ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 548
หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง จากนั้นจึงส่ายหน้าพร้อมยิ้มหยันทันที “หากเป็นข่านทูเจวี๋ยพูดกับข้า ข้ายังจะเชื่ออยู่บ้าง แต่คุณหนูอวี้เจียเจ้าน่ะ…ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง เจ้ามีความสามารถเช่นนั้นหรือ?”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง กล่าวเรียบๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องหลอกถามข้า พูดโน้มน้าวท่านข่านได้อย่างไรนั่นเป็นเรื่องของข้า แต่คำพูดที่อวี้เจียพูดไปแล้วจะต้องทำให้จงได้ ข้าขอรับประกันกับเจ้า นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกแห่งที่ทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยไปถึง จะไม่ฆ่าล้างบางเด็กและสตรีชาวต้าหัวเด็ดขาด อวี้เจียขอเทพแห่งทุ่งหญ้าเป็นพยาน”
นางมีสีหน้าหนักแน่นแน่วแน่ น้ำเสียงฉะฉาน ยามเอ่ยถึงเทพแห่งทุ่งหญ้าก็ยิ่งจริงใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ภายในดวงตาเปล่งประกายบางๆ ใช้เทพแห่งทุ่งหญ้าสาบานได้ น่าจะไม่ได้โกหก หลินหว่านหรงอึ้งเล็กน้อย ความสามารถของอวี้เจียคนนี้ อยู่เหนือจากที่เขาคิดไว้มากมายนัก ที่แท้นางมีสถานะอะไรกันแน่? เหมือนนับวันจะยิ่งประหลาดมหัศจรรย์มากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสองคนต่างไม่พูดไม่จา ภายในตัวรถพลันเงียบสงัดลงไป เสียงเพลารถขยับหมุนดังเอี๊ยดอ๊าดๆ ได้ยินอย่างชัดเจน อวี้เจียพูดจบก็หลับนัยน์ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย ขนตายาวกระเพื่อมเบาๆ ไปตามตัวรถ เหมือนจะหลับไปแล้ว
ถูกการรบกวนของนางครั้งนี้ ความง่วงเหงาหาวนอนของหลินหว่านหรงสูญสลายไปจนหมดสิ้นไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงเลิกผ้าม่านแล้วลงจากรถทันที เดินไปทางพวกของเกาฉิวสองคน
ทุ่งหญ้ายามราตรีเงียบสงัดสงบสุข ท้องนภาอยู่ใกล้ทุ่งหญ้ามากขนาดนี้ ราวกับท้องฟ้าจะร่วงหล่นใส่ยอดศีรษะคน หมู่ดาวอันเจิดจรัสระยิบระยับวับวาว เดินทอดน่องใต้ท้องฟ้ายามราตรีอันกว้างใหญ่ไพศาล แสงไฟอันเบาบางตกกระทบต้องใบหน้าเหล่านายทหาร คบเพลิงอยู่ห่างกระจัดกระจาย ทัพใหญ่ห้าพันนายเดินรุกคืบไปข้างหน้าต่อเนื่องทั้งคืน
เกาฉิวมือชูเทียนขึ้นสูง ส่องแผนที่ที่อยู่ในมือหูปู้กุย “พื้นที่ระหว่างเขตแดนของชาวทูเจวี๋ยห่างไกลกันมาก บวกกับชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่ถูกดึงตัวไปแนวหน้าแล้ว ด้วยเหตุนี้ต่อให้ข่าวเรื่องต๋าหลานจาถูกโจมตีจะแพร่ถึงหูชาวทูเจวี๋ยตั้งแต่แรก พวกมันคิดจะโยกย้ายกำลังพลให้เพียงพอเพื่อช่วยเหลือต๋าหลานจา นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นกัน ตามการคาดการณ์ของข้า อย่างเร็วที่สุดชาวทูเจวี๋ยก็ต้องใช้เวลาวันสองวันถึงจะรีบรุดมาถึงต๋าหลานจา และหากต้องการรู้สถานการณ์ให้แน่ชัด เวลาที่ใช้ก็ต้องนานมากยิ่งขึ้น มีเวลามากเพียงพอเช่นนี้ ทั้งยังอยู่บนทุ่งหญ้าอันไร้ขอบเขตแบบนี้อีก ต่อให้ชาวทูเจวี๋ยมีความสามารถอันยิ่งใหญ่ก็ไม่มีทางกระทำการอย่างง่ายดายแน่ ฮิฮิ เหล่าเกา คราวนี้มีให้สู้แล้ว!”
การศึกในคืนนี้ นอกจากเด็กและสตรี ชาวทูเจวี๋ยที่ถูกกำจัดมีถึงสี่พันกว่าคน ส่วนฝั่งเขากลับสูญเสียเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือนี่เป็นศึกครั้งแรกของทหารม้าต้าหัวที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าอันแสนจะลือลั่น เขี้ยวเล็บปรากฏเป็นครั้งแรก สะเทือนเลื่อนลั่นเป็นหนักหนา ทำให้เหล่านายทหารพึงพอใจ คึกคักอักโข แค้นใจที่ไม่อาจก่อกวนค่ายของชนเผ่านอกด่านอีกสักสิบที่ภายในอึดใจเดียว
เหล่าเกาหัวเราะด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องหลายครั้ง “มารดามัน ชนเผ่านอกด่านพวกนี้ ดูตัวคนรูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับสู้ไม่ค่อยเท่าไหร่เลยนะ คืนนี้ข้าเพิ่งฟันไปได้สามสิบกว่าคนก็หมดแล้ว! พอมองดูบรรดาสตรีและเด็กน้อยเหล่านั้น ข้าก็ลงมือไม่ลงมารดามันจริงๆ ดูท่าว่าชาติหน้าไปเป็นเดรัจฉานจะดีกว่า”
เจ้าคนนี้เป็นพวกที่เอารัดเอาเปรียบได้แล้วยังแกล้งทำเป็นไขสือของแท้เลยทีเดียว หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ สองครั้ง ขณะที่หันหน้าไปก็เห็นหลินหว่านหรงกำลังเดินหาวมาทางนี้พอดี
“เอ๊ะ น้องหลิน หลับนอนแล้วหรือ?!” เกาฉิวหน้าตาระรื่น ยิ้มอย่างมีเลศนัยและต่ำช้า พูดด้วยความหมายแฝงสองทาง
เมื่อเห็นเจ้าคนลามกเช่นเหล่าเกาคนนี้ ความหงุดหงิดใจพลันลดลงไปมาก หลินหว่านหรงหัวเราะแล้วตอบว่า “นอนอะไรกัน ข้าเป็นคนต่ำขนาดนั้นเลยหรือ?! พี่เกา นี่ท่านเพิ่งจะใสซื่อไปไม่กี่ชั่วยาว เหตุใดโรคเก่าถึงกำเริบอีกแล้วล่ะ?…พี่หู พวกท่านกำลังดูอะไรอยู่?!”
หูปู้กุยผงกศีรษะ ชี้แผนที่พร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ข้าน้อยกำลังตรวจสอบแผนที่กับน้องเกาอยู่ขอรับ ตามการคาดการณ์ของข้า พวกที่ได้ข่าวแล้วมาช่วยเหลือก่อนน่าจะเป็นสองเขตแดนที่อยู่ใกล้อี้อู๋ ดูสิขอรับ ก็คือตรงนี้ ที่หนึ่งคือฮาเอ่อร์ เหอหลิน อีกที่คือเอ๋อจี้หนา กุนซือสวีต่างลงเครื่องหมายบนแผนที่แล้ว”
อี้อู๋ตั้งอยู่ตีนเขาสือหลัวม่าน อยู่ติดกับทะเลแห่งความตายหลัวปู้ปั๋ว เป็นเส้นแบ่งเขตแดนทางธรรมชาติระหว่างทุ่งหญ้าอาลาซ่านกับทะเลแห่งความตาย ส่วนสองดินแดนที่หูปู้กุยพูดมา จากเหนือจรดใต้ อยู่เป็นแนวเส้นตรงกับอี้อู๋พอดี ฮาเอ่อร์เหอหลินยังอยู่ห่างค่อนข้างไกล ส่วนเอ๋อจี้หนากลับตั้งอยู่ละแวกใกล้เคียงกับอี้อู๋ สองดินแดนนี้ตั้งเป็นสามเหลี่ยมกับต๋าหลานจา ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงซึ่งกันและกัน
แผนที่นี้ไม่รู้ว่าศึกษามากี่รอบแล้ว หลินหว่านหรงย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี หลับตาก็ยังวาดตำแหน่งของเขตแดนแต่ละแห่งได้ ดังนั้นจึงผงกศีรษะเล็กน้อย
หูปู้กุยกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เมื่อคาดเดาจากสภาพของต๋าหลานจาคืนนี้ ฮาเอ่อร์เหอหลินกับอ๋อจี้หนาต้องเป็นเขตแดนขนาดใหญ่สองแห่งด้วยเช่นกัน จำนวนคนต้องไม่น้อยแน่นอน รบกันขึ้นมาก็ยิ่งเมามัน ท่านแม่ทัพ เป้าหมายต่อไปของพวกเราเลือกที่ใดดีขอรับ?”
เกาฉิวมองเขาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเช่นกัน รีบพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้วล่ะ น้องหลิน เจ้ารีบบอกมาเร็ว ก้าวต่อไปของพวกเราควรสู้ที่ไหนดี?!”
นับตั้งแต่หูปู้กุยติดตามหลินหว่านหรง เข่นฆ่าชนเผ่านอกด่านราวกับหั่นผัก นี่ทำให้เขาเกิดความเชื่อถือและเทิดทูนหลินหว่านหรงโดยสมบูรณ์ คล้ายว่าหากมีแม่ทัพหลินออกโรง ความยากลำบากทุกสิ่งก็จะหายไป รู้ทั้งรู้ว่าดินแดนสองแห่งที่อยู่ใกล้อี้อู๋ต่างมีกำลังไม่เบา แต่เขากลับยังมั่นใจเปี่ยมล้น
หลินหว่านหรงยิ้มขื่นแล้วตอบว่า “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านนึกว่าข้าเป็นเทพเซียนหรือ ชี้ไปที่ไหนก็สู้ที่นั่นได้?!”
“น้องหลิน เจ้าไม่ใช่เทพเซียน…” เกาฉิวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “…เทพเซียนองค์ไหนจะไปสู้เจ้าได้เล่า?!”
ความสามารถในการเลียของเหล่าเการุดหน้าขึ้นไม่น้อยเลยนะ! หลินหว่านหรงส่ายหน้าพลางหัวเราะ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อันที่จริงไม่ขอปิดบังพี่ชายทั้งสอง ดินแดนทั้งหลายเหล่านี้จะเลือกยึดที่ใดก่อน ข้ายังไม่ได้คิดให้เรียบร้อยเลยจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ตอนนี้แม้แต่ขนาดกับตำแหน่งของพวกมันก็ยังไม่แน่ชัด ข้าอยากจะลงมือก็ทำไม่ได้นา”
นี่กลับเป็นความจริง ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ไม่อาจรบโดยปราศจากการเตรียมตัวได้ ก่อนจะรู้สภาพการณ์แน่ชัดก็มาให้แม่ทัพหลินตัดสินแผนการแล้ว นั่นออกจะปราศจากเหตุผลบ้างจริงๆ หูปู้กุยหัวเราะฮิฮะด้วยความกระดากใจ สีหน้าละอาย เหล่าเกาไร้ยางอายจนชินแล้ว หนังหน้าไม่แดงเลยสักนิด
“เพียงแต่…เมื่อครู่พี่หูกล่าวถูกต้องมาก” หลินหว่านหรงหยุดชะงัก ผงกศีรษะแล้วพูดต่อไป “หากต้องการช่วยต๋าหลานจา ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือพื้นที่เหล่านี้ อันที่จริงก็เลือกไม่ยาก ใครยกทัพมาต๋าหลานจา ข้าก็รบกับผู้นั้น!”
เกาฉิวบังเกิดปัญญาขึ้นมาโดยพลัน “ใช่ๆ ฉวยโอกาสช่วงที่รังของมันว่างเปล่า พวกเราลอบโจมตีมัน”
“แต่เป้าหมายของพวกเราคืออี้อู๋…” หูปู้กุยขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามเบาๆ
หลินหว่านหรงผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ผิด เป้าหมายสุดท้ายของเราก็คืออี้อู๋ แต่ความลับนี้มีแค่พวกเราสามคนที่รู้ ชนเผ่านอกด่านไม่มีทางรู้ตัว ในสายตาของพวกมัน พวกเราคือทัพอันโดดเดี่ยวที่รุกล้ำทุ่งหญ้า ใช้การศึกเลี้ยงการศึก สู้เสร็จก็หนี เป้าหมายก็เพื่อสร้างความกระทบกระเทือนต่อขวัญกำลังใจของชาวทูเจวี๋ย หากพวกเรามาถึงก็เล็งไปที่อี้อู๋ กลับจะชักนำความสงสัยให้พวกมัน สร้างความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ก่อนพวกเราเข้าสู่อี้อู๋ให้สู้อย่างงดงามอีกสักหลาย ๆ ครั้งก่อน อย่างไรเสียจะได้คลายความสงสัยของพวกมันไปได้ จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ จูงจมูกชาวทูเจวี๋ยให้เดินไป ให้พวกมันเต้นเร่าด้วยความโกรธ…นอกจากพวกเรากันเองแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเราจะทำอะไร”
“หากกล่าวเช่นนี้แสดงว่ายังมีศึกอีกหลายครั้งที่ต้องสู้?!” เกาฉิวถามด้วยความคึกคักอักโข
“โดยพื้นฐานแล้วก็ใช่กระมัง” หลินหว่านหรงดวงตาสาดประกายดุร้าย สะบัดมือในบัดดล กล่าวหัวเราะฮิฮะว่า “ถ้าเป็นไปได้ ข้ากลับอยากขุดรากถอนโคนดินแดนสักหลายแห่ง ดูสิว่าชาวทูเจวี๋ยมันจะทำอะไรข้าได้”
พูดแบบนี้ใจของแต่ละคนพลันเบิกบาน เมื่อเห็นแม่ทัพหลินมีปณิธานเช่นนี้ หูปู้กุยจึงผงกศีรษะด้วยความตื่นเต้นตลอดเวลา “ดี ควรเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยขอสาบานว่าจะติดตามจนวันตายขอรับ”
หลินหว่านหรงตบบ่าเขาพร้อมหัวเราะ ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่จริงสิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุดตอนนี้ไม่ใช่ดินแดนหลายแห่งในละแวกใกล้เคียงอี้อู๋ แต่เป็นทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นที่พวกเราหลอกให้ไปอู่หยวนนั่นต่างหาก”
หูปู้กุยตกใจในบัดดล หากไม่ใช่หลินหว่านหรงเอ่ยขึ้นมา เขาแทบจะลืมเรื่องนี้ไปสนิท “ท่านแม่ทัพ ท่านกังวลว่าหลังจากพวกมันดูแผนการของพวกเราออกแล้วจะย้อนกลับมาไล่ตามพวกเราหรือขอรับ?!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พวกมันมาเพราะข้า กาย้อนกลับมานั้นแน่นอน เพียงแต่เป็นเรื่องของเวลาไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น โชคยังดีที่ข้ายังชิงลงมือก่อน!”
เห็นเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หูปู้กุยจึงอดถามไม่ได้ “ลงมือก่อนอะไรหรือขอรับ?!”
“พี่หูลืมแล้วหรือ?!” หลินหว่านหรงกะพริบตา “คืนนี้พวกเราปล่อยเด็กและสตรีไปสามพัน พวกนางไปที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ…”
เกาฉิวที่อยู่ด้านข้างกะพริบตา กล่าวด้วยความตกใจขึ้นมาทันที “ข้าเข้าใจแล้ว ชาวทูเจวี๋ยสองหมื่นนี้เดินทางรอนแรมทั้งวัน หิวเหนื่อยอิดโรย น้องหลินเจ้าใช้เด็กและสตรีจำนวนสามพันที่หิวโหยนี้ดึงลากพวกมันไว้ ให้พวกมันจะสลัดก็สลัดไม่หลุด จะเดินทางก็เดินทางไม่ได้ ทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของเจ้าแพร่ออกไปอีก…สูงส่ง ช่างสูงส่งเสียจริงนะ!”
หลินหว่านหรงยกมือขึ้นพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ในทหารม้าสองแสนนี้มีผู้สูงส่งอยู่ หลายวันก่อนเกือบจะจับผิดแผนการของพวกเราได้ ไม่แน่ว่าคราวนี้มันก็ต้องสงสัยเป้าหมายในการปล่อยคนของข้าเช่นกัน และต้องคิดสะเปะสะปะอะไรไปด้วย ยืดเวลาไปได้ไม่กี่วันก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลยกระมัง”
คนทั้งหลายหัวเราะกันครู่หนึ่ง ตัดสินใจเป็นแม่นมั่นแล้ว ออกเดินทางร้อยกว่าลี้ภายในชั่วอึดใจเดียว จากนั้นถึงปักหลักตั้งค่ายก็เป็นเวลาเกือบถึงยามสองแล้ว
หลินหว่านหรงสัมผัสได้ว่าสถานะของอวี้เจียนั้นไม่ธรรมดายิ่ง ดังนั้นจึงเฝ้าคุมนางด้วยความเข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษ เมื่อตั้งกระโจมเรียบร้อยก็ลากนางเข้ากระโจมตนเองโดยปราศจากความลังเล
อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนเร็วรี่ กล่าวด่าทอด้วยโทสะ “เจ้าทำอะไร?! ห้ามแตะต้องข้า”
“ถ้าข้าอยากแตะต้องเจ้าจริง เจ้าจะทำอะไรได้?!” หลินหว่านหรงมองประเมินนางตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวเราะร่วนพร้อมพูดว่า “กัดลิ้น? ผูกคอตาย? หรือว่าแทงท้อง?!”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เจ้าโจรผู้นี้เคยข่มขู่ ต่อให้ตัวเองตายก็ไม่มีวันจากไปอย่างสงบ อวี้เจียกัดฟันกรอดหน้าขาวซีด ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่ส่งเสียงออกมาสักแอะเดียว
หลินหว่านหรงยกมืออย่างดูแคลน “หรือว่าคนในสายตาเจ้าล้วนเป็นเดรัจฉาน? ขี้เกียจจะพูดกับเจ้าแล้ว! ตอนนี้มีเตียงทหารอยู่หลังหนึ่ง ยังมีพื้นหญ้าอันกว้างขวาง เจ้าต้องการนอนที่ใด?!”
“ข้าไม่นอนที่ไหนทั้งนั้น ข้ามีรถม้าของตัวเอง…” อวี้เจียตอบอย่างเดือดดาล
“รถม้า?!” หลินหว่านหรงแค่นเสียง ควักดาบโค้งสีทองออกมาจากอก กลับชิงมาจากมืออวี้เจียตอนที่มัดนาง เขานำคมดาบของดาบทองซึ่งเปล่งประกายวิบวับนั้นกรีดผ่านใบหน้าสาวน้อยทูเจวี๋ยเบาๆ สองครั้ง พูดอย่างเย็นชาว่า “ลืมบอกเจ้าไปคุณหนูอวี้เจีย รถม้าของเจ้าถูกพี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บของข้าใช้งานไปแล้ว”
เห็นเขาเอาดาบทองมาทำท่ากรีดไปมาอยู่ตรงหน้าตน หัวเราะอย่างต่ำช้ายิ่งนัก อวี้เจียโกรธจนหน้าซีด “เอาดาบทองคืนมาให้ข้า เจ้า…เจ้าชาวต้าหัวป่าเถื่อน!”
“ป่าเถื่อน?! ข้ายังป่าเถื่อนกว่าชาวทูเจวี๋ยอีกหรือ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน ยกดาบทองเสียงดังขวับ คมดาบอันคมกริบนั้นตัดปอยผมงามข้างใบหูอวี้เจียปอยหนึ่ง ดุร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้ “ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีของถามอีกรอบ คุณหนูอวี้เจีย เจ้าจะนอนบนพื้นหญ้าหรือว่านอนเตียง?! ถ้าเจ้าไม่ตอบ คืนนี้เจ้าก็นอนบนหลังม้า!”
“เจ้านึกว่าอวี้เจียจะกลัวเจ้าหรือ?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยถลึงตามองเขา กัดฟันกรอดพร้อมเอ่ยว่า “ข้านอนเตียง!”
“เอ๊ะ สายตาไม่เลวเลยนี่นา รู้ว่าเตียงหลังนี้ข้าเคยนอนมาก่อน! เช่นนั้นก็ดี นอนด้วยกัน นอนด้วยกัน!” โจรยังพูดไม่ทันจบ สาวน้อยทูเจวี๋ยก็ตกใจยกใหญ่ “ข้าไม่นอนเตียงของบุรุษ ข้า…ข้านอนพื้นหญ้า!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ยากนักที่เจ้าจะเอาใจใส่เช่นนี้ ยังรู้ตัวว่าเป็นเชลยอยู่บ้าง เอาเถอะ พื้นหญ้านี้เป็นของเจ้า จริงๆ เลยนะ ไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มขอนอนบนพื้นหญ้ามาก่อน คิดจะไม่รับปากก็คงยาก!”
เจ้าคนนี้ที่แท้เป็นวีรบุรุษต้าหัวหรืออันธพาลต้าหัวกันแน่?! ถูกเขาบีบจนไม่อาจทนได้อีก อวี้เจียพลันรู้สึกงุนงง นับตั้งแต่แต่สัมผัสและปะทะกันในช่วงหลายวันมานี้ แรกสุดนางเป็นฝ่ายได้เปรียบแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาสองฝ่ายเสมอกัน จากนั้นกลับเป็นโจรต้าหัวที่ครอบครองการเป็นฝ่ายกระทำ เจ้าโจรหน้าดำคนนี้คล้ายเจอคนอ่อนแอไม่อ่อนแอ เจอคนแข็งแกร่งกลับยิ่งแข็งแกร่ง ทำให้คนยากจะคาดเดา
หลินหว่านหรงบิดขี้เกียจ หาวต่อเนื่องออกมาหลายครั้ง ล้มตึงนอนหงายอยู่บนเตียงทหาร พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาอย่างสบายอารมณ์ ไม่ไต่ถามสตรีทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างกาย เหมือนนางเป็นอากาศธาตุ
กระโจมทหารก็แค่ใช่บังลมกันฝนเท่านั้น พื้นยังคงเป็นพื้นหญ้าโล่งๆ อวี้เจียกัดฟันกรอดแล้วนอนลงบนพื้นหญ้า รู้สึกหนาวเย็นเสียดแทงกระดูก น้ำค้างซึมผ่านชุดกระโปรงอันเบาบางไปถึงกายเนื้อ ทำให้นางอดตัวสั่นไม่ได้ เริ่มหนาวเย็นไปทั้งร่าง การนอนอยู่บนพื้นหญ้าเช่นนี้ทั้งคืน ต่อให้เป็นคนที่ห้าวหาญอีกสักเพียงใดก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
นางอดมองหลินหว่านหรงคราหนึ่งไม่ได้ เห็นเพียงเจ้าโจรนั่นนอนอยู่บนเตียง ในมือยังกุมดาบทองซึ่งเดิมทีเป็นของตนไว้อีกด้วย สองตาหลับสนิท หายใจสม่ำเสมอ กลับค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
ขอเพียงเจ้าโจรนี่ไม่ทำเรื่องเลวร้ายอื่นใดอีก นั่นถือว่าเทพแห่งทุ่งหญ้าคุ้มครองแล้ว ยังจะอ้อนวอนอะไรได้อีก? สาวน้อยทูเจวี๋ยสองตาเปียกชื้น ฝืนสะกดกลั้นความรู้สึกอยุติธรรมภายในใจ กำมือแน่น กัดฟันกรอดอย่างดื้อดึง ค่อยๆ หลับตาลง……