ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 555 ยาแรง
กระโดดลงจากรถด้วยสภาพทุลักทุเล หน้าผากหลั่งเหงื่อเย็นออกมา หลินหว่านหรงเปียกชุ่มทั้งตัว อย่างที่ว่ากันว่าคนไม่อาจดูรูปโฉม น้ำทะเลไม่อาจประมาณ จิตใจและฝีมือของเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ อย่าว่าแต่ชาวทูเจวี๋ยเลย แม้แต่ทั่วทั้งต้าหัวก็หาได้ไม่กี่คน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นแค่สาวน้อยทูเจวี๋ยที่อายุราวยี่สิบปีเท่านั้น หากปล่อยให้พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยากแก่การควบคุม แล้วผู้ใดจะเป็นคู่ต่อกรนางได้อีก?
เมื่อคิดถึงใบหน้าตำหนิโมโห เอียงอายตัดพ้อ อ้ำๆ อึ้งๆ ของอวี้เจียเมื่อคืน การแสดงของสาวน้อยทูเจวี๋ยแทบจะถึงขั้นสมบูรณ์แบบ หลินหว่านหรงอดส่ายหน้าทอดถอนใจไม่ได้ ออกไปยิงอินทรี แต่กลับถูกอินทรีจิกตาบอด ที่แท้เมื่อคืนแม่หนูคนนี้ก็กระเซ้าแกล้งข้ามาตลอด
แต่เขาไม่อาจไม่ยอมรับได้เช่นกัน แค่เอาเรื่องการแสดงมาพูด เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็เหนือล้ำกว่าเขามากนัก และพิสูจน์คำพูดเก่าแก่ที่ว่าผู้หญิงเกิดมาก็แสดงเป็นนั้นได้พอดี
กับอวี้เจียคนนี่ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนต้องอยู่ให้ไกลห่างราวกับเคารพผีสางเทวดา ทั้งไม่อาจฆ่า ทั้งไม่อาจแตะต้อง ช่างเป็นเผือกร้อนลวกมือเสียจริง หวังแค่ว่าหลี่อู่หลิงจะฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว เมื่อสลัดหลุดจากการข่มขู่ของนังหนูคนนี้ได้ ตัวเองถึงจะมีวันที่นอนหลับสนิท
ดาบทองของอวี้เจียเล่มนั้นยังอยู่ในมือตน พลิกไปพลิกมาพร้อมมองอย่างถ้วนถี่ เห็นแค่ดาบโค้งเล่มนี้เปล่งประกายสีทองระยิบระยับ บนฝักดาบฝังอัญมณีหรูหราแปลกประหลาดงดงาม กึ่งกลางคมดาบฝังโมราสีเขียวเข้มเม็ดหนึ่ง ระยิบระยับวับวาว หรูหราสูงค่าเหนือธรรมดา
ดาบที่สวยขนาดนี้เอามาใช้ฆ่าคนก็ช่างน่าเสียดายเสียจริง เขาค่อยๆ ถอนทอนใจออกมาคราหนึ่ง ดาบทองที่งดงามประณีตขนาดนี้ น่าจะแสดงฐานะของสถานะของอวี้เจียอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่แม่หนูคนนี้ยามใสซื่อบริสุทธิ์ก็เหมือนกระดาษขาว ยามเจ้าเล่ห์เพทุบายก็เหมือนนางจิ้งจอก คิดจะล้วงความลับออกจากปากนางหรือ?! ไม่มีทาง!
“พี่หู!” ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ออกแรงกวักมือเรียกหูปู้กุยที่ได้รับชัยมาอยู่ไกลๆ
เหล่าหูมือหิ้วกระต่ายป่าอ้วนพีตัวหนึ่ง กำลังขี่ค่อมอยู่บนหลังม้าอวดต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง กระต่ายป่าตัวนั้นถูกยิงทะลุกะโหลก ทุกแม่นยำทั้งโหดเ**้ยม ส่วนเกาฉิวก็เป่าเคราถลึงตาตามอยู่ข้างกายเขา เห็นชัดว่าไม่ยอมอย่างยิ่ง
หูปู้กุยเดินเข้ามาหา โยนกระต่ายป่าอ้วนพีที่มีน้ำมันไหลลงกับพื้น หัวเราะพร้อมพูดว่า “ต้นฤดูใบไม้ผลิจะหากระต่ายที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ได้สักตัวช่างยากลำบากเสียงจริง ต้องยิงให้ถูกก็ยิ่งไม่ง่ายดาย! คืนนี้ข้าน้อยมีอะไรให้ขัดฟันท่านแม่ทัพแล้ว!”
เกาฉิวติตตามอยู่ข้างเขา พอได้ยินก็ร้องสบถออกมาอย่างไม่ยินยอม “ยิงถูกไม่ง่ายดายอะไรกัน หากไม่ใช่เหล่าหูท่านขี่บนม้ามาบังสายตาข้า คืนนี้ก็ควรเป็นข้าเหล่าเกาที่หาอะไรมาขัดฟันให้น้องหลิน!”
“ขอบคุณความเอาใจใส่ของพี่ชายทั้งสอง!” หลินหว่านหรงรู้สึกอบอุ่นใจ ส่ายหน้าพลางกล่าวระคนหัวเราะ “ของดีขนาดนี้เก็บให้พี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บได้เสพสุขกันเถอะ พวกเขาต้องการการบำรุงยิ่งกว่าข้า พี่หู ข้ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งจำเป็นต้องให้ท่านไปทำ!”
“ขอท่านแม่ทัพโปรดสั่งการ!” เมื่อเห็นหลินหว่านหรงมีสีหน้าหนักอึ้ง หูปู้กุยจึงรีบประสานมือตอบ
หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ค่อยๆ ส่งดาบโค้งอันประณีตที่อยู่ในมือให้หูปู้กุย “พี่หู นี่ ท่านเก็บเอาไว้”
“เอ๊ะ นี่ก็ไม่ใช่ดาบน้อยของเยวี่ยหยาเอ๋อร์หรอกหรือ?!” เกาฉิวที่อยู่ด้านข้างถามด้วยความประหลาดใจ
ดาบโค้งเล่มนี้ดูเมือนหรูหราสวยงามกะทัดรัด ทว่าพออยู่ในมือแล้วกลับหนักอึ้ง หูปู้กุยกุมอยู่ในมืออย่างระมัดระวัง มองเขาด้วยความสงสัยคราหนึ่ง “ท่านแม่ทัพ ท่านจะให้ข้าน้อยไปทำอะไรหรือขอรับ เกี่ยวกับดาบทองเล่มนี้หรือไม่?”
หลินหว่านหรงยิ้มแย้ม สายตาไปอยู่บนดาบโค้งที่อยู่ในมือเขา “เกี่ยวกับดาบทองเล่มนี้อย่างมาก พี่ชายทั้งสอง คิดว่าพวกท่านคงเดาออกเช่นกัน อวี้เจียมี่สถานะสำคัญที่ไม่ธรรมดาในแค้วนทูเจวี๋ย เพียงแต่สำคัญถึงขั้นไหนกันแน่ พวกเราก็ไม่มีใครรู้”
สถานะของอวี้เจียเป็นปัญหาใหญ่ซึ่งทำให้ทั้งสามคนกลัดกลุ้มมาโดยตลอด พอได้ยินหลินหว่านหรงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งสองคนจึงกลั้นหายใจในทันที ฟังคำพูดต่อไปของเขาอย่างสงบนิ่ง
“จากการอยู่กับอวี้เจีย ข้ามีความรู้สึกอย่างหนึ่ง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลมมากที่สุดในแคว้นทูเจวี๋ย คำพูดโบราณนั้นกล่าวได้ดี ร่วมเดินทางกับเสือ หากไม่สยบเสือ ก็ต้องถูกเสือขย้ำ! พูดว่านังหนูคนนี้เป็นแม่เสือสาวที่ดุร้ายตัวหนึ่ง นั่นไม่เกินเลยไปแม้แต่น้อย ต้องต่อกรกับเสือร้ายตัวหนึ่งเช่นนี้ พูดตามจริงแล้ว ข้าก็ไม่ได้มีความมั่นใจมากเท่าไหร่เช่นกัน!” นึกถึงสายตาของอวี้เจียซึ่งบางครั้งใสซื่อบริสุทธิ์ บางครั้งยวนเย้าพราวเสน่ห์ ทุกอย่างต่างล่อลวงให้คนรู้สึกเวทนาสงสาร ยามยั่วยวนก็น่าตื่นตระหนกกวักวิญญาณคน หลินหว่านหรงอดหัวเราะฮิคราหนึ่งไม่ได้ ส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด
พวกของเหล่าหูสองคนเจ้ามองข้าข้ามองเจ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง สตรีที่ถูกแม่ทัพหลินเรียกขานว่าเป็นเสือร้ายได้ บนโลกนี้ก็มีแค่อวี้เจียคนเดียวเท่านั้น สาวน้อยทูเจวี๋ยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ขนาดนั้น แม่ทัพหลินที่ผ่านบุปผามาจนช่ำชองกลับจัดการนางไม่ได้?! นี่ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน! เหล่าเกากะพริบตา กล่าวด้วยความจริงใจ “น้องหลิน ข้ายังมียาดีที่เก็บเอาไว้ส่วนตัวจำนวนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นให้เจ้ายืมใช้ก่อนก็ได้นะ?”
หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ขอบคุณเจตนาดีของพี่เกา เพียงตัวของแม่หนูอวี้เจียคนนี้ก็เป็นหมอ ใช้ยาขึ้นมาเกรงว่าจะร้ายกาจกว่าข้าและท่านเสียอีก อย่าทำเรื่องที่ขโมยไก่ไม่สำเร็จต้องเสียข้าวสาร ถูกคนวางยาปลุกกำหนัดย้อนศรเลย นั่นจะแย่เอานะ!”
เหล่าเกาใจสั่นสะท้าน น้องหลินพูดถูกต้องยิ่งนัก นับตั้งแต่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถูกจับตัวมา นางเคยมีความหวาดกลัวให้เห็นหรือไม่? หากถูกคนวางยาง่ายดายขนาดนั้น นางก็ไม่ใช่อวี้เจียแล้ว อย่าถูกนางควบคุมย้อนกลับจะดีกว่า
หูปู้กุยผงกศีรษะ กล่าวด้วยความกังวลอย่างยิ่ง “ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้องยิ่งนัก สตรีทูเจวี๋ยนิสัยแข็งกร้าวรุนแรง หากใช้วิธีการรุนแรงบีบบังคับให้นางยินยอม นางจะต้องต่อต้านจนตัวตายแน่! ในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวหลี่จื่อยังต้องพึ่งพานางรักษา การตายของนางปราศจากข้อดีกับพวกเราทั้งสองฝ่าย ทำไม่ได้จริงๆ ขอรับ!”
เกาฉิวถอนหายใจหนักๆ กล่าวด้วยความจนใจ “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ แล้วพวกเราจะจัดการนางอย่างไรกันแน่? หรือว่าจะปล่อยให้นางรังแกพวกเรา น้องหลิน?”
หลินหว่านหรงกลอกตามองค้อน พูดอะไรกัน? คนที่รังแกข้าได้บนโลกนี้ยังส่ายหางอยู่ในท้องมารดาอยู่เลย
“ขอบคุณความห่วงใยของพี่เกา” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะหลายครั้ง “ที่จริงหากต้องการต่อกรกับอวี้เจียก็ง่ายดาย ไม่ใช่การใช้แผนการเจ้าเล่ห์เพทุบาย ตาต่อตาฟันต่อฟันหรอกหรือ ก็อย่างที่ว่าไว้ อันธพาลเป็นวิชาการต่อสู้ ใครก็รั้งไม่อยู่ ข้าพูดอย่างถ่อมตัว หากเอ่ยถึงแผนการเจ้าเล่ห์เพทุบาย ข้าคือบรรพบุรุษของแท้แน่นอน นังหนูนั่นนึกว่าตัวเองจับจุดอ่อนของข้าได้ แต่ไม่รู้ว่าข้าหาช่องโหว่ของนายได้ตั้งแต่แรกแล้ว ฮิฮิ!”
เห็นแม่ทัพหลินเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เป็นป้ายยี่ห้อ พวกของเหล่าเกาสองคนก็ขนลุกขึ้นมาพร้อมกัน อย่างที่พี่ซานว่าไว้ อันธพาลเป็นวิชาการต่อสู้ ใครก็รั้งไม่อยู่! แม่นางน้อยอวี้เจียต้องซวยแล้ว! เกาฉิวบังเกิดความคึกคักทันที กล่าวด้วยความร้อนใจว่า “น้องหลิน นางมีช่องโหว่อะไร?!”
หลินหว่านหรงเดินเอามือไพล่หลังไปหลายก้าว กล่าวไม่เร็วไม่ช้าออกมาว่า “ที่แท้อวี้เจียมีฐานะเช่นไรในทูเจวี๋ย เชื่อว่าพี่ชายทั้งสองก็คงสงสัยใคร่รู้เช่นเดียวกับข้า ยามนี้ก็มีโอกาสใหญ่ขนาดนี้แล้ว ลองดูสิว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้ลึกลับคนนี้มีอิทธิพลต่อชนเผ่านอกด่านมากเท่าไหร่กันแน่! พี่หู เฮ่อหลี่เย่ผู้กล้าทูเจวี๋ยนั่นยังอยู่ในมือท่านกระมัง?!”
หูปู้กุยกล่าวระคนหัวเราะ “คนในเผ่าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คือเจ้าเฮ่อหลี่เย่ที่ถูกพวกเราจับตัวไว้ ไม่ได้ดื่มกันทั้งวัน แต่กลับยังมีกำลังวังชาไม่หมดสิ้น ช่างเป็นชายชาตรีผู้กล้าคนหนึ่งเสียจริง เชื่อว่าผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้าต้องเป็นของมันเท่านั้นแน่ขอรับ!”
“ผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า?! ยอดเยี่ยม!” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมปรบมือ พูดด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ผู้กล้าเช่นนี้อย่าให้เสียเปล่าเลย ฉวยโอกาสช่วงที่คนไม่สนใจ ปล่อยให้มันหนีไปเถอะ!”
“ให้มันหนี?!” หูปู้กุยร้อนใจขึ้นมาทันที “ท่านแม่ทัพ นี่จะได้อย่างไร? เจ้าเฮ่อหลี่เย่คนนี้ไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ยธรรมดาทั่วไป มันมีพลังไร้ขีดจำกัด สามารถหนึ่งต่อร้อย ปล่อยมันไปไม่กับปลอยเสือเข้าป่าหรอกหรือ? วันหน้ายังมีทหารอีกตั้งเท่าไหร่ที่ต้องตายใต้เงื้อมมือนาง?!”
หลินหว่านหรงตบบ่าเขา ยิ้มอย่างแปลกประหลาด “พี่หู ไม่ต้องร้อนใจไป เรื่องหลบหนีนี้ จะหนีไปถึงที่ไหนได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง! นั่น พี่เกา เอายาชั้นเลิศที่เก็บรักษาที่ตัวท่านออกมาให้อีกสักหน่อย…”
“ไม่มีแล้วๆ ใช้หมดแล้ว!” เกาฉิวรีบกุมหน้าอก ร้องเสียงดังด้วยความประหม่าตื่นเต้น!
หลินหว่านหรงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไม่มีแล้วจริงๆ หรือ? เช่นนั้นก็ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน เดิมทีข้ายังคิดฉวยโอกาสนี้ยึดดินแดนชนเผ่านอกด่านมาสักสองแห่ง เดินทัพเข้าอี้อู๋ มุ่งตรงไปยึดราชธานีทูเจวี๋ย…น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายเหลือเกินจริงๆ!”
เหล่าเกาควักห่อกระดาษขนาดเล็กที่ห่ออย่างแน่นหนาออกมาหลายห่อ พูดคิ้วขมวดด้วยหน้าตาขมขื่นว่า “น้องหลิน ของดีของข้ามีไม่มากแล้ว ใช้ให้ประหยัดสักหน่อยก็แล้วกัน รอให้รบเสร็จแล้ว ข้ายังต้องพึ่งมันไปทำการคบหากับเหล่าผู้กล้าสตรีอีกนะ!”
เจ้านี่ก็ไม่ลืมเรื่องพรรค์นั้นเลยนะ! หลินหว่านหรงโบกมือกล่าวระคนหัวเราะ “พี่เกาวางใจได้ คราวนี้ใช้ไม่มาก เพียงให้เฮ่อหลี่เย่ล้มตายอยู่นอกเขตแดนเอ๋อจี้น่าหรือไม่ก็ฮาเอ่อร์เหอหลินก็พอแล้ว!”
แค่วางยาพิษคนผู้หนึ่ง ไม่ต้องใช้ตัวยาจำนวนมาก เกาฉิวไม่ตกใจลนลานในทันที “น้องหลิน ในเมื่อต้องการฆ่าเจ้าคนแซ่เฮ่อนี่ ฟันดาบเดียวจะใช้แรงมากสักเท่าไหร่ แล้วเหตุใดถึงต้องสิ้นเปลืองยาของข้าด้วยล่ะ?!”
หลินหว่านหรงกัดฟันนกรอด แค่นเสียงคราหนึ่ง “หากแค่ฆ่าคน ข้ายังต้องเปลืองแรงขนาดนี้หรือ? ข้าต้องการให้เจ้าเฮ่อหลี่เย่ที่วิ่งนำไปนี่ช่วยส่งสารให้ข้าฉบับหนึ่ง!”
ให้เฮ่อหลี่เย่ส่งสาร? เกาฉิวกับหูปู้กุยนิ่งอึ้ง นี่มันเหมือนเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เฮ่อหลี่เย่เป็นผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งทุ่งหญ้า แล้วมันจะส่งสารให้พวกเราได้อย่างไรกันเล่า?!
หลินหว่านหรงยิ้มเล็กน้อย ไม่อธิบาย เพียงพูดว่า “พี่เกา ต้องให้เฮ่อหลี่เย่ล้มตายอยู่นอกเขตแดน ไม่เห็นดินแดนของ ชนเผ่านอกด่าน ท่านทำได้หรือไม่?!”
“แน่นอนว่าได้” เกาฉิวตบอกดังปักๆ รีบผงกศีรษะไม่หยุด “ข้าเหล่าเกาก็อาศัยเรื่องนี้กินข้าวนะ!”
“ดี” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ดวงตาสาดประกายดุร้าย “พี่หู ตอนที่เฮ่อหลี่เย่วิ่งหนี ท่านจงไล่ตามอย่างโหดเ**้ยม ยิงธนูใส่มันอีกสักหลายดอก ทางที่ดีที่สุดก็ให้มันบาดเจ็บสาหัส ยิ่งสภาพดูไม่จืดก็ยิ่งดี คำนวณเวลา รอให้ถึงช่วงที่เฮ่อหลี่เย่สิ้นลม…” เขาหยุดชั่วครู่ แล้วยิ้มเล็กน้อย ชี้ไปที่ดาบโค้งซึ่งอยู่ในมือเหล่าหูพร้อมกล่าวไม่เร็วไม่ช้า “…ค่อยเอาเจ้าดาบทองนี่ใส่มือมัน!”
“อะไรนะขอรับ?!” พวกของหูปู้กุยสองคนร้องเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน ตาแทบจะถลนออกมา “ให้มัน? นี่จะได้อย่างไร?!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง “ให้เฮ่อหลี่เย่ที่ตายไปแล้วคนหนึ่งจะมีเรื่องอะไรให้กังวลกัน? ไม่เพียงเท่านี้ พี่เกาท่านยังต้องเขียนจดหมายเลือดโดยใช้ชื่อของเฮ่อหลี่เย่ ลายมือจะต้องหยาบและหวัด ลายเส้นจะต้องพร่าเลือนไม่ชัดเจน ให้คนเห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นจดหมายก่อนตายของเฮ่อหลี่เย่!”
จดหมายเลือดนี้ย่อมใช้ภาษาทูเจวี๋ย เหล่าหูเป็นทหาร แนวทางในการเขียนหนังสือและลายเส้นใกล้เคียงกับเฮ่อหลี่เย่ ให้เขาเขียนจึงเหมาะสม! พวกของเกาฉิวสองคนต่างไม่เข้าใจว่าเขาต้องการทำอะไร แต่เมื่อเห็นหลินหว่านหรงสีหน้าจริงจังไม่เหมือนล้อเล่น ดังนั้นจึงส่งเสียงอืมพร้อมเพรียงกัน ถามขึ้นมาว่า “เขียนอะไรบนจดหมายเลือด”
หลินหว่านหรงย่ำเท้าเบาๆ หลายก้าว จากนั้นก็หันกลับมาทันที มองไปทางอวี้เจียทางนั้นคราหนึ่ง สาวน้อยทูเจวี๋ยกำลังนั่งอยู่บนรถครุ่นคิด คล้ายว่านางสัมผัสได้ถึงสายตาของหลินหว่านหรง ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาเบาๆ ยิ้มงามยวนเย้าให้เขาคราหนึ่ง หมู่มวลบุปผาพลันอับเฉา!
หลินหว่านหรงรีบก้มหน้าลง หัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง “ให้บอกว่า ผู้กล้าจากดินแดนฮาเอ๋อรบดุเดือดกับชาวต้าหัวหนึ่งคืน แม้ทั้งกองทัพจะหมดสิ้น แต่ชาวต้าหัวก็สูญเสียอย่างหนัก เหลือไพร่พลแค่สองพันกว่าคน!”
หูปู้กุยกล่าวอย่างตระหนักขึ้นมาได้ในทันที “ท่านแม่ทัพ ท่านต้องการสร้างสถานการณ์ปลอมว่าเฮ่อหลี่เย่เสี่ยงตายทะลวงวงล้อม เสี่ยงตายมาส่งสาร ล่อชนเผ่านอกด่านจากสองดินแดนนี้ออกมา? ไม่เลว เฮ่อหลี่เย่ห้าวหาญชาญชัย บนทุ่งหญ้าหาใช่ชนชั้นไร้นาม ให้มันหนีออกไปส่งสารถือว่าสมด้วยเหตุและผล บวกกับบาดแผลเต็มร่าง เหมือนผ่านการหลบหนีการรบพุ่งอย่างรุนแรง ล้มตายอยู่นอกเขตแดน นี่ก็ยิ่งเหมือนจริงเข้าไปอีก! แผนการนี้ใช้งานได้ขอรับ!”
“ชนเผ่านอกด่านหาใช่ชนชั้นไร้สามารถเช่นกัน แค่พวกนี้ยังไม่รับประกัน!” หลินหว่านหรงส่ายหน้า “ยังต้องวางยาแรง ให้พวกมันล่องลอยสุขสม อยากหยุดก็ทำไม่ได้ พวกมันถึงบ้าคลั่งโดยสิ้นเชิง!”
“ยาแรงอันใดหรือ?!” เกาฉิวกับหูปู้กุยสบตากัน เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน
สายตาของหลินหว่านหรงร้อนแรง จ้องดาบโค้งที่อยู่ในมือหูปู้กุย หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “ดาบทองนี้ก็คือยาแรง! ลองคิดดูสิ เฮ่อหลี่เย่พญาอินทรีแห่งทุ่งหญ้า มือถือดาบทองและจดหมายโลหิต เดินทางรอนแรมมาขอความช่วยเหลือ ฮิฮิ ที่น่าตื่นเต้นก็อยู่ตรงนี้! พี่หู เพิ่มไปที่จดหมายเลือดอีกประโยคหนึ่ง…”
“ประโยคอะไรหรือขอรับ?!”
หลินหว่านหรงหยุดเล็กน้อย เยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่อยู่ทางนั้นเงยหน้าเหล่มองมาราวกับมีจิตสัมผัส ดวงหน้าอันงามยวนเย้ามองเห็นอย่างชัดเจน หลินหว่านหรงส่งเสียงผิวปาก ออกแรงโบกไม้โบกมือให้สาวน้อย กล่าวระคนหัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่แปลกประหลาด “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าหาพี่ชายคนรักให้เจ้าสักหลายคนดีหรือไม่?! เจ้าชอบอ้วนสักหน่อย หรือว่าผอมสักหน่อย?!”
อวี้เจียอึ้ง ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง หลินหว่านหรงก็ก้มหน้าลง หรี่ดวงตาทั้งสองข้างเล็กน้อย กล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ประโยคสุดท้าย จำให้ดีล่ะ…ด้วยคำสั่งของนายแห่งดาบทอง หากผู้ใดช่วยเหลือนางได้ด้วยตนเอง นางยินดีมอบดาบทองให้ ร่วมเสพสุขกับเกียรติยศอันสูงส่งกับเขา ขอสาบานด้วยนามของเทพแห่งทุ่งหญ้า!”