ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 550
หลินหว่านหรงถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูอวี้เจียเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? คลุมเครือจริง ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ พอจะอธิบายให้มันละเอียดสักหน่อยได้หรือไม่?!”
โจรถ่อยหน้าตาเต็มไปด้วยความเที่ยงตรง กะพริบตาปริบๆ เหมือนจำไม่ได้จริงๆ ว่าเมื่อคืนทำอะไรไปบ้าง เยวี่ยหยาเอ๋อร์อายและหงุดหงิดยากจะทานทน น้ำตากระจ่างใสคลอเบ้า กล่าวด้วยความเดือดดาล “จะ…เจ้ายังเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก? เหตุใดเช้าวันนี้พอข้าตื่นขึ้นมาก็นอนอยู่บนเตียงเจ้า? เจ้าทำอะไรกับข้ากันแน่?!”
“ใช่แล้วล่ะ เหตุใดเจ้าถึงนอนบนเตียงของข้า?” หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง “คุณหนูอวี้เจีย ต่อให้มีเรื่องเช่นนี้ แต่คนที่ต้องอธิบายก็ควรเป็นเจ้ากระมัง เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าปีนขึ้นเตียงข้า แล้วเหตุใดถึงโยนมาที่ข้าได้…”
“เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้า ข้าจะไปขึ้น ขึ้น…” เมื่อเห็นเขาพูดจาพูดจาพลิกลิ้น เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็โมโหจนหน้าแดง ท่าทางหงุดหงิดโมโหช่างงดงามยิ่งนัก
สาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้บางครั้งก็ฉลาด บางครั้งก็สูงส่ง บางครั้งก็อ่อนแอ เปลี่ยนสีหน้าสารพันได้เพียงชั่วพริบตา ไม่รู้ว่าสิ่งใดคือนางตัวจริงกันแน่ หลินหว่านหรงมองจนใจเต้นโครมคราม หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “เจ้าไม่มีทางขึ้นเตียงข้า? เช่นนั้นก็แปลกแล้ว เช้าวันนี้ตอนที่ข้ากลับมาจากการเดินตรวจตราค่าย คนที่นอนอยู่บนเตียงข้าคือใครกันนะ?”
“ข้า ข้าไม่รู้” อวี้เจียก้มหน้า กล่าวเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอย “ตอนเช้าพอข้าตื่นมาก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว ทว่ารอบด้านกลับไม่เห็นเงาของเจ้า”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ร้องอ้อออกมาคราหนึ่ง กล่าวอย่างแช่มช้าสบายอารมณ์ “เช่นนั้นเทพแห่งทุ่งหญ้าคงช่วยกระมัง…เฮ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่สืบสาวราวเรื่องแล้ว ถึงเตียงของข้าจะถูกทำลายอย่างน่าประหลาด แต่ข้าคนนี้ก็เป็นคนสบายๆ มาตลอด ก็ให้มันผ่านไปทั้งอย่างนี้ก็แล้วกัน ผ้าปูเตียงก็ไม่ต้องให้เจ้าซัก…”
อวี้เจียทั้งอายทั้งโมโห กล่าวด้วยความหงุดหงิด “เหลวไหล เตียงของเจ้าสกปรกราวกับรังสุนัข ไหนเลยจะมีผ้าปูเตียผ้านวมอะไรได้?!”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ? ข้าลืมไปชั่วขณะ กลับเป็นน้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่จำได้แม่นยำนะ!” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “เตียงทหารนี่นา จะโกโรโกโสไปบ้างก็ยากจะหลีกเลี่ยง นอนให้มากหน่อยเดี๋ยวก็ชิน ไม่แน่ว่าเจ้ายังจะชอบรสชาติเช่นนี้ด้วยซ้ำ”
“ข้าไม่มีทางชอบความรู้สึกเช่นนี้หรอก” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอดพลางถลึงตามองเขา คล้ายอายแต่ก็โมโห ใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด ท่ามกลางความขาวสะอาดแฝงสีแดงสดใสบางๆ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นล้ำลึกดุจสายน้ำ สุกใสราวกับจะดึงดูดจิตวิญญาณคนเข้าไปได้
นางมีเรือนร่างอรชร อกอวบอิ่ม บั้นท้ายกลมมนโก่งนูน ภายใต้ชุดกระโปรงของชนเนอกด่านอันเบาบางห่อหุ้มสองขาอันเรียวยาวเต่งตึงทรงพลัง เต็มไปด้วยแรงดีดสะท้อน เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนแม่เสือดาวน้อยที่ระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อ เปี่ยมล้นด้วยกำลังวังชา กอปรด้วยความงดงามยิ่งนัก ระหว่างที่ตำหนิด่าทอด้วยโทสะ ความรู้สึกของต่างแดนอันล้ำลึกปะทะเข้ามา น่าลุ่มหลง
โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว นี่ไม่ใช่กำลังยั่วยวนให้ข้าทำผิดอยู่หรือ?! หลินหว่านหรงใจเต้นรัวดังตึกตัก อดกลืนน้ำลายอย่างแรงไม่ได้ เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้แปลงร่างได้อย่างไร ใสซื่อบริสุทธิ์ ฉลาดหลักแหลม สูงส่ง ยั่วยวนต่างมีหมด ที่ล้ำเลิศไปกว่านั้นก็คือนิสัยสัตว์ป่าที่ไม่ยอมพ่ายแพ้บนตัวนาง เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตเพศผู้ต่างอยากจะสยบ
ครั้นเห็นเจ้าโจรถ่อยอ้าปากกว้าง น้ำลายเกือบจะไหลออกมาแล้ว สายตาก็ยิ่งจ้องมองร่างกายตนอย่างลึกซึ้ง ไม่แม้แต่จะกะพริบตา แววตาอวี้เจียก็สาดประกายบางๆ ใบหน้าแดงด้วยความอายมากยิ่งขึ้น กล่าวด้วยความหงุดหงิดออกมาว่า “โจรไร้ยางอาย เจ้ามองอะไร?!”
“มองลูก…อ๊ะ ไม่ใช่ ข้ากำลังใช้สายตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยปัญญาและลึกซึ้งของข้าค้นหาหลักเกณฑ์ในการขยายเติบโตของสรรพสิ่งอยู่” หลินหว่านหรงเช็ดน้ำลายที่มุมปาก จ้องมองหน้าอกของนาง กล่าวโดยตาไม่กะพริบ “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ รอให้รบเสร็จแล้วเจ้าจะพาข้าไปบ้านเจ้าได้หรือไม่? ข้าอยากดูเสียหน่อยว่าข้าวปลาอาหารอันอุดมสมบูรณ์อันใดที่เลี้ยงดูเจ้าให้…ใหญ่ขนาดนี้!” ตาของเขาเบิกกว้าง สองมือทำท่ากำเป็นวงกลม ทำท่าทางออกมาเป็นลูกบอลด้วยท่าทางเกินจริง
“หากเจ้าต้องการไปข้าจะให้โอกาสเจ้า” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มุมปากผุดรอยยิ้มหวาน หน้ายวนเย้าอย่างหาที่เปรียบมิได้ ในน้ำเสียงแฝงความอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก “ใต้เท้าอัวเหล่ากง ขั้นต่อไปพวกเจ้าจะโจมตีที่ใด?!”
โจรหน้าดำดวงตาสาดประกายสัตว์ป่า น้ำลายไหลพราก กล่าวด้วยท่าทางงงงวยเหมือนไม่รู้สึกตัว “ขั้นต่อไปน่ะหรือ ข้าเตรียมจะโจมตี…”
ดวงตาของอวี้เจียฉายแววปีติยินดี ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่ง ส่งเสียงอืมเบาๆ คราหนึ่ง ฟังเขาพูดต่อไป
“…โจมตีตรงนี้!” น้ำลายของเจ้าโจรยังไม่ทันได้เช็ด มือใหญ่ก็ชี้มาที่หน้าอกนาง หัวเราะทั้งลามกทั้งต่ำช้า
เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้งไปเล็กน้อย หน้าแดงร้อนทันที ลอบแค่นเสียงอยู่ในใจ นางเงยหน้ามองหลินหว่านหรง เห็นว่าเจ้าโจรนั่นดวงตาสาดประกายสัตว์ป่า น้ำลายไหล ถูกความงามของตนดึงดูดใจไปโดยสิ้นเชิง ท่าทางไม่เหมือนล้อเล่น
หรือว่านี่จะเป็นคำพูดจากใจจริงของเขา? สาวน้อยทูเจวี๋ยถุยคราหนึ่ง ใบหน้าร้อน ชาวต้าหัวที่ไร้ยางอาย!
ดวงตานางสาดประกาย คิ้วงามกลับขมวดเล็กน้อย สีหน้าเย็นชาโดยไม่รู้ตัว กล่าวลอยๆ ออกมา “ใต้เท้าอัวเหล่ากง หวังว่าเจ้าจะให้เกียรติความเป็นคนของอวี้เจีย อย่าพูดจาต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนี้อีกเลย! สตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเราไม่ใช่ผู้ใดก็จะรังแกได้”
เอ๊ะ นังหนูนี่เมื่อกี้ยังยั่วยวนพราวเสน่ห์ราวกับนางจิ้งจอกอยู่เลย แล้วทำไมชั่วประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็งเสียแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ดันยั่วยวนมากที่สุด ในใจคันยุบยิบราวกับแมวข่วน หลินหว่านหรงยิ้มลามก กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าให้เกียรติความเป็นคนของเจ้าก็ได้ แต่หวังเช่นกันว่าคุณหนูอวี้เจียจะให้เกียรติความเป็นสัตว์ป่าของข้า…จากคนกลายเป็นสัตว์ป่าข้าก็ไม่ง่ายเช่นกันนะ!”
อวี้เจียหัวเราะพรวดเบาๆ กล่าวด้วยท่าทีงามยวนเย้ามีเสน่ห์ “ไม่เคยได้ยินว่าคนถูกหาว่าเป็นสัตว์ป่าแล้วยังกระหยิ่มยิ้มย่องได้ใจได้อีก ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้ากลับน่าสนใจยิ่งนัก หนังหน้าของชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้าล้วนหนาเท่ากำแพงเมืองเช่นเจ้านี้หมดเลยหรือไม่?!”
“เรื่องของหนังหน้านี้ไม่ได้เอามากินแทนข้าวได้เสียหน่อย แล้วจะเอามาทำไม?” หลินหว่านหรงจ้องใบหน้าอันงดงามพราวเสน่ห์ของนางพร้อมหัวเราะฮิฮะ “กลับเป็นชาวทูเจวี๋ยอย่างพวกเจ้า สตรีที่งดงามเช่นน้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์มีอีกเท่าไหร่นะ? ตั้งหน้าตั้งตารอจริงๆ เลย!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผงกศีรษะเบาๆ แววเย็นชาภายในดวงตาปรากฏเล็กน้อยจนไม่อาจสัมผัสได้ “สตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเราขยันขันแข็งจริงใจ ปรับตัวง่ายมีสติปัญญา งดงามและมุ่งมั่น ทั้งขึ้นม้าสังหารศัตรู ทั้งยังเร้นกายอยู่เบื้องหลังได้อีกด้วย เฉกเช่นไข่มุกบนทุ่งหญ้า เจิดจ้าสะดุดตา ผู้โดดเด่นมีความสามารถมีจำนวนนับไม่ถ้วน ความยิ่งใหญ่ของเผ่าเรา ผลงานของสตรีย่อมไม่ด้อยกว่าบุรุษ”
นังหนูนี่ยังเป็นพวกลัทธิสตรีนิยมด้วยนะ! หลินหว่านหรงร้องอ้อ กล่าวระคนหัวเราะ “นั่นก็ใช่ๆ สตรีค้ำฟ้าได้ครึ่งหนึ่งนี่นา! เพียงแต่เมื่อมองจากที่น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์สาธยายมา สถานะของสตรีทูเจวี๋ยยังสูงกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากเลยนะ”
“สตรีค้ำฟ้าได้ครึ่งหนึ่ง?!” อวี้เจียยิ้มงดงาม สีหน้าท่าทางยวนเย้าอย่างหาที่เปรียบมิได้ “การเปรียบเทียบของเจ้านี้น่าสนใจมาก ใต้เท้าอัวเหล่ากง นับตั้งแต่ได้เจอเจ้า ก็มีประโยคนี่ล่ะที่อวี้เจียฟังแล้วรื่นหู คิกๆ…”
นางหัวเราะเบาๆ ใบหน้าสั่นสะเทือน งดงามยวนเสน่ห์แฝงความเอียงอาย อกอันชูชันก็เป็นระลอกคลื่น ประหนึ่งแอปเปิ้ลผลสีแดงที่เต็มไปด้วยความยั่วยวน
บางครั้งก็สูงส่ง บางครั้งก็เย็นชา บางครั้งก็ยั่วยวน การเปลี่ยนแปลงสารพัดสารพันเช่นนี้ทำให้หลินหว่านหรงใจคันยุบยิบยากจะทานทน อดหัวเราะแห้งๆ สองคราไม่ได้ “อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นพวกเราไม่ใช่ว่าคุยภาษาเดียวกันได้แล้วหรือ?!”
อวี้เจียส่ายหน้าอ่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ใช่เสียทั้งหมด ใต้เท้าอัวเหล่ากง ข้ากับเจ้าต่างกันราวกับคนและสัตว์ ไหนเลยจะมีภาเดียวกันได้?” นางยิ้มพลางมองเขา สีหน้าเอียงอายอยู่บ้าง ริมฝีปากประดับรอยยิ้มบาง ขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อย ในความน่ารักคล้ายแฝงด้วยความยั่วยวนอยู่หลายส่วน ช่างน่าลุ่มหลงยิ่งนัก
หลินหว่านหรงจ้องใบหน้านางราวกับลุ่มหลง ผงกศีรษะด้วยท่าทีจริงจังยิ่งนัก “อืม เช่นนั้นก็ดี คืนนี้จะเป็นสัตว์ป่าสักครั้ง!”
“เหอะ หน้าไม่อาย!” อวี้เจียส่งเสียงด่าเบาๆ สองแก้มแดงระเรื่อ ดั่งผลไม้แดงอันหอมหวานยวนใจ มองจนใจคนเต้นรัวดังตึกตัก ใต้เท้า ‘อัวเหล่ากง’ จ้องมองนางอย่างเหม่อลอย น้ำลายหยดแหมะๆ
มองดูสีหน้าลุ่มหลงงมงายของเจ้าโจรนั่น ดวงตาอันล้ำลึกของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ผุดรอยยิ้มหยันกระหยิ่มยิ้มย่องออกมาให้เห็นรำไร
…
“คลำครั้งที่หนึ่ง คลำถึงข้างเรือนผมของพี่สาว คลำครั้งที่สอง คลำถึงดวงหน้าน้อยของพี่สาว…” หลินหว่านหรงขี่ม้า โยกซ้ายป่ายขวา ฮัมเพลงด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง
หูปู้กุยเกาฉิวสองคนมองหน้ากัน จ้องมองตากัน เช้านี้เพลงที่เขาร้องยังสูงส่งขนาดนั้นอยู่เลย เหตุใดเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วยามก็ลามกแล้วล่ะ?
เกาฉิวอือคราหนึ่ง หัวเราะแล้วพูดว่า “เอ๊ะ นี่เป็นเพลงที่น้องหลินแต่งขึ้นใหม่หรือ?! ทำไมก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ! น่าละอายๆ”
ตอแหล! เจ้าตอแหลน่ะสิ! เหล่าเกามองเขาอย่างดูแคลน ตอนที่เจ้าเหล่าเการ้องสิบแปดลูบคลำ เกรงว่าแม่ทัพหลินยังเล่นดินเล่นฉี่อยู่เลย!
“น้องชาย” เกาฉิวตามเข้าไป ตบบ่าหลินหว่านหรง ประชิดข้างใบหูเขาพร้อมหัวเราะลามก “เจ้ากับเยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนั้นเห็นพวกเจ้าบุรุษรักใคร่สตรีมีใจ จีบกันไปมา ฮิฮิ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน คิดว่าเมื่อคืนเรื่องดีๆ นั่นคงสำเร็จแล้วล่ะสิท่า”
หลินหว่านหรงหรี่สองตาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “อย่าเห็นข้าเป็นคนใจง่ายขนาดนั้นสิ สิ่งที่ข้าคุยกับนางคือหัวข้อจริงจังบางอย่าง ฟ้าและดิน หยินและหยาง มนุษย์และสัตว์อะไรต่อมิอะไร”
ฟ้าดินหยินหยาง บุรุษสตรีมนุษย์สัตว์? ล้ำลึกจริงๆ ด้วย เหล่าเกาลอบอ้าปากค้าง หัวเราะต่ำช้าลามกไม่หยุด ประสานกำปั้นพร้อมเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอแสดงความยินดีกับน้องชายก่อน ในที่สุดการอุ่นเตียงนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว”
“อุ่นเตียง?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ กล่าวไม่เร็วไม่ช้า “พี่เกาเข้าใจผิดแล้ว ข้าเดาว่านังหนูคนนี้คิดจะให้ข้าอุ่นเตียงให้นางมากกว่า!”
เกาฉิวเลิกตาโพลงกล่าวด้วยความตกใจทันที “เป็นไปไม่ได้น่า นางกล้าให้เจ้าอุ่นเตียง? เตียงนั่นจะเอาอยู่หรือ นี่จะได้อย่างไร?!”
“เรื่องโกหกหลอกลวง ไม่เหมาะสมกับเด็กพวกนี้อาจทำร้ายจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของพี่เกา ให้น้องชายจัดการจะดีกว่า” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางตบบ่าเขา “ตอนนี้ภารกิจที่สำคัญที่สุดของท่านก็คือจัดการเรื่องเมื่อคืนให้หมดจด”
เกาฉิวตบอกที่หนั่นแน่น กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “มีข้าเหล่าเกาอยู่ น้องหลินเจ้าจงวางใจได้ ทำงานแบบนี้ข้าถนัดที่สุด”
หลินหว่านหรงหัวเราะพลางผงกศีรษะ หูปู้กุยที่อยู่ทางนั้นประชิดเข้ามาแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ จากรายงานของหน่วยลาดตระเวน ทหารม้าเกือบสามพันของชนเผ่านอกด่านเดินทางมุ่งตรงไปยังต๋าหลานจา ตอนนี้อยู่ห่างจากพวกเราแค่หนึ่งร้อยห้าสิบลี้”
หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงอาทิตย์สีแดงร้อนแรงกำลังดำดิ่งลงสู่ทิศประจิมอย่างแช่มช้า แสงตะวันค่อยๆ ทาบทอใกล้พื้นดิน เขาส่งเสียงอืมออกมาคราหนึ่ง กล่าวอย่าแช่มช้าว่า “พี่หู ตามความเห็นของท่าน อีกนานเท่าไหร่ชนเผ่านอกด่านถึงจะตั้งค่าย?!”
หูปู้กุยเงียบงันอยู่นาน ผงกศีรษะด้วยท่าทีจริงจัง “ชนเผ่านอกด่านเกือบสามพันคนนี้เดินทางไม่หยุดพักตั้งแต่เมื่อคืน ระหว่างทางพักเพียงสองป้านน้ำชาเท่านั้น การเดินทางรีบร้อนรุนแรงเช่นนี้ ต่อให้ชาวทูเจวี๋ยจะทนได้ แต่ม้าศึกนั่นก็ต้องเหนื่อยล้าแสนสาหัส การตั้งค่ายป้อนหญ้าเป็นเรื่องจำเป็น เดินทางไปไม่ถึงร้อยลี้ ม้าศึกนั่นก็ต้องเหนื่อยตายแล้ว ตามรายงานของหน่วยลาดตระเวน ข้างหน้าพบม้าเร็วที่ชนเผ่านอกด่านส่งออกมา ดูท่าว่าพวกมันเล็งว่าจะฉวยตั้งค่ายช่วงสนธยา เมื่อป้อนน้ำป้อนหญ้าให้ม้าศึกแล้ว พักผ่อนเล็กน้อยอีกหนึ่งชั่วยามกำลังกายก็จะกลับคืนมาแปดส่วน ครึ่งคืนหลังพวกมันก็เดินทางมุ่งหน้าต่อไปได้แล้วขอรับ”
หูปู้กุยเข้าใจชาวทูเจวี๋ยอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงม้าศึกอีก เขาวิเคราะห์อย่างถูกต้องแม่นยำ สอดรับกับข่าวสารที่แจ้งกลับมาของหน่วยลาดตระเวนแนวหน้าพอดี
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ม้าศึกของชนเผ่านอกด่านต้องป้อนหญ้าในคืนนี้เป็นสิ่งที่ต้องกระทำ” หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง เยื้องย่างอย่างแช่มช้า “ขอเพียงพวกมันตั้งค่าย ต่อให้ชนเผ่านอกด่านพักผ่อนแค่ครึ่งชั่วยาม ช่วงเวลานี้ก็เพียงพอให้พี่เกาทำงานแล้ว”
หูปู้กุยหัวเราะ “เวลาทำงานนั้นเพียงพอ ปัญหาสำคัญคือน้องเกาต้องปรากฏตัวตรงหน้าชาวทูเจวี๋ยได้ประจวบเหมาะพอดี ทั้งยังต้องปะปนเข้าไปในค่ายของชนเผ่านอกด่านโดยไม่ให้รู้ตัว เรื่องนี้มีความยากอยู่นะขอรับ”
“ความยากน่ะมี เพียงแต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ พูดเสียงดัง “สั่งการให้หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ข้างหน้าจับตาดูร่องรอยของชนเผ่านอกด่าน รายงานได้ทุกเมื่อ”
หูปู้กุยเหลียวมองรอบด้านหลายครา ทันใดนั้นก็เอ่ยถามด้วยความตกใจขึ้นมา “เอ๊ะ น้องเกาไปที่ใดแล้ว?!”
หลินหว่านหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย “รอก่อน อีกเดี๋ยวก็จะออกมาแล้ว!”
เขาเพิ่งพูดออกมาก็ได้ยินนายทหารที่อยู่ในขบวนด้านหลังตะโกนเสียงดังด้วยความร้อนใจ “แย่แล้ว ชนเผ่านอกด่านหนีไปแล้ว”
สองคนรีบหันหน้ากลับไป เห็นว่าคนในเผ่าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์จำนวนสี่สิบกว่าคนซึ่งเดิมทีถูกมัดรวมกันนั้นไม่รู้ว่าถูกคนปลดเชือกมัดตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกมันขู่ฟ่อฟ่อแย่งชิงม้าศึกที่อยู่ข้างตัว ขึ้นคร่อมดังขวับแล้วควบห้อตะบึงมั่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“อย่าปล่อยพวกมันไป ฆ่า!” เสียงขู่คำรามด้วยความเดือดดาลของหลินหว่านหรงแพร่ออกไปไกล ทหารหลายร้อยนายไล่ตามชาวทูเจวี๋ยที่หลบหนีไปอย่างสุดกำลัง ห่าธนูยิงออกไปอย่างเร็วรี่เสียงดังขวับๆ ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่หน้าสุดสามคนแรกร้องโอดโอยหลายครั้ง ถูกธนูจนตกจากหลังม้า
ท่ามกลางชนเผ่านอกด่านที่หลบหนีมีคนหนึ่งที่ดึงหมวกลงต่ำ หนวดเคราเต็มใบหน้า รูปโฉมนั้นดูไม่ชัดเจน เจ้าคนนี้ระหว่างที่ขี่ม้ายังหันหน้ากลับมาเป็นระยะอีกด้วย ขู่คำรามดุดันดังอ๊าๆ ใส่ทหารต้าหัวหลายครั้ง ท่าทางน่ากลัวยิ่งนัก
ชนเผ่านอกด่านที่ทำตัวโดดเด่นนั้นเงาหลังดูคุ้นๆ มาก หูปู้กุยอึ้งอยู่นาน จากนั้นก็ปรบมือหัวเราะในบัดดล “เหล่าเกาตัวดี แม้แต่ข้าก็ถูกหลอกได้!”