ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 552.2
ท่ามกลางโลหิตชุ่มโชก ทหารม้าต้าหัวที่บุกล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าเป็นเหมือนมารปีศาจที่ร่วงลงมาจากฟ้าภายในใจชาวทูเจวี๋ย พวกเขาโลหิตชโลมร่าง ไอสังหารเข้มข้น ทำให้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไม่ใช่อากาศหนาว แต่ละดาบของเหล่าทหารม้าที่ฟันลงไปล้วนต้องมีเสียงร้องโหยหวนของชาวทูเจวี๋ยดังขึ้นมา แขนขาขาดพิการ โลหิตสาดกระจายเต็มพื้นหญ้า ความแม่นยำและความโหดเ**้ยมนั้น แม้แต่ชนเผ่านอกด่านที่คุ้นชินกับการเข่นฆ่าสังหารก็ยังรู้สึกสั่นสะท้านยิ่งนัก
หูปู้กุยควบม้าห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะร่าเสียงดังด้วยความสาแก่ใจ เข่นฆ่าสังหารต่อหน้าชนเผ่านอกด่านที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ามากที่สุด มองดูความหวาดผวาและความสิ้นหวังอันล้ำลึกภายในดวงตาของพวกมัน ความรู้สึกเช่นนั้นมันช่างสาแก่ใจอย่างไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบได้ ทุกครั้งที่เขายกดาบฟันก็ต้องมีหัวของชาวทูเจวี๋ยหนึ่งหัวที่ปลิวหมุนกรีดเป็นเส้นโค้งสีแดงฉานอยู่กลางอากาศ ร่วงหล่นลงบนพื้นดังตุบ ใบหน้าอันบิดเบี้ยวมองเห็นอย่างชัดเจน
“แฮ่! แฮ่!” เกาฉิวห้อตะบึงอยู่ข้างกายหูปู้กุย ม้าเร็วดั่งลูกธนู ในมือไม่รู้ไปหาเชือกยาวเหยียดมาจากที่ใด ปลายเชือกมัดเป็นวง เขาขู่ร้องเสียงดังไปพลาง สองตาก็เปล่งประกายสีแดงสดของหมาป่า เหวี่ยงบ่วงบาศออกไปราวกับคล้องม้า ด้วยสายตาและพละกำลังของเขา บ่วงบาศนั้นก็คล้องลงบนคอของชนเผ่านอกด่านราวกับมีดวงตางอกเงย ไม่มีครั้งใดที่พลาดเป้า เกาฉิวหัวเราะเสียงดังแปลกประหลาดระคายหูพร้อมดึงเชือก มองดูชนเผ่านอกด่านที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำถูกคล้องจนแน่นราวกับแพะแกะที่หมดหนทางสู้ แลบลิ้นยาว ดวงตาเบิกกว้าง เขาก็ยิ่งบังเกิดสันดานหมาป่า หวดแส้ควบม้า ขยับลากชนเผ่านอกด่านที่ถูกคล้องจนแน่นวิ่งห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งบนพื้นหญ้าไม่หยุด เมื่อนึกถึงความอกสั่นขวัญหายที่เขาถูก ชาวทูเจวี๋ยไล่ล่าสังหารสิบลี้ก่อนหน้านี้ การกระทำเช่นนี้ก็ให้อภัยได้
เสียงลม เสียงฝีเท้าม้า เสียงดาบ เสียงกู่ร้องด้วยโทสะ เสียงโอดโอย เหมือนดั่งเพลงสงครามอันแดงฉานเพลงหนึ่งที่ดังกึกก้องไปทั่วทุ่งหญ้า
“ลงจากม้า รีบลงจากม้า!” จั่วจ้านหัวหน้าทหารม้าสองตาแดงฉาน ส่งเสียงดังลั่น เสียงของมันแหบพร่า ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด ชนเผ่านอกด่านที่รวมตัวอยู่รอบกายมันก็เหลือแค่ไม่ถึงหกร้อย ทอดสายตามองรอบด้าน ทุกแห่งมีแต่โลหิต หัวม้า แขนขาที่กระจัดกระจายของคนในเผ่า ภพเหตุการณ์อันทารุณโหดร้ายนั้นทำให้ชาวทูเจวี๋ยซึ่งคุ้นชินกับการเข่นฆ่าสังหารมานานต้องสั่นเทา บางทีพวกมันคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องที่เคยทำกับผู้อื่นเมื่อก่อนจะมีสักวันที่ร่วงหล่นใส่หัวของพวกมันเช่นเดียวกัน เมื่อถึงคราวที่ต้องตายอย่างจริงแท้แน่นอน พวกมันถึงเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความหวาดกลัว
เสียงดังค่อยๆ สงบลง ทุ่งหญ้ากลับคืนสู่ความเงียบสงัดอย่างแช่มช้า มีเสียงร้องโอดโอยแผ่วดังขึ้นมาเป็นบางครั้ง เสมือนยันต์กวักวิญญาณ กระแทกดังตึงๆ ใส่หน้าอกของชนเผ่านอกด่านที่เหลืออยู่อย่างรุนแรง ใจของพวกมันไม่เคยเต้นรุนแรงขนาดนี้มาก่อน
ชาวทูเจวี๋ยราวหกร้อยคนที่เหลืออยู่ล้วนมองสถานการณ์ออกตั้งแต่แรก ตัดสินใจทิ้งม้าถึงได้รักษาชีวิตมาจนถึงตอนนี้ พวกมันรวมตัวอยู่ข้างกายจั่วจ้าน กำดาบโค้งในมือแน่น มองชาวต้าหัวที่ล้อมเข้ามาอย่างแช่มช้าจากรอบทิศทางด้วยความหวาดกลัว
ทหารม้าต้าหัวห้าพันนายชูคบเพลิงที่อยู่ในมือขึ้นสูง ค่อยๆ เข้ามาทีละก้าวๆ เข้ามาใกล้ชาวทูเจวี๋ยที่เหลืออยู่อย่างเงียบงัน พวกเขามีสีหน้าเย็นชา ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยวาจา แม้แต่เสียงฝีเท้าม้าก็เงียบงันแผ่วเบาย่างชัดเจน
โลหิตที่อยู่บนคมดาบของชาวต้าหัวไหลหยดติ๋งๆ ร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้าอย่างเงียบงัน เมื่อรวมตัวกันก่อเกิดเป็นเสียงซ่าๆ เบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน ทุ่งหญ้าเงียบสงัดจนแม้แต่เข็มหล่นบนพื้นสักเล่มก็ยังได้ยิน ชาวทูเจวี๋ยเบิกตาโพลง มองดู ทหารม้าต้าหัวที่เกาะกลุ่มทรงพลังราวกับขุนเขาและกำลังรุกคืบเข้ามาทีละก้าวเหล่านี้ รูม่านตาของพวกมันค่อยๆ เบิกกว้าง เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง ความเงียบสงัดแห่งความตายประหนึ่งก้อนศิลาขนาดมหึมาก้อนหนึ่งที่กดทับจิตใจของทุกคน ความรู้สึกที่ชะตาชีวิตถูกคนกุมไว้ในกำมือยังยากจะทานทนยิ่งกว่าฆ่าพวกมันสักร้อยรอบเสียด้วยซ้ำ
ภายใต้ความกดดันอันมหาศาล ในที่สุดชาวทูเจวี๋ยรูปร่างแข็งแรงกำยำคนหนึ่งก็ยากจะทนไหว มันร้อง “อ๊าๆ” เสียงดังสองครั้ง สองตาแดงดั่งโลหิต กวัดแกว่งดาบศึก บุกออกมาท่ามกลางฝูงชน พุ่งไปยังขบวนของชาวต้าหัวราวกับหมาป่าอันเดียวดายตัวหนึ่ง
“พรึบ” เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งกวาดผ่านไป ชาวทูเจวี๋ยที่บุกออกไปยืนแน่นิ่งในบัดดล มันยืนนิ่งอยู่นาน ดาบในมือร่วงลงพื้นดังเคร้ง ร่างกายที่กำยำดั่งหมีล้มครืนโดยพลัน ไม่รู้ว่ามีลูกธนูดอกหนึ่งมาจากที่ใดเสียบทะลุคอหอยมันพอดี ไม่มีโลหิตไหลออกมาสักหยดเดียว ชาวทูเจวี๋ยล้มลงอย่างเงียบงัน แม้ตายไปแล้วก็ยังเบิกตาโพลง
ชาวต้าหัวเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลย พวกเขารุกคืบเข้ามาใกล้อย่างแช่มช้า ใบหน้าสงบนิ่งราวกับว่าธนูดอกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ฝีเท้าม้าดังกุบกับค่อยๆ ดังมากขึ้นเรื่อยๆ กระแทกหน้าอกชาวทูเจวี๋ยทุกคนชนเผ่านอกด่านซึ่งโชคดีเหลืออยู่ห้าหกร้อยคนกำดาบแน่น กันอยู่ตรงหน้าอกตนเองด้วยสองมืออันสั่นเทา ปราศจากความถืออำนาจบาตรใหญ่โหดเ**้ยมอำมหิตยามที่พวกมันขี่ม้าไล่ตามต้าหัวอีกต่อไป สิ่งที่มาแทนที่กลับเป็นความหวาดผวา ความหวาดผวาที่ไร้จุดสิ้นสุด
ท่ามกลางชาวทูเจวี๋ยพลันมีเสียงร้องเรียกแข็งกระด้างดังขึ้นมา เสียงกู่ร้องตะโกนอันเร่งร้อนแฝงด้วยอาการสั่นเทาของจั่วจ้านหัวหน้าชนเผ่านอกด่านดังแว่วเข้ามา “อัวเหล่ากง เจ้าคนต้าหัวผู้เจ้าเล่ห์ชั่วช้า ต่ำช้าไร้ยางอาย ข้าต้องการสู้ตัดสินกับเจ้า ขอให้ชื่อของผู้กล้าจากฮาเอ่อร์เหอหลิน ขอเชิญเทพแห่งทุ่งหญ้าเป็นพยาน ข้าต้องการสู้ตัดสินกับเจ้า”
“สู้ตัดสิน?!” หลินหว่านหรงถ่มหญ้าเขียวที่คาบไว้ในปากออกอย่างไปอย่างรุนแรง กล่าวด้วยความเดือดดาลว่า “มารดามัน! ไอ้เจ้านี่มีหน้าพูดออกมาจากปากอีกนะ? เห็นข้าปัญญาอ่อนหรืออย่างไร! คิดไม่ถึงว่าคนที่หน้าหนากว่าข้าอีกกลับเกิดที่ทูเจวี๋ย!”
เกาฉิวดึงบ่วงบาศเปื้อนโลหิตที่อยู่ในมือแน่น หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “คนน่ะนะ ต่างก็มีช่วงที่หน้าไม่อายกันทั้งนั้น น้องหลิน เจ้าต้องปลงให้ตกสักหน่อย ต้องรู้ว่ามันมีหนังหน้างอกมาหนากว่าเจ้าได้ ถือเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง”
เจ้าเหล่าเกาคนนี้นับวันยิ่งมีความสามารถนะ หูปู้กุยฝืนสะกดกลั้นหัวเราะ ประสานมือแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นก็ให้ข้าน้อยไปลองกับมันสักตั้งเถอะขอรับ”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองครา “พี่หู หลักการในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของข้าก็คือไม่มีทางเสียเปรียบ มาสู้ตัดสินกับเจ้าคนที่เหมือนกับปลาในอวนนี้น่ะหรือ?! พวกเราทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้หรือ?!”
ฝีเท้าของชาวต้าหัวยังคงไม่เร็วไม่ช้า แต่ละก้าวแต่ละก้าวทำให้ล้อมชาวทูเจวี๋ยอยู่กึ่งกลาง ความเย็นเยียบมาพร้อมกับสายลมเย็นเสียดแทงกระดูกบนทุ่งหญ้า พัดผ่านจิตใจของทุกคน
จั่วจ้านกำลังจะเอ่ยปากพูดอีก ทว่ากลับได้ยินอัวเหล่ากงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะยาวๆ ออกมา “อยากสู้ตัดสิน?! ก็ได้ แต่เจ้าตกลงเงื่อนไขข้าข้อหนึ่งก่อน”
“เงื่อนไขอะไร?!” จั่วจ้านรีบถาม
“เงื่อนไขนี้น่ะหรือ พูดแล้วก็ง่ายดายมาก” อัวเหล่ากงยิ้มเล็กน้อย เผยฟันขาวสะอาดเย็นเยียบ “ขอเพียงพี่จั่วจั่วจ้านเจ้าวางอาวุธ แก้ผ้าให้หมด วิ่งเปลือยร่างอยู่หน้าทัพทั้งสองฝ่ายรอบหนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังสามครั้งว่าท่านปู่หลินมาจากต้าหัว ข้าจะส่งคนไปสู้ตัดสินกับเจ้า”
จั่วจ้านใบหน้ามีเส้นเอ็นปูดโปน ขู่คำรามเสียงแฮ่ๆ “เจ้ากล้าลบหลู่ผู้กล้าทูเจวี๋ยผู้ไร้เทียมทาน จั่วจ้านไม่มีทางละเว้นเจ้า ผู้กล้าทั้งหลาย บุกไปกับข้า ฆ่าชาวต้าหัว!”
ชาวทูเจวี๋ยที่กำลังรอคอยด้วยความร้อนรนและหวาดกลัว เมื่อเผชิญความตายที่อยู่ใกล้ตรงหน้า สุดท้ายก็ปราศจากความอดทนที่จะรอคอยต่อไปอีกแล้ว พวกมันตวาดด้วยความเดือดดาล ชูดาบขึ้น เดินไปทางชาวต้าหัวพร้อมบุกเข่นฆ่าเข้ามา
มองดูกระบวนทัพที่มีฝีเท้าย่ำแย่และสับสน รวมถึงความหวาดกลัวที่ซุกซ่อนอย่างล้ำลึกภายในดวงตาของพวกมัน หูปู้กุยก็ส่ายหน้าพร้อมกล่าวทอดถอนใจ “กระบวนทัพนี้แม้แต่ทหารเดินเท้าขั้นต่ำสุดของต้าหัวเราก็ยังสู้ไม่ได้ ที่แท้พออยู่ห่างจากม้า ชาวทูเจวี๋ยก็ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น!”
คำพูดนี้มีเหตุผลมาก ชาวทูเจวี๋ยเกิดบนหลังม้า ตายบนหลังม้า ม้าศึกก็คือชีวิตที่สองของพวกมัน เมื่อไปจากม้า จุดเด่นของพวกมันก็ปราศจากที่ให้ใช้งาน ด้วยความไม่เป็นระเบียบและความบุ่มบ่ามของชนเผ่านอกด่าน พวกมันก็สูญเสียพลังในการโจมตีอันร้ายกาจไร้เทียมทานของมันไปด้วยเช่นกัน
หลินหว่านหรงตบบ่าเหล่าหูพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ทอดถอนใจไปก็ไร้ประโยชน์ มีจุดเด่นก็มีจุดด้อย ก็เหมือนกับพวกมันที่เชี่ยวชาญการขี่ม้า จะไม่เก่งเรื่องการรบทางเท้าก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ หากมีวันหนึ่งที่ชาวทูเจวี๋ยไม่ฝึกการขี่ม้า เปลี่ยนเป็นฝึกกระบวนทัพทหารเดินเท้าขึ้นมา เช่นนั้นพวกมันก็ไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ยแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้หูปู้กุยกับเกาฉิวสองคนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นทันที