใช้ความพากเพียรพยายามและสติปัญญาจากสองมือของพวกเจ้าเอง เจ้าเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการติดต่อสื่อสาร ทำการค้าและวิวาห์กับแคว้นเพื่อนบ้านได้ เรียนรู้ศาสตร์ความรู้ สิ่งทอ การหลอมโลหะ การปศุสัตว์ การทำเหมืองแร่ การท่องเที่ยวจากแคว้นเพื่อนบ้านได้ พวกเจ้ามีเงื่อนไขทางธรรมชาติ มีวิธีการตั้งมากมายที่จะทำให้แคว้นเจริญก้าวหน้าและมั่งคั่ง แล้วทำไมต้องบีบเอาสถานที่อยู่อาศัยของชนชาติอื่นถึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ด้วย ข้าขอบอกเจ้า ไม่ว่าชนชาติใดที่อาศัยการรุกรานผู้อื่นเพื่อขยับขยายบ้านเมืองล้วนไม่มีวันอยู่ยาวนาน…ข้าพูดเรื่องพวกนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เขาพูดจาเปี่ยมล้นด้วยอารมณ์ความรู้สึก ราวกับกำลังพูดสุนทรพจน์อย่างนั้น น้ำลายพ่นเต็มพื้น ปากก็ยังกระตุกอีกด้วย
อวี้เจียฟังแล้วครุ่นคิดอย่างเงียบงันอยู่นาน จากนั้นถึงเอ่ยออกมาว่า “เจ้าพูดจาน่าฟัง สิ่งทอ การหลอมโลหะ เป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเจ้าต้าหัว เจ้าจะถ่ายทอดให้พวกเราโดยปราศจากความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนได้หรือ? น่าขัน”
เมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของนางนี้ หลินหว่านหรงจึงพูดด้วยความหงุดหงิดโมโห “เจ้าไม่เคยลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้? ขอเพียงเจ้ายอมจ่ายค่าตอบแทนที่แน่นอน บนโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้”
อวี้เจียเข้าใจเจตนาของเขาผิดอย่างชัดเจน เช่นนั้นก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ กล่าวด้วยโทสะออกมา “เจ้าฝันไปเถอะ หมาป่าชั่วช้าผู้โหดเ**้ยมไม่มีทางได้หมิ่นเกียรติสตรีแห่งทุ่งหญ้า!”
“เอาล่ะๆ อย่าพูดคำสาปแช่งภาษาทูเจวี๋ยของเจ้าเลย” หลินหว่านหรงได้ยินแล้วก็ขนลุกชัน รีบโบกไม้โบกมือ “เจ้าไม่ใช่ข่านทูเจวี๋ยเสียหน่อย ข้าจะพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าทำไมกัน?! สีซอให้ควายฟัง!”
อวี้เจียโมโหจนหน้าซีด กล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ใช่ ควายสีซอ!”
น่าอัศจรรย์เหลือเกิน! นังหนูนี่กลับพลิกแพลงการใช้สำนวนได้ด้วย หลินหว่านหรงเบิกบานใจจนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
ดวงหน้าน้อยของอวี้เจียแดงเล็กน้อย มองเขาด้วยความเดือดดาล “คนฆ่าสัตว์ชาวต้าหัวหน้าไม่อาย มือเจ้าเปื้อนเลือดคนในเผ่าของข้า ตอนนี้มาพูดเรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อะไร?!”
ใช่แล้วล่ะ ถ้าไม่ใช่นางพูดขึ้นมาข้าก็เกือบลืมไปแล้ว ตอนนี้กำลังรบกันอยู่ ข้าจะมาพูดเรื่องบ้าบอพวกนี้กับนางผายลมอะไรกัน ช่างผิดกับพวกพี่น้องจริงๆ เลยนะ หลินหว่านหรงลอบละอายใจ
เสียงของหูปู้กุยดังขึ้นจากนอกรถ “เรียนท่านแม่ทัพ การศึกสิ้นสุดลงแล้วขอรับ ทัพเราสูญเสียไปสิบแปดคน บาดเจ็บสามสิบคน บุรุษวัยผู้ใหญ่ชาวทูเจวี๋ยแห่งต๋าหลานจาถูกสังหารจนหมดสิ้น เหลือแค่สตรีและเด็กสามพันกว่าคน…จะจัดการเช่นไร ขอท่านแม่ทัพโปรดสั่งการด้วยขอรับ”
เมื่อได้ยินรายงานของหูปู้กุย อวี้เจียก็หน้าซีดเผือดทันที มองหลินหว่านหรงอย่างร้อนรน คิดจะพูดอะไรบางอย่าง ขมุบขมิบอยู่นาน ทว่ากลับคล้ายไม่อาจเอ่ยปากออกมาได้
หลินหว่านหรงตอบรับเสียงอืมคราหนึ่ง ขณะกำลังจะลงจากรถเยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็พลันเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ใต้เท้าอัวเหล่ากง…”
หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมองนาง อวี้เจียหน้าซีด กล่าวอย่างอ่อนแรง “คนเหล่านั้นต่างเป็นสตรีและเด็ก เจ้าจะ…”
หลินหว่านหรงขนคิ้วตั้ง แค่นเสียงอย่างเย็นชา อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ ร่างกายสั่นระริกเล็กน้อย น้ำตาคลอเบ้า กล่าวอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “พวกเราชาวทูเจี๋ยไม่มีวันก้มหัวอันสูงส่งลงเด็ดขาด ต้องมีสักวัน เจ้าทำอะไรไว้ข้าจะคืนกลับไปเป็นร้อยเท่า…นี่…”
ความโกรธเกรี้ยวของนางยังระบายออกมาไม่หมด โจรหน้าดำกลับกระโดดลงจากรถไปนานแล้ว เหลือเพียงผ้าม่านที่แกว่งไกวไปมาเท่านั้น เสียงกระจ่างใสดังก้องอยู่ในตัวรถไม่หยุด
เมื่อคิดถึงฝีมือของเจ้าโจรคนนี้ อวี้เจียก็อดตัวสั่นไม่ได้ ใบหน้าของสตรีและเด็กจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นตรงหน้านาง นางเหมือนมองเห็นคมดาบนั้นอยู่ตรงหน้า เลือดนองเป็นท้องธาร……
“พี่เกา พี่หู ทำได้ดี” เมื่อกระโดดลงจากรถก็เห็นหูปู้กุยกับเกาฉิวยืนรออยู่ด้านข้าง ดาบที่ออกจากฝักยังคงมีโลหิตหยาดหยด หลินหว่านหรงอดตบบ่าคนทั้งสองเบาๆ หลายทีไม่ได้ เพื่อแสดงการชมเชย
ด้วยการบาดเจ็บล้มตายจำนวนน้อยเช่นนี้ การกวาดล้างดินแดนหนึ่งของชนเผ่านอกด่านได้ นี่ไม่อาจไม่พูดได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
“สู้นี้สู้อย่างสบายมาก วันหน้าหากทุกวันเป็นเช่นครั้งนี้ นั่นก็สาแก่ใจแล้ว” เหล่าเกาหัวเราะร่า พูดกดเสียงต่ำ ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ “อันที่จริงชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ยพวกนั้นยังจับเป็นไว้จำนวนหนึ่ง เพียงแต่พวกมัน ‘บังเอิญ’ สบโอกาสหลบหนี แต่ก็โชคไม่ดีอีก ต้องมาเจอกับหน้าไม้ยิงต่อเนื่องขอพวกเรา ฮิๆ…”
ลูกไม้ตุกติกที่เหล่าเกาละเล่นพวกนี้ หลินหว่านหรงคร้านที่จะสนใจ แค่หัวเราะให้มันผ่านไป
กระโจมหลายพันลุกไหม้รุนแรง ควันสีดำขนาดใหญ่อบอวลไปทั่วท้องฟ้า ทหารม้าห้าพันนายขี่อยู่บนหลังม้า ชูคบเพลิงขึ้นสูง ส่องต๋าหลานจาสว่างราวกับกลางวัน ความน่ายำเกรงนั้นกลับเหมือนโจรที่บุกปล้นสะดมบนทุ่งหญ้าจริงๆ พวกเขาล้อมเป็นวงกลม สายตาสาดประกายเย็นเยียบ จ้องมองฝูงชนที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลาง
ฝูงชนที่ถูกล้อมดำทะมึนไปหมด มีมากถึงสามสี่พันคน ล้วนเป็นสตรีและเด็กชาวทูเจวี๋ย ที่โตที่สุดก็ไม่เกินสิบขวบ ที่เล็กที่สุดยังอยู่ในผ้าอ้อม เหล่าเด็กน้อยอิงแอบแนบชิดข้างกายมารดา ดวงตาสาดประกายอันสลับซับซ้อนหลากหลาย ทั้งหวาดกลัว ทั้งเคียดแค้นชิงชัง กระทั่งว่ามีหลายคนที่มือถือดาบโค้งขนาดเล็ก แม้จะปราศจากพลังในการเข่นฆ่าทำร้าย ทว่าคมโค้งนั้นกลับเล็งตรงมาที่ทหารม้าต้าหัว ส่วนสตรีชาวทูเจวี๋ยที่ถูกจับตัวกลับกอดลูกเอาไว้ในอ้อมอกแน่น มองดาบทวนในมือทหารต้าหัวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเย็นชา ดวงตาสาดประกายโศกเศร้าและสิ้นหวัง
หลินหว่านหรงเดินมาตลอดทาง ทอดสายตามองร่างกายอันวัยเยาว์และแววตาเคียดแค้นที่แผ่พุ่งออกมาจากนัยน์ตาสีฟ้า เขาขนลุกชาวาบเป็นระยะ คนจำนวนมากขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นสตรีและเด็ก จะจัดการอย่างไรดี?! เขาขมวดคิ้ว ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านเห็นว่าควรจัดการเช่นไรดี?!”
เกาฉิวกัดฟันกรอด ทำท่าสัญญาณมืออย่างโหดเ**้ยม “ชาวทูเจี๋ยบุกยึดเมืองของต้าหัว ไม่เคยไว้ไมตรีต่อบุรุษสตรีคนแก่และเด็กร่วมชาติของเรา ต้องล้างเมืองเช่นกัน! อย่างที่ว่าไว้ ใช้วิธีการของผู้นั้น ย้อนคืนให้ผู้นั้น พวกมันทำกับพวกเราเช่นไร พวกเราก็ทำกับพวกมันเช่นนั้น!”
หูปู้กุยลังเลอย่างเห็นได้ชัด ประสานมือแล้วพูดเสียงเบา “ทุกอย่างขอมอบให้ท่านแม่ทัพจัดการขอรับ”
เผือกร้อนเช่นนี้เป็นความยุ่งยากที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน ควรจัดการเช่นไร ทำให้หลินหว่านหรงเลือกลำบากเสียจริง
ทอดสายตามองคบเพลิงที่ลุกไหม้ร้อนแรงตรงหน้า สายตาเคียดแค้นชิงชังของเด็กและสตรีทูเจวี๋ย สายตามุ่งหวังของทหารต้าหัว เขาย่ำเท้าอย่างแช่มช้า เหงื่อเย็นชุ่มโชกแผ่นหลัง เกาฉิวกับหูปู้กุยเข้าใจความลำบากของเขาเช่นกัน มองดูเขาขมวดคิ้วมุ่น ต่างไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว
เวลาผ่านไปทีละเสี้ยววินาที เปลวเพลิงอันร้อนแรงซึ่งกำลังลุกไหม้กระโจมนั้นแผดเผาจนใบหน้าทุกคนแดงก่ำ เด็กและสตรีชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนมองดูชาวต้าหัวหน้าดำซึ่งกุมชะตาชีวิตของพวกเขา เงียบงันไม่เอ่ยวาจา
หลินหว่านหรงหยุดฝีเท้าในบัดดล ถอนหายใจยาวๆ มองเกาหูสองคนหลายครั้ง
หูปู้กุยถามด้วยความตกใจขึ้นมาทันที “ท่านแม่ทัพ ท่านตัดสินใจแล้วหรือขอรับ?!”
หลินหว่านหรงไม่ได้ตอบเขา ก้าวขึ้นที่สูงทันที หน้าดำประดุจถ่าน คำรามเสียงดังด้วยท่าทีดุร้าย “ชาวทูเจี๋ยทั้งหมด พวกเจ้าจงดูใบหน้าของข้านี้…”
หูปู้กุยรีบแปลคำพูดเขากลับไป จริงดังคาด สายตาของเด็กและสตรีจำนวนสามพันกว่าคนพุ่งตรงมาที่ใบหน้าเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เป็นข้าที่ฆ่าสามีของพวกเจ้า บิดาของพวกเจ้า! นั่นเพราะพวกเจ้าฆ่าญาติของข้า สหายร่วมชาติของข้า ในนั้นมีเด็กและสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นเจ้า! พวกเจ้าจะไม่เชื่อก็ได้ เพราะท่านข่านของพวกเจ้าจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก แต่…แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยสาบานกับเทพแห่งทุ่งหญ้ามาก่อน คำพูดนี้ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น วันหน้าไม่มีวันกล่าวซ้ำอีก! ชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้า ซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง…พวกเจ้าจงจำใบหน้าของข้าเอาไว้ มีความแค้นจงมาหาข้า หากข้ากลัวพวกเจ้า ข้าก็จะเป็นท่านปู่ของพวกเจ้า!” เขาคำรามก้องดังหมาป่า ท่าทางอันดุร้ายนั้น แม้แต่เด็กทารกซึ่งร้องไห้กระจองอแงอยู่ในอ้อมอกมารดาก็ยังตกใจจนหยุดร้อง สายของชาวทูเจี๋ยทั้งหมดรวมอยู่ที่ร่างเขา มีความหวาดกลัว แต่สิ่งที่มากกว่าก็คือความเคียดแค้นชิงชัง
เขาเสียงทุ้มต่ำ ท่าทีสงบนิ่ง กวาดสายตามองชาวทูเจี๋ยทั้งหมด มือใหญ่สอดเข้าไปในอก ควักของสิ่งหนึ่งออกมาอย่างแช่มช้า เปล่งประกายอยู่หน้าชาวทูเจี๋ย “จากการกระทำทั้งหมดของชาวทูเจี๋ยเช่นพวกเจ้า ตามหลักการและเหตุผลแล้ว ข้ากับบรรดาพี่น้องของข้าจะไม่มีวันละเว้นพวกเจ้า เพียงแต่พวกเราชาวต้าหัวมีคำโบราณอยู่ประโยคหนึ่ง สวรรค์รักใคร่ชีวิต ในเมื่อคำโบราณกล่าวเช่นนี้ ข้าจะมอบโอกาสให้พวกเจ้าครั้งหนึ่ง ให้สวรรค์ตัดสินชะตาของพวกเจ้า…”
ชาวทูเจี๋ยเงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพสำเนียง ทหารต้าหัวก็จ้องจอมทัพของเข่าเช่นกัน ไม่รู้ว่าเขาจะตัดสินชะตาของชนเผ่านอกด่านเช่นไร
หลินหว่านหรงหัวเราะคราหนึ่ง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “การประชันที่ยุติธรรมมากที่สุดนับตั้งแต่ต้าหัวเรามีประวัติศาสตร์เป็นต้นมา นั่นก็คือการโยนเหรียญ! ช่วงเวลาที่เหรียญทองแดงในมือข้าหล่นลงพื้น ออกหัว หมายความว่าพวกเจ้าจากไปได้อย่างปลอดภัย หากออกก้อย เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงทิ้งชีวิตไว้ ชดใช้ให้สหายร่วมชาติของข้า! ขอพระโพธิสัตว์กวนอิมและเทพแห่งทุ่งหญ้าโปรดมาเป็นสักขีพยานให้พวกเรา เริ่ม!”
เขากัดฟันกรอดทันที เหรียญทองแดงในมือลอยขึ้นท้องฟ้า พลิกหมุนจำนวนนับไม่ถ้วน ร่วงหล่นลงบนทุ่งหญ้าอย่างเงียบงัน……