ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 549
“ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาวลอยล่อง ใต้เมฆขาวม้าวิ่งห้อตะบึง โบกสะบัดแส้ดังไปทั่วทิศ เหล่าสกุณาสยายปีกบินพร้อมเพรียงกัน”
เสียงเพลงดังฟังชัดกระจ่างใสกรีดผ่านความเงียบสงบบนทุ่งหญ้ายามเช้าตรู่ เสียงนั้นกับคำว่าไพเราะสองพยางค์อยู่กันคนละฟากฝั่งโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่พอจะพูดได้ก็คือยังถือว่าห้าวหาญอยู่บ้าง
คล้ายถูกเสียงเพลงนี้ดึงดูด ไม่รู้ว่ามีนกจาบฝนแห่งทุ่งหญ้าหลายตัวบินมาจากที่ใด บินวนส่งเสียงจิ๊บๆ เหนือขบวน โบยบินเริงร่า ดวงตะวันแรกอรุณสาดทอลำแสงสีแดงไปทั่ว ส่องใบหน้าอันวัยเยาว์ของเหล่านายทหาร น้ำค้างใสบริสุทธิ์เกาะอยู่บนเส้นผม ใบหน้า กระจ่างสุกใสเป็นพิเศษ
หลินหว่านหรงขี่อยู่บนหลังม้า ร้องเพลงเสียงดังมาตลอดทาง ที่ร้องคือเพลงประหลาดที่คนอื่นฟังไม่เข้าใจหลายเพลง ทว่ากลับติดปาก ฟังแล้วก็ร้องได้ ทหารห้าพันเดินทางอย่างแช่มช้าตลอดทาง มองดูท่าทางสบายอารมณ์ของเขา ฟังเสียงดังเป็นพิเศษของเขา เพลงเสียงเพี้ยนของเขา ต่างอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้…เสียงฆ้องแตกแบบนี้ก็กล้ามาแสดงด้วย?! แต่เขาก็ยังร้องไม่หยุดอยู่ดี ทุกคนสนุกสนานจนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จากนั้นก็ค่อยๆ ถูกเขาแพร่เชื้อด้วย หลุดพ้นออกมาจากเรื่องการทำศึกโดยไม่รู้ตัว กลับคืนสู่ห้วงอารมณ์แห่งความสุข สภาพจิตใจของทุกคนผ่อนคลายลง ความรู้สึกรื่นเริงยินดีแพร่ไปสู่ทุกคน ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่นี้คล้ายกลายเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของพวกเขา
“น้องหลิน เหมือนว่าวันนี้จะอารมณ์ดีไม่เลวเลยนะ หรือว่าเมื่อคืนได้แล้ว?!” เหล่าเกานั่งคร่อมอยู่บนม้า ฟังน้องหลินฮึมฮัมเพลงเพี้ยน จึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
หูปู้กุยมองเขาอย่างระแวดระวังคราหนึ่ง พูดกดเสียงต่ำว่า “ได้ไม่ได้ข้าไม่รู้ แต่ระดับในการร้องเพลงของท่านแม่ทัพ…เอ่อ ต้องพัฒนาขึ้นจริงๆ เหล่าเกา เจ้าขวัญกล้า จะขอให้เจ้าไปพูดกับเขาได้หรือไม่ เหล่าพี่น้องใกล้จะตั้งค่ายก่อไฟกินข้าวแล้ว…เช่นนั้น จะขอให้ท่านแม่ทัพหยุดชั่วคราวได้หรือไม่?!”
“ท่านกล้ารังเกียจน้องหลิน?!” เหล่าเกากล่าวระคนหัวเราะ “เขาร้องเพลง แสดงว่าเขามีความมั่นใจว่าจะทำงานใหญ่ได้ แบบนี้พวกเราถึงวางใจนะ…จะว่าไป ความสามารถในการร้องเพลงของน้องหลินนี้มันช่างไม่ได้ความเสียจริง ห่างไกลจากคณิกาที่แปดหูถ้งใหญ่ไกลลิบ เพียงแต่ก็ควรรู้จักพอแล้ว ฟังคณิการ้องเพลงต้องจ่ายเงิน แต่ฟังน้องหลินร้องเพลง ไม่แน่ว่าเขากลับหาเงินได้ด้วย ฮ่าๆ!”
ทั้งสองหัวเราะกันอย่างสกปรกต่ำช้าหลายครา ถือเป็นการหาความสุขให้ตัวเอง รู้สึกมีความสุขไปชั่วขณะเช่นกัน
มีทหารม้านายหนึ่งขี่ห้อตะบึงมาแต่ไกล รีบหยุดอยู่ตรงหน้าหลินหว่านหรง เป็นหน่วยลาดตระเวนที่ส่งออกไปเมื่อคืนนั่นเอง เพื่อความปลอดภัย เมื่อคืนก่อนโจมตีต๋าหลานจา เขาหารือกับหูปู้กุย ส่งไพร่พลจำนวนหนึ่งออกไปสืบข่าวข้างหน้า คิดไม่ถึงว่าจะมีข่าวกลับมาเร็วขนาดนี้
ทหารนายนั้นเช็ดเหงื่อชุ่มโชกบนหน้าผาก รีบพูดขึ้นมาว่า “เรียนแม่ทัพ ข้างหน้าออกไปสามสิบลี้พบทหารม้าของชนเผ่านอกด่านขอรับ”
“อ้อ?!” หลินหว่านหรงดวงตากระจ่างวูบ “มาจากที่ใด? มีกี่คน?!”
หูปู้กุยกับเกาฉิวเมื่อได้ยินว่าพบร่องรอยของชนเผ่านอกด่านก็กรูเข้ามาตั้งแต่แรก ได้ยินหน่วยลาดตระเวนนายนั้นกล่าวรายงานว่า “ท่าทางว่ามีถึงสองพันกว่าคน แต่ไม่ถึงสามพันคนขอรับ ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าชนเผ่านอกด่านพวกนี้มาจากที่ใด แต่ตามการคาดเดาของข้าน้อย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นไพร่พลซึ่งส่งมาจากฮาเอ่อร์เหอหลินหรือไม่ก็เอ๋อจี้น่าที่อยู่ข้างหน้าขอรับ”
“ฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่า?” หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม ผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “มีความเป็นไปได้ พวกเจ้าหาตำแหน่งของดินแดนทั้งสองได้หรือไม่?”
ทหารนายนั้นส่ายหน้าด้วยสีหน้าละอายใจ “เนื่องจากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของทหารม้าทูเจวี๋ยกลุ่มนี้ พวกของข้าน้อยจึงไม่กล้าเดินหน้าอย่างบุ่มบ่าม ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันตำแหน่งที่แน่ชัดของสองดินแดนนี้ได้ขอรับ”
กลุ่มย่อยของหน่วยลาดตระเวนมีแค่สิบกว่าคน เมื่อเผชิญกับทหารม้าฝ่ายศัตรูกลุ่มใหญ่ซึ่งโผล่มากะทันหันแบบนี้จึงทำได้แค่หลบหลีก นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ หลินหว่านหรงมองหูปู้กุยแล้วถามว่า “พี่หู ท่านรู้สึกว่าสองพันกว่าคนนี้มาจากที่ใด?”
เหล่าหูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผงกศีรษะแล้วตอบว่า “เมื่อทอดสายตามองไปรอบต๋าหลานจา ทั้งต้องทิ้งไพร่พลจำนวนมากไว้เพื่อเฝ้าดินแดน ทั้งยังออกมาช่วยเหลือดินแดนใกล้เคียงได้ด้วย ก็มีแค่ฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่าถึงมีอำนาจทำเช่นนี้ ข้าน้อยคิดว่าไพร่พลที่ไม่ถึงสามพันนี้ บนทุ่งหญ้าไม่ถือว่ามาก แต่ก็ไม่น้อยแน่นอน ต้องเป็นเพราะสองดินแดนนี้ได้รับข่าวการโจมตีต๋าหลานจาถึงส่งไพร่พลออกมา พี่น้องที่อยู่ข้างหน้าบังเอิญพบทหารม้าของชนเผ่านอกด่าน เมื่อมองจากจุดนี้ หน่วยลาดตระเวนของเราอาจไปถึงเขตแดนรอบนอกของสองดินแดนนี้ก็เป็นได้ ตอนนี้ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวทูเจวี๋ยรู้สึกตัวขอรับ”
การวิเคราะห์ของหูปู้กุยสมเหตุและผล หลินหว่านหรงผงกศีรษะเห็นด้วย “พี่หู เช่นนั้นตามการวิเคราะห์ของท่านแล้ว หากพวกเราไม่เปลี่ยนทิศทาง เดินตรงไปเช่นนี้เรื่อยๆ ชนเผ่านอกด่านสองพันกว่าคนนี้จะเจอพวกเราเมื่อไหร่?!”
เหล่าหูยกนิ้วนับอยู่นาน จากนั้นจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “นี่ก็พูดยาก เพราะชาวทูเจวี๋ยไม่รู้สถานการณ์ของต๋าหลานจากับพวกเราแม้แต่น้อย มันไม่น่าจะบุ่มบ่ามเข้ามา ถ้าสองทัพบังเอิญเจอกัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องยามสนธยาของวันนี้ ตอนพระอาทิตย์ตกดินขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไม่กี่ชั่วยามแล้วสิ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “ชาวทูเจวี๋ยพวกนี้ช่างมารวดเร็วนัก ไม่หยุดพักทั้งวันทั้งคืน ไม่ถึงพรุ่งนี้เช้าก็จะถึงต๋าหลานจาแล้ว”
หูปู้กุยโบกมือ หัวเราะแล้วตอบว่า “ไม่หยุดทั้งวันทั้งคืนนั้นเป็นไปไม่ได้ขอรับ ต่อให้ชนเผ่านอกด่านทนได้ แต่ม้าศึกก็ทนไม่ได้ ชนเผ่านอกด่านมีความเคยชินกับการเดินทางกลางวันพักผ่อนกลางคืน นั่นเพราะต่อให้ม้าทูเจวี๋ยวิ่งเดินทางรวดเร็ว วันหนึ่งเดินทางได้เป็นพันลี้ แต่การเคลื่อนที่อย่างรุนแรงเช่นนี้จะทำให้มันสูญเสียกำลังกายไปมาก แค่อาศัยหญ้าป่าบนทุ่งหญ้าอาลาซ่านแห่งนี้ นั่นไม่พอเลยสักนิด ทุกคืนจะต้องป้อนหญ้าเสบียงและน้ำดื่มให้กับม้าศึกขอรับ”
หลินหว่านหรงอ้อเบาๆ สองตาอดหรี่ลงไม่ได้ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เกาฉิวฟังพวกเขาสองคนสนทนากันอยู่ด้านข้างมานาน จึงอดหัวเราะแล้วพูดขึ้นมาไม่ได้ “ส่งคนมาเกือบสามพันคนภายในชั่วประเดี๋ยวเดียวได้ นี่เป็นดินแดนไหนที่มีทุนรอนมากขนาดนี้? ข้าเดาว่าที่ค่ายใหญ่ของพวกมันจะต้องว่างเปล่า พวกเราไปวางเพลิงปล้นค่ายได้พอดี!”
เจ้าเหล่าเกาติดตามข้าก็ไม่ใช่เวลาสั้นๆ แล้ว แล้วเหตุใดปัญญาถึงไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยสักนิดเลยนะ?! หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “พี่เกา หากท่านคิดเช่นนี้ เช่นนั้นเกรงว่าคงหลงกลเข้าแล้วล่ะ”
“หลงกล?!” เกาฉิวเบิกตาโพลงทันที “เพราะเหตุใด?!”
เจ้าคนนี้เวลาว่างก็ชอบศึกษาตำราภาพชุนกง ไม่ยอมเสียเวลาศึกษาตำราพิชัยสงครามให้มาก หลินหว่านหรงใบหน้าเต็มไปด้วยความอับจนปัญญา กลับเป็นหูปู้กุยที่พูดต่อ “น้องเกา เจ้าดูถูกชนเผ่านอกด่านเกินไปแล้ว ถ้าพวกเราคาดไม่ผิด เกือบสามพันนี้น่าจะเป็นทัพผสมระหว่างฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่า”
“ทัพผสม?!”
“ไม่ผิด!” หูปู้กุยผงกศีรษะด้วยสีหนาจริงจัง “น้องเกา ลองคิดดู หากเจ้าเป็นหัวหน้าของชนเผ่านอกด่าน แบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ในการปกป้องดินแดน แต่กลับยังต้องออกมาช่วยคนอีก…เจ้าจะส่งไพร่พลออกมากี่ส่วน?”
“อย่างมากก็แค่สามส่วน!” เกาฉิวกล่าวหนักแน่น
“นี่ก็ถูกแล้ว เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลิน ไม่ว่าดินแดนใดหากส่งไพร่พลประมาณสามพันเพื่อมาช่วยต๋าหลานจา มันต้องมีชายฉกรรจ์จำนวนแปดพันถึงหนึ่งหมื่นคนเป็นหน่วยระวังหลัง ในช่วงที่ชนเผ่านอกด่านโจมตีช่องเขาเฮ่อหลานซานอย่างเต็มกำลัง มีดินแดนไหนบ้างที่จะยังรักษาชายฉกรรจ์จำนวนมหาศาลราวหมื่นคนได้?! นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้คนสองพันกว่าคนนี้จะต้องเป็นทัพผสมระหว่างสองดินแดน และตามการคาดการณ์ของข้า ที่เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลิน ภายในค่ายใหญ่ของแต่ละแห่งยังมีทหารม้าชนเผ่านอกด่านอีกราวสี่พันกว่านาย หากคิดลอบโจมตีอย่างง่ายดายเช่นต๋าหลานจานั้น เกรงว่าคงไม่สำเร็จแล้ว” เหล่าหูถอนหายใจ รู้สึกอับจนปัญญาอยู่บ้าง
เมื่อวิเคราะห์เช่นนี้เหล่าเกาจึงเข้าใจจนหมดสิ้น เป็นเช่นที่หูปู้กุยว่าไว้จริง ชนเผ่านอกด่านนั่นไม่ใช่ไอ้โง่เสียหน่อย แล้วความผิดพลาดเช่นต๋าหลานจาจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองได้อย่างไร
“เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไร? จะสู้หรือไม่สู้กันแน่?!” เกาฉิวใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล กล่าวด้วยความรู้สึกลังเลอยู่บ้าง หูปู้กุยใช้สายตาคาดหวังมองแม่ทัพหลินเช่นเดียวกัน รอคอยให้เขาออกความเห็น
หลินหว่านหรงหลับตาลงเล็กน้อย ตั้งสติขบคิด จากการวิเคราะห์ของหูปู้กุยก็มองออก ไม่ว่าจะเป็นเอ๋อจี้น่าหรือว่าฮาเอ่อร์เหอหลิน ขนาดและจำนวนคนต่างมากกว่าต๋าหลานจาหลายเท่า หากต้องการโจมตีอย่างรุนแรง ด้วยไพร่พลห้าพันนี้ไม่อาจครองความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ได้ แม้จะทลายดินแดนของชนเผ่านอกด่านได้ ทว่าฝ่ายตนเองก็ต้องสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน และในสถานการณ์ที่ปราศจากกำลังเสริมนี้ ทหารห้าพันนี้คือสมบัติที่ล้ำค่ามากที่สุด ยังมีเรื่องที่ใหญ่กว่านี้รอคอยให้พวกเขาไปทำอยู่ ไม่ควรเสียสละโดยไร้ค่าเด็ดขาด เพียงแต่หากต้องเดินทางอ้อมเพื่อมุ่งตรงไปยังราชธานีของชนเผ่านอกด่าน อี้อู๋นี้เป็นทางที่ต้องผ่าน ต่อให้ไม่กำจัดฮาเอ่อร์เหอหลิน ก็ต้องยึดเอ๋อจี้น่าที่อยู่ติดอี้อู๋อยู่ดี
เขาครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้นก็เลิกหัวคิ้วขึ้น ดวงตาสาดประกายคมปลาบ โบกมืออย่างดุดัน “สู้ ต้องสู้แน่! พี่หูสั่งการให้พี่น้องที่อยู่ข้างหน้าเพิ่มการระวังป้องกัน รายงานร่องรอยของชนเผ่านอกด่านที่มาช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ”
“น้องหลิน ความหมายของเจ้าคงไม่ใช่ว่าจะจัดการสองพันกว่าคนนี้ก่อนนะ?” เกาฉิวถามด้วยความตื่นเต้นยินดี
หลินหว่านหรงผงกศีรษะเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึม หูปู้กุยขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยว่า “หากต้องการจัดการพวกมัน เกรงว่าคงไม่ง่ายดาย สาเหตุที่เมื่อคืนพวกเราลอบโจมตีต๋าหลานจาสำเร็จเป็นเพราะชนเผ่านอกด่านไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย บวกกับพวกมันมีเด็กและสตรีเป็นภาระ ดังนั้นถึงถูกพวกเรากำจัดอย่างสบาย แต่ชนเผ่านอกด่านสองพันกว่าคนนี้เคลื่อนไหวคล่องตัว หากคิดจะโอบล้อมพวกมันโดยไม้ให้รู้ตัวโดยสิ้นเชิงนั้นยากยิ่งนัก หากพวกเราเผยพิรุธเพียงเล็กน้อยก็จะถูกพวกมันพบเห็น พวกมันอาจเปลี่ยนทิศทางแล้วจากไปได้ บนทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ หากชนเผ่านอกด่านคิดหลบหนี ไม่ว่าใครก็ขวางไม่อยู่ ผู้นำของสองดินแดนนี้ถึงได้กล้าส่งพวกมันมาช่วยต๋าหลานจาอย่างวางใจ”
ความคิดของเหล่าหูไม่ใช่จะไร้เหตุผล หลินหว่านหรงหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่หูพูดถูกมาก หากชาวทูเจวี๋ยคิดหลบหนี ไม่ว่าใครก็ขวางไม่อยู่แน่นอน แต่ว่านะ ถ้าชาวทูเจวี๋ยปราศจากม้า ท่านว่าพวกมันจะยังหนีได้หรือไม่?”
“ชาวทูเจวี๋ยปราศจากม้า นั่นเท่ากับเสือที่ถูกถอดเขี้ยว หนีไม่ได้แน่นอน! แต่ชาวทูเจวี๋ยจะปราศจากม้าได้อย่างไรกันล่ะขอรับ?!” หูปู้กุยถามอย่างไม่เข้าใจ
หลินหว่านหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่หู ท่านเคยพูดแล้ว ม้าทูเจวี๋ยเดินทางวันหนึ่งได้เป็นพันลี้ แต่ก็ต้องรับประกันเรื่องหญ้าเสบียงและน้ำด้วย!”
“เป็นเช่นนี้ขอรับ” เหล่าหูรีบผงกศีรษะ
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะอย่างเจ้าเล่ห์พลางตบบ่าเกาฉิว “ดีมาก ดีมาก! ถึงเวลาพี่เกาวีรบุรุษผู้กล้าไร้เทียมทานของพวกเราออกโรงแล้ว!”
เมื่อสั่งการเรื่องที่ควรสั่งชัดเจนเรียบร้อยถึงมีเวลาไปเยี่ยมหลี่อู่หลิง อวี้เจียถูกเขามัดนั่งอยู่บนเพลารถ เป็นสารถีชั่วคราว ในใจรู้สึกตัดพ้อและเคียดแค้นระคนกัน เมื่อเห็นเขาจึงทำเพียงแค่นเสียงเย็นชาแล้วเบือนหน้าไป
“ถึงเวลารักษาช่วยคนแล้ว หมอเทวดาเชิญตามข้ามาเถอะ!” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางปลดเชือกที่มัดมือนางออก นำเข้าไปในรถม้า เห็นชัดว่าสีหน้าของหลี่อู่หลิงดีขึ้น ลมหายใจค่อยๆ สงบแช่มช้า บาดแผลภายนอกบริเวณหน้าอกเริ่มสมานตัว ตัวยาที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใช้ออกฤทธิ์อัศจรรย์ไม่ธรรมดาจริงดังคาด
อวี้เจียเข้ามาในรถม้า บนมือน้อยขาวสะอาดมีรอยช้ำสองสายปรากฏให้เห็นเด่นชัด หลินหว่านหรงจ้องมือนางแล้วพูดว่า “เอ๊ะ ได้รับบาดเจ็บนี่ หมอเทวดา ขาทางยากให้เจ้าบ้างก็แล้วกันนะ”
“ไม่รบกวนการดูแลจากใต้เท้าอัวเหล่ากง” สาวน้อยทูเจวี๋ยใบหน้าเย็นชา ถึงกระนั้นกลับเริ่มตรวจอาการบาดเจ็บของหลี่อู่หลิง เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิตเสี่ยวหลี่จื่อ หลินหว่านหรงไม่กล้าชะล่าใจเช่นกัน จ้องสีหน้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์เขม็ง ตรวจสอบปฏิกิริยาของนาง
ฟังชีพจรของหลี่อู่หลิง พลิกดูเปลือกตาของเขา จากนั้นก็ตรวจดูรอบบาดแผลอย่างละเอียด อวี้เจียยกมือขึ้น กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไม่เป็นไร!”
สามพยางค์แค่นี้? น้อยเกินไปหรือเปล่า! หลินหว่านหรงร้อนใจกำลังจะเอ่ยถาม สาวน้อยทูเจวี๋ยก็พูดเรียบๆ ออกมาว่า “…เจ้าไม่ต้องถามข้าอีกแล้ว ข้าบอกได้แค่ว่าอาการของเขากำลังดีขึ้นทีละน้อย ส่วนจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ข้าไม่รู้เช่นกัน”
นางถูกจับตัว แต่ก็เป็นหมอด้วย หลินหว่านหรงร้อนใจไปก็ช่วยไม่ได้ โชคยังดีที่แม้หลี่อู่หลิงจะไม่ฟื้นขึ้นมาชั่วคราว แต่การดีขึ้นของอาการบาดเจ็บนั้นทุกคนกลับมองเห็นได้ ต้องมีสักวันที่เขาก็กระโดดโลดเต้นปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคน หลินหว่านหรงเชื่อมั่นเรื่องนี้
พาอวี้เจียออกมา ขณะกำลังจะกระโดดลงจากรถม้า เยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนรถพลันเอ่ยปากขึ้นมา “เจ้าโจร ข้าขถามเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“อย่ามาตั้งชื่อเล่นให้ข้าตามใจชอบได้หรือไม่?” หลินหว่านหรงหันหน้ากลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดโมโห “เจ้าเรียกชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้า ไม่ใช่ดีมากแล้วหรือ?”
อวี้เจียจ้องตาเขา กัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “เมื่อคืนเห็นๆ อยู่ว่าข้านอนอยู่นพื้นหญ้า แล้วทำไมเช้านี้พอตื่นขึ้นมากลับนอนอยู่บนเตียงเจ้า เจ้า…”
นางหน้าแดงเล็กน้อย คำพูดด้านหลังยังพูดไม่จบ ภายในดวงตาก็รากฎเพลิงโทสะแล้ว “เจ้า…เจ้าทำอะไรกับข้ากันแน่?”