ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 551.2
เกาฉิวหันกลับไปมอง ตกใจจนขนลุกชันขึ้นมาทันที ม้าศึกสามพันตัววิ่งห้อตะบึงออกมาพร้อมกัน ราวกับยอดเขาที่ไหลเลื่อนเข้ามาหาใต้ท้องนภา ก่อฝุ่นดินคละคลุ้งเต็มท้องฟ้า ความกึกก้องกัมปนาทเพียงพอที่จะกลทุกสรรพสิ่ง ดาบม้าที่ถืออยู่ในมือชาวทูเจวี๋ยส่องประกายเย็นเยียบ ไม่ต้องเข้าไปใกล้ก็สัมผัสได้ถึงเสียงลมหวีดหวิว ลูกธนูคมกริบบินผ่านเป็นระยะ ยิงมาที่ท้ายทอย หัวไหล่และแผ่นหลังเขาราวกับมีดวงตางอกเงย ดาบใหญ่ในมือเขากวัดแกว่งไปมาไม่หยุด ตกใจจนหัวชาวาบ
มีแค่อยู่บนทุ่งหญ้าเท่านั้นถึงรับรู้ความผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานของชาวทูเจวี๋ยอย่างแท้จริงได้ พวกมันขี่ม้ายิงธนูรวดเร็วราวกับสายลม เป็นสิ่งที่คนนอกชนเผ่าใดๆ ไม่อาจต้านทานได้ เมื่อเทียบกับการโจมตีบนทะเลทรายแล้ว ชาวทูเจวี๋ยซึ่งรวมกลุ่มกันบนทุ่งหญ้าถึงจะดุร้ายที่สุดและน่ากลัวมากที่สุด
เพียงอึดใจเดียวก็วิ่งมาได้ยี่สิบกว่าลี้ ม้าทูเจวี๋ยเหงื่อท่วมร่างราวกับสายฝน ทว่าความเร็วกับไม่ได้ลดทอนแม้แต่น้อย ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหลังตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ห่างไม่เกินสอสามร้อยลี้ ข้างใบหูได้ยินเสียงกรีดร้องของชนเผ่านอกด่านและเสียงหวีดหวิวของลูกธนู แม้เหล่าเกาจะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ถึงกระนั้นก็ยังถูกทำให้ตื่นตระหนก เยื่อแก้วหูดังวิ้งๆ หน้าซีดเผือดไม่ได้อยู่ดี
“เหล่าหู หูปู้กุย เจ้ายังไม่ไสหัวออกมามารดามันอีก?!” เกาฉิวอ้าปากด่าทอไปหลายประโยค ระหว่างร้อนรนใช้สองมือกุมศีรษะ รีบหลบลูกธนูที่โจมตีเข้ามาดอกหนึ่ง ทว่าม้าศึกใต้ร่างกลับร้องต่ำๆ ออกมา น้ำขาวแตกฟองในปาก ขาหน้าอ่อนยวบ ล้มลงไปตรงๆ ขณะที่ล้มลงไปนั้นขาหลังก็ยกขึ้น ร่างของเกาฉิวถูกสลัดหลุดออกไป
เมื่อเห็นชาวต้าหัวตกม้า ชาวทูเจวี๋ยก็คึกคักขึ้นมาทันที พวกมันส่งเสียงผิวปากโห่ร้องยินดี ม้าใต้ร่างบุกเข้ามาดั่งสายลม
“มารดามัน!” เมื่อเห็นชนเผ่านอกด่านม้าศึกที่รุกมาทางด้านหลัง เหมือนจะมาถึงได้ภายในชั่วพริบตา ร่างของเหล่าเกาก็กลิ้งตลบอยู่บนพื้นสองรอบ หนีออกไปไกลลิบทันที กุมหัวแล้วรีบวิ่งมุดไป
“น้องเกาไม่ต้องกลัว หูปู้กุยมาแล้ว!” มีเสียงคำรามดังสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากสถานที่อันห่างไกล เสียงฝีเท้าม้าดังตึงตังขึ้นมา ราวกับอสุนีบาตยามวสันต์อันสะเทือนเลื่อนลั่นใบหู คบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนส่องค่ำคืนอันมืดมิดจนสว่างราวกับกลางวัน ธงมังกรหัวเซี่ยพลิ้วไสวท่ามกลางสายลม เหล่าเกาน้ำตาร้อนคลอเบ้าด้วยความตื้นตันขึ้นมาทันที ท่านแม่ ในที่สุดผู้ช่วยชีวิตก็มาแล้ว!
มองดูทหารม้าทูเจวี๋ยที่ห้อตะบึงมาแต่ไกลราวกับหมาป่า หลินหว่านหรงก็กุมมือเหล่าเกา กล่าวทอดถอนชมเชย “พี่เกา หากศึกครั้งนี้ได้ชัย ท่านคือผู้สร้างผลงานอันดับหนึ่ง!”
“น้องหลินกล่าวชมเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ” เกาฉิวหน้าชื่นตาบาน เพียงชั่วพริบตาก็ลืมเลือนอันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “ม้าศึกชนเผ่านอกด่านวิ่งออกมายี่สิบกว่าลี้ ภายในชั่วอึดใจเดียว ถือว่าเป็นตะเกียงที่ใกล้เหือดแห้ง ฮิฮิ พอที่จะสร้างความลำบากให้ไอ้เด็กพวกนี้แล้ว”
ทั้งสองเพิ่งพูดคุยสัพยอกกันไปไม่กี่ประโยค ทหารม้าทูเจวี๋ยที่อยู่ตรงข้ามก็ค่อยๆ หยุดลง ท่ามกลางชนเผ่านอกด่านมีเสียงแข็งกระด้างแว่วมาเสียงหนึ่ง กลับเป็นภาษาต้าหัว “ที่อยู่ตรงข้าม คืออัวเหล่ากงต้าหัวทหารม้า?!”
หลินหว่านหรงหัวเราะพลางไสม้าไปข้างหน้า “มิกล้าๆ ชื่อของข้าน่าจะให้ท่านย่าของท่านมาเรียกขานถึงจะถูก ฝั่งตรงข้ามคือแม่ทัพจากเอ๋อจี้น่าหรือว่าฮาเอ่อร์เหอหลิน?”
“ข้าคือสั่วหลานจากเข่อเอ๋อจี้น่า” ฝั่งตรงข้ามมีชาวทูเจวี๋ยหน้าตาดุร้ายผู้หนึ่งขี่ม้าออกมา แส้ม้าในมือชี้มาที่หลินหว่านหรง “อัวเหล่ากง รีบลงจากม้าแล้วยอมจำนนโดยเร็ว ข้าจะให้เจ้ามีสภาพศพครบถ้วน มิเช่นนั้นจะต้องบดขยี้ร่างเจ้าเป็นเสี่ยงๆ”
“โหดร้ายขนาดนี้เชียว” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “แม่ทัพเข่ออะไรผู้นี้ ได้ยินว่าท่านเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้าใช่หรือไม่?”
สั่วหลานเข่ออึ้งเล็กน้อย ถึงมันจะยอมรับว่าตัวเองกำลังวังชาไร้ขีดจำกัด ทว่าก็ไม่เคยกล้าเพ้อเจ้อเรียกตนเองว่าเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า แต่เมื่อเห็น ‘อัวเหล่ากง’ จากต้าหัวทำหน้าตาทะเล้นเจ้าเล่ห์ มันจึงกล่าวด้วยความเดือดดาลออกมา “ข้าคือผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า! ชาวต้าหัวผู้อ่อนแอ เจ้ากล้ามาสู้ตัดสินกับข้าหรือไม่?! ข้าขอใช้ชื่อของผู้กล้ารับประกันกับเจ้า จะไม่ลอบโจมตีเจ้าเด็ดขาด!”
หลินหว่านหรงหรี่สองตาลงเล็กน้อย จ้องมองม้าตัวนั้นหลายครั้ง หัวเราะแล้วตอบว่า “ท่านเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า ส่วนข้าน่ะหรือ พอฝืนเรียกได้ว่าผู้กล้าที่อ่อนแอมากที่สุดของต้าหัว ในเมื่อแม่ทัพสั่วหลานเข่อต้องการได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า มาท้าทายผู้กล้าที่อ่อนแอมากที่สุดแห่งต้าหัว เฮ้อ ข้ารู้สึกกระดากใจที่จะปฏิเสธเหลือเกิน…พี่สั่ว ท่านถนัดใช้อาวุธใดมากที่สุด?”
สั่วหลานเข่อส่งคันธนูที่แบกอยู่ข้างหลังส่งให้คนด้านข้าง ชูดาบศึกที่อยู่ในมืออย่างหยิ่งผยอง “ข้าเป็นทหารม้าทูเจวี๋ย แน่นอนว่าต้องใช้ดาบโค้งสู้ตัดสินกับเจ้า สั่วหลานเข่อขอสาบานด้วยนามของเทพแห่งทุ่งหญ้า จะไม่ลอบโจมตีเป็นอันขาด”
“อ้อ” หลินหว่านหรงหัวเราะยาวๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เอาเปรียบเจ้าเช่นกัน เพื่อความยุติธรรม ข้ากับพี่สั่วสองคนในมืออนุญาตให้ถืออาวุธได้เพียงชนิดเดียว ผู้ใดตกลงจากหลังม้าก่อน หรือผู้ใดถูกอีกฝ่ายโจมตีถูกก่อน นั่นก็ถือว่าผู้นั้นพ่ายแพ้ พี่สั่วรู้สึกว่าเป็นเช่นไร?!”
คิดจะแข่งทักษะการขี่ม้ากับข้า? สั่วหลานเข่อหัวเราะหยัน “ได้ วิธีการนี้ยุติธรรม อาวุธที่ข้าใช้คือดาบโค้ง เจ้าใช้อะไร?!”
หลินหว่านหรงควักของสีดำทะมึนอย่างหนึ่งออกมาจากอก กุมอยู่ในมือ หัวเราะแล้วพูดว่า “เพื่อแสดงความใจกว้างของต้าหัวเรา ข้าจะใช้อาวุธสั้นนี้สู้กับท่าน ท่านดูสิ นี่สั้นกว่าดาบโค้งของท่านมากเลยนะ พี่สั่ว ข้าเป็นคนซื่อ ทุกคนต่างก็รู้ดี ไม่มีทางเอาเปรียบท่านแน่นอน”
อาวุธสั้นที่อัวเหล่ากงถืออยู่ในมือนั้นสั้นมากจริงๆ และมีขนาดไม่เกินฝ่ามือของสั่วหลานเข่อมากเท่าใดนัก บนนั้นมีท่อเหล็กมัดอยู่สองท่อ เปล่งประกายหรุบหรู่ ดูไม่ออกว่าร้ายกาจอย่างไร
“ดี เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าว่า” สั่วหลานเข่อวางใจ วิ่งม้าจะมาข้างหน้า
“เฮ้อ ช้าก่อน!” หลินหว่านหรงเหลอบมองม้าศึกตัวนั้นอีกครา หัวเราะพร้อมโบกมือ “พี่สั่วอย่าลนลานไป ยังมีอีกเรื่องที่จะไม่ได้นัดหมายกัน”
“เรื่องอะไรอีก?!” เมื่อเห็นชาวต้าหัวคนนี้ยึกยัก สั่วหลานเข่อจึงรู้สึกไม่พอใจมาก
หลินหว่านหรงกล่าวพลางหัวเราะหยัน “ในเมื่อเป็นการสู้ตัดสิน เช่นนั้นก็ต้องมีของรางวัล พี่สั่ว หากท่านแพ้ ทหารม้าสามพันของท่านนี้ก็ต้องยอมจำนนให้จับกุม ให้ข้าจัดการตามใจชอบ! หากข้าแพ้ ข้าจะปล่อยคนผู้หนึ่ง!”
“เจ้าเห็นข้าเป็นไอ้โง่หรืออย่างไร?” สั่วหลานเข่อร้องด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง “ข้าแพ้แล้วต้องมอบคนในเผ่าข้าให้เจ้า เจ้าแพ้กลับปล่อยคนแค่คนเดียว”
“อย่าลนลานไป” หลินหว่านหรงคลำขอชิ้นหนึ่งออกมาจากรองเท้า หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “ดูเจ้านี่เสียก่อน ท่านก็จะรู้ว่ามันคุ้มหรือไม่!”
สิ่งที่ถืออยู่ในมือเขาก็คือดาบโค้งขนาดเล็กเล่มหนึ่ง ทำจากทองคำบริสุทธิ์ วิจิตรงดงามเหนือธรรมดา ส่องประกายเจิดจรัสภายใต้แสงเพลิงลุกโชติช่วง
“อ๊ะ นี่มันก็ไม่ใช่ดาบของเยวี่ยหยาเอ๋อร์หรือ?!” เกาฉิวร้องออกมาเบาๆ
เมื่อเห็นดาบโค้งสีท้องอร่ามนี้ สั่วหลานเข่อก็อ้าปากกว้างทันที ดวงตาสาดประกายด้วยความหวาดกลัว ยินดี มุ่งหวัง มันลงจากม้าก่อน จากนั้นจึงคุกเข่าข้างหนึ่ง โค้งคารวะอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ปากพร่ำบ่นพึมพำกับตนเองสองประโยคด้วยท่าทางจริงใจ จากนั้นแสงตาของมันก็กระจ่างวูบด้วยแววดุร้าย พลิกตัวขึ้นม้าแล้วขู่คำรามเสียงดัง “ชาวต้าหัว ข้ารับปากเงื่อนไขของเจ้า!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้กลับยังสำคัญยิ่งกว่าคนในเผ่าสามพันคนของมันอีกหรือ?! หูปู้กุยเกาฉิวดวงตาฉายแววตกใจ
หลินหว่านหรงผงกศีรษะยิ้มแย้ม ส่งดาบทองให้หูปู้กุย “เอาเถอะ พี่สั่ว นี่น่าจะเป็นการสู้ตัดสินที่ยุติธรรมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของต้าหัวและทูเจวี๋ยแล้ว เริ่มตอนนี้เลยเถอะ!”
“ไป!” หลินหว่านหรงเพิ่งพูดจบ สั่วหลานเข่อก็ดึงบังเ**ยน ดาบโค้งวาววับที่อยู่ในมือกรีดเป็นลำแสงเย็นเยียบสายหนึ่ง โจมตีโดยตรงมาที่หลินหว่านหรง ขณะที่ม้าศึกใต้ร่างมันกระโดดขึ้นคล้ายชะงักงันเล็กน้อย เพียงแต่ยามนี้สั่วหลานเข่อกำลังบังเกิดความคิดสังหารเปี่ยมล้น ไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้
“มาได้ดี!” หลินหว่านหรงหัวเราะยาวๆ สองครา สองขาหนีบม้าศึก ห้อตะบึงออกไปราวกับลูกธนู
หนึ่งร้อยจั้ง แปดสิบจั้ง เมื่อเห็นว่าสองคนค่อยๆ เข้ามาใกล้ กำลังจะแลกชีวิตกันนั้น จู่ๆ หลินหว่านหรงก็หัวเราะเสียงดังคราหนึ่ง หักหัวม้ากลับ กลับวิ่งไปยังทิศทางที่ตั้งฉากกับสั่วหลานเข่อ วิ่งวนอยู่บนพื้นที่ว่างหน้าทัพทั้งสองฝ่าย
“ไปไหน!” เมื่อเห็นชาวต้าหัวคล้ายขลาดกลัวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสู้ สั่วหลานเข่อยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง ตวาดเสียงดังคราหนึ่ง ควบม้าตามอยู่ข้างหลังเขา
เมื่อเห็นผู้นำทัพลงสนามเข่นฆ่า ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างไม่กะพริบตา จ้องมองการกระทำทุกอย่างของทั้งสองคนเขม็ง
วิชาการขี่ม้าของสั่วหลานเข่อไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย หลินหว่านหรงวิ่งห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างหน้า มันไล่ตามอยู่ข้างหลัง ระยะห่างขยับเข้ามาใกล้ทีละก้าว จากร้อยจั้งในคราแรก จนถึงแปดสิบจั้ง ห้าสิบจั้งในช่วงท้าย ระยะห่างใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ทหารต้าหัวพลันหลั่งเหงื่อเย็นทันที
“ระวังปืน!” หลินหว่านหรงที่กำลังห้อตะบึงอยู่ตวาดออกมายาวๆ อย่างฉับพลัน หันหน้ากลับมาบนหลังม้า กระบอกปืนดำเมี่ยมเล็งมาที่สั่วหลานเข่อ
ชนเผ่านอกด่านที่อยู่บนม้าขดตัว ก้มหัวลงไปทันที อาวุธสั้นของอัวเหล่ากงกลับสงบนิ่ง ปราศจากเสียง นี่กลับเป็นกระบวนท่าหลอก ระยะที่ไล่ตามจนใกล้เมื่อครู่ห่างออกไปภายในชั่วพริบตานี้ เหล่านายทหารต้าหัวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
วนเป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนหนึ่งหนี คนหนึ่งตาม ทุกครั้งที่สองฝ่ายเข้ามาใกล้ ชาวต้าหัวก็จะ ‘ระวังปืน’ สั่วหลานเข่อทำได้เพียงก้มหัวลงไปอย่างจนใจ ทั้งยังทำให้ทหารทั้งหลายหัวเราะเยาะ
ไปมาอยู่สองรอบ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยนั้นก็แว่วเข้าสู่หูของสั่วหลานเข่อ ผู้กล้าทูเจวี๋ยทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ดาบม้าในมือชูขึ้น ขู่คำรามแฮ่ๆ “อัวเหล่ากงคนเจ้าเล่ห์ เก่งนักเจ้าก็อย่าหนี!”
“สั่วหลานเข่อคนขวัญอ่อน เก่งนักเจ้าก็อย่าตาม!” เสียงหัวเราะงอหายของชาวต้าหัวแว่วเข้ามา ผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
ในที่สุดสั่วหลานเข่อก็ทนไม่ได้แล้ว มันใช้แรงทั้งร่างตบม้าที่อยู่ใต้ร่าง ม้าทูเจวี๋ยตัวนั้นระหว่างที่วิ่งอยู่ปากก็มีฟองสีขาวให้เห็นรางๆ เหงื่อสีแดงออกเต็มร่างประดุจโลหิต
ด้วยความพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายของสั่วหลานเข่อ ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายก็ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ สามสิบจั้ง ยี่สิบจั้ง ค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ขนบนใบหน้าของชาวต้าหัวก็มองเห็นชัดเจน
“ระวังปืน!” หลินหว่านหรงหันกลับมาทันที ตวาดรุนแรงคราหนึ่ง สั่วหลานเข่อถูกเขาขู่มามากแล้ว ตอนนี้จึงกลับไม่กลัว ไม่เพียงไม่หลบ หน้าตากลับยิ่งดุร้ายมากขึ้น “ไป!” มันหวดแส้ลงบนก้นม้า ม้าทูเจวี๋ยส่งเสียงอย่างอ่อนแรงสองครา ล้มลงดังโครมโดยหัวอยู่หน้าเท้าอยู่หลัง ล้มลงไปข้างหน้า ร่างของสั่วหลานเข่อพลันตั้งตรงราวกับก้อนหิน ถูกดีดออกไปตรงๆ
เสียงดัง ‘ปัง’ สนั่นหวั่นไหวคราหนึ่ง สั่วหลานเข่อร่วงหล่นลงพื้นอย่างแรง หน้าผากมีรูโลหิตขนาดใหญ่รูหนึ่ง สองตาเบิกโพลง ตายตาไม่หลับ!