ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 557 - 2 ใครคือพี่สาวนางเซียนของเจ้า
ตอนนั้นยังพูดอยู่เลยว่าข้าเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง ชั่วพริบตากลับแค้นข้าอีกแล้ว สตรีทูเจวี๋ยคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงเก่งเหมือนกันนะ หลินหว่านหรงไม่ใส่ใจเช่นกัน หัวเราะพลางส่ายหน้า “แค้นก็แค้นไปเถิด ไม่ได้มีเนื้อขาดหายไปสักชิ้น ยังเป็นคำพูดโบราณประโยคนั้น ข้าไม่เคยหวังว่าเจ้าจะรักข้า!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยถุยคราหนึ่ง กับคนที่หน้าหนาเช่นนี้นางก็ไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร ทำได้เพียงมองเข็มเงินไม่กี่เล่มที่อยู่บนร่าง เบือนหน้าไป หลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบงัน
หลินหว่านหรงลุกยืนขึ้น กล่าวด้วยความเที่ยงธรรมเต็มใบหน้า “สิ่งที่ต้าหัวเราเน้นก็คือบุรุษสตรีไม่อาจถูกเนื้อต้องตัว เข็มเงินบนตัวเจ้า ข้าที่เป็นบุรุษไม่สะดวกที่จะเอาออก ไปหาคนอื่นจะดีกว่านะ”
เขาพูดพลางเดินออกไปข้างนอก คล้ายจะไปหาผู้ช่วยคนอื่น อวี้เจียรีบเอ่ยปาก เสียงแผ่วเบายิ่งนัก “เจ้า เจ้ารอก่อน…”
หลินหว่านหรงมองนางด้วยความประหลาดใจคราหนึ่ง “คุณหนูอวี้เจีย ยังมีเรื่องอะไรอีก? ข้าร้อนใจจะไปหาคนมาช่วยเจ้าอยู่นะ ช้ากับเจ้าบุรุษสตรีไม่อาจถูกเนื้อต้องตัวกันจริงๆ!”
ในค่ายทหารแห่งนี้มีแต่บุรุษ จะหาสตรีมาถอนเข็มก็เกรงว่าคงต้องหานักแปลงโฉมมาแล้วล่ะ เวลานี้เจ้ากลับยังมาจำเรื่องบุรุษสตรีไม่อาจถูกเนื้อต้องตัว ก่อนหน้านี้ตอนที่บีบบังคับข้า ทำไมไม่เห็นเจ้านึกถึงเรื่องพวกนี้? อวี้เจียหงุดหงิดโมโหจนไม่อาจจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อยากเห็นหน้าสตรีที่ทำร้ายนางอีกต่อไป ดังนั้นจึงทำได้แค่กัดฟันกรอด ใบหน้าฉายแววแน่วแน่ “ไม่ต้อง ข้าไม่ใช่ชาวต้าหัว สตรีแห่งทุ่งหญ้าไม่ได้มีข้อห้ามมากมายขนาดนั้น อัวเหล่ากง ขอให้เจ้าดึงเข็มให้ข้าได้หรือไม่…”
พูดถึงเอาเข็มออก นางก็มองหลินหว่านหรงด้วยท่าทางน่าเวทนาสงสารคราหนึ่ง สองตามีน้ำตารื้น ใบหน้างดงามผุดสีแดงซ่าน เสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ช่างไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะไม่ยั่วยวนเลยนะ หลินหว่านหรงรีบกลืนน้ำลาย พูดด้วยท่าทีเสแสร้ง “นี่ก็ไม่ค่อยดีกระมัง ถ้าเมียข้ารู้จะด่าข้าเอานะ อีกอย่าง ข้าไม่ใช่คนใจง่ายจริงๆ!”
“ชาวต้าหัวคนเสแสร้ง!” อวี้เจียมองเขาด้วยความเดือดดาล เบือนหน้าไปอย่างหมดแรง กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “คำพูดนี้ เจ้าก็ทำได้แค่หลอกลวงตัวเองเท่านั้นล่ะ”
นังหนูนี่กลับรู้จักข้าอย่างลึกซึ้ง หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมาอย่างอับจนปัญญา “เอาเถอะ ในเมื่อแม่นางอวี้เจียเชื้อเชิญด้วยความจริงใจเช่นนี้ ข้าก็จะฝืนลำบากใจลองทำดู เพียงแต่ขอพูดเตือนไว้ก่อน ขั้นตอนการดึงเข็มนี้ซับซ้อนแปรเปลี่ยนสารพัน แถมน้องสาวเช่นเจ้ายังมีรูปร่างขนาดนี้อีก หากพลั้งเผลอไป สองมือข้ากับร่างกายเจ้าเกิดการกระทบแตะต้อง ลูบๆ คลำๆ อะไรต่อมิอะไรโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าจะมาบ่นข้าไม่ได้นะ ข้าไม่ใช่คนมักง่าย…”
อวี้เจียหน้าแดงพลางถลึงตามองเขาหลายครา หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองครา กลืนคำพูดข้างหลังกลับไป
การเอาเข็มเงินออกมา ประสบการณ์ของหลินหว่านหรงมีตั้งมากมายถมเถไป ไม่ว่าจะเป็นจิ้งจอกอันหรือว่าหนิงอวี่ซีต่างก็เคยทิ่มเข็มใส่เขามาแล้ว โดนไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เพียงแต่จะเอาเข็มออกจากหน้าอกอวี้เจีย สำหรับคนจริงจังเช่นเขานี้ยังถือว่ายากยิ่งนัก
อวี้เจียเห็นเขาถูฝ่ามือ เอามือใหญ่มาทำท่าทางตรงหน้าอกนางไม่หยุด ดวงตาก็สาดประกายลามก ทว่ากลับไม่ลงมือ สาวน้อยทูเจวี๋ยหน้าแดงประดุจโลหิต รีบหลับตาลงพร้อมพูดว่า “เจ้าโจร เจ้ายังรออะไรอยู่อีก? รีบเอาเข็มเงินออกจากตัวข้าโดยเร็ว อวี้เจียจะซาบซึ้งใจเจ้าไปตลอดกาล!”
“ข้ากำลังกะขนาดอยู่ อ้อ ไม่ใช่ ข้ากำลังหาตำแหน่งอยู่” ไม่ทันระวังเกือบพลั้งปากออกมาแล้ว เขารีบพูดแก้ ถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาว่า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าอย่าแกว่งได้หรือไม่? ไอ้ที่แกว่งอยู่นี่ข้ามองแล้วตาลาย ถ้าพลาดจับผิดที่ สตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าไม่สนใจชื่อเสียงได้ แต่ชายชาตรีต้าหัวเช่นข้านี้จะต้องถูกคนเหยียดหยามแน่ ข้าไม่อาจเสี่ยงเช่นนี้ได้จริงๆ”
ไอ้แกว่งไม่แกว่งข้าควบคุมได้หรือไง สตรีในแผ่นดินก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น! ต่อให้อวี้เจียสตรีทูเจวี๋ยผู้งดงามยวนเย้าห้าวหาญ แต่เมื่อถูกเขากระเซ้าเช่นนี้ รับรู้ถึงสายตาอันร้อนแรงราวกับจะกินคนได้ของบุรุษต้าหัว นางก็ยังอดทั้งอายทั้งโมโหจนอยากจะตายไม่ได้อยู่ดี กัดฟันกรอด หลับตาไม่พูดไม่จาทันที
พี่สาวนางเซียน นี่เจ้ากำลังทดสอบความแน่วแน่ของข้าอยู่สินะ หลินหว่านหรงทอดถอนใจ เล็งหนึ่งในเข็มเงิน ออกนิ้วราวกับสายลม เข็มเงินเล่มนั้นก็ตกอยู่ในมือโดยไม่ให้รู้ตัว ตลอดการเคลื่อนไหวหมดจดรวบรัด เสร็จภายในชั่วอึดใจเดียว กระทั่งว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เข็มเงินขนาดบางละเอียดส่งความรู้สึกเย็นเฉียบเข้ามา ประดุจมืออันอบอุ่นของนางเซียนหนิงที่พัดผ่านจิตใจหลินหว่านหรง สายตาของเขาไปอยู่ที่เข็มเงินเล่มนั้น นึกถึงรูปร่างหน้าตาหนิงอวี่ซีแล้วเหม่อลอยไปชั่วขณะ
อวี้เจียรอคอยอยู่นาน ถึงกระนั้นกลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติอันใด ลมหายใจกระชั้นถี่ในทีแรกของเจ้าโจรนั่นก็ค่อยๆ สงบลง สายตาอันร้อนแรงที่สาดส่องบนร่างก็ค่อยๆ สลายไปเช่นกัน
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ดึง!” นางลืมตาขึ้นมาโดยฝืนสะกดกลั้นความอาย เมื่อสายตาไปอยู่ที่ร่างตนเอง เสียงก็ชะงักไป เห็นว่าหน้าอกและท้องน้อยของตนราบเรียบ เข็มเงินหลายเล่มนั้นไม่รู้ว่าถูกดึงออกไปเมื่อใด ในมือของโจรกุมเข็มเงินไว้ แววตาชะงักงัน ดูท่าทางกำลังใจลอยอยู่
เมื่อเข็มเงินถูกดึงออกไป ร่างของสาวน้อยทูเจวี๋ยก็มีกำลังวังชากลับคืนมาหลายส่วน มองดูชาวต้าหัวที่กำลังเหม่อลอยผู้นั้น สายตาของนางก็สาดประกายสลับซับซ้อน เจ้าโจรนี่ก็ร้ายแค่ปาก ดูเหมือนต่ำช้าเสเพล ถึงกระนั้นกลับไม่เคยลงมือลงไม้กับตนเองเลย เมื่อครู่โอกาสที่จะเอารัดเอาเปรียบก็ดีมากขนาดนั้น แต่เขาก็ปล่อยไปโดยง่าย อย่างที่ว่ากันว่าคนเราดื่มน้ำ ร้อนเย็นรู้อยู่แก่ใจ หรือว่าเขาจะไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อข้าเลยสักนิด?
สาวน้อยทูเจวี๋ยดวงตาเปล่งประกาย ใจเหมือนมีความรู้สึกอันสับสนปนเป รีบก้มหน้าลงไป ไม่ให้คนเห็นแววตาตัวเอง
“เอาล่ะ ภารกิจเสร็จสิ้น” หลินหว่านหรงปัดมือแล้วยืนขึ้นมา เก็บเข็มเงินเข้าอกอย่างปราสจากพิรุธ หมุนกายแล้วจะเดินออกไป
“เจ้าโจร!” อวี้เจียเรียกคราหนึ่ง จากนั้นก็รีบพูดแก้ว่า “อัวเหล่ากง!”
“เรื่องอะไร?!” อัวเหล่ากงเอ่ยถามด้วยความยินดียิ่ง
อวี้เจียส่งเสียงอืม หลุบตาลงต่ำ ใบหน้าขาวกระจ่างใสดุจแต่งแต้มชาด “จะเอาดาบทองคืนให้ข้าก่อนชั่วคราวได้หรือไม่?!”
หลินหว่านหรงอึ้ง คืนให้เจ้าชั่วคราวอะไรกัน? ข้าให้เหล่าหูเอาดาบทองไปหาราชบุตรเขยให้เจ้าแล้ว เจ้าอดทนรอสักสองวันเถอะ เขาหัวเราะฮ่าๆ สองครา พูดเฉไปว่า “ดาบทองน่ะหรือ ข้าให้พวกพี่น้องเอาไปเถือหนังกระต่ายแล้ว เกรงว่าคงคืนไม่ได้ชั่วคราว แล้วเจ้าจะเอาเจ้านี่ไปทำอะไร?!”
“เจ้า!” อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที อกงามสะท้อนเร็วรี่ ดวงตาคล้ายจะพ่นไฟออกมาได้
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ ขณะกำลังจะสาวเท้าออกไปกลับได้ยินอวี้เจียพูดเสียงเบาออกมาว่า “อัวเหล่ากง ขอบใจเจ้า เจ้า…เจ้าคืนดาบทองให้ข้าก่อนชั่วคราว ข้า…ไม่แน่ว่าข้าจะมอบให้เจ้ากับตัว”
ดวงหน้าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แดงสดใสดั่งแสงสายัณห์ ก้มหน้าลงไปด้วยความเขินอายและขลาดกลัว ดวงตาสาดประกายยวนเย้าบางๆ
หลินหว่านหรงโบกมืออย่างไม่แยแส กล่าวระคนยิ้มบาง “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ารู้สึกว่าข้าจะเชื่อเจ้า หรือว่าข้าควรเชื่อเจ้าหรือไม่?!”
เมื่อเห็นใบหน้าของเขาเผยความดูแคลนออกมา อวี้เจียก็กะพริบตา อกงามหอบหระชั้นถี่ นางสีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล หัวเราะคิกคักพร้อมกล่าวอย่างยวนเย้า “อย่าว่าแต่เจ้าเลย ตัวข้าเองก็ยังไม่เชื่อ อัวเหล่ากง เจ้าช่างเป็นคนฉลาดเสียจริง อวี้เจียชอบเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา ก้าวเท้าออกไป ดวงดาราประดับเต็มท้องนภา ราตรีมืดมน ทว่าในใจเขากลับถวิลหาอย่างบอกไม่ถูก เห็นชัดว่าอยู่ใกล้นางเซียนหนิงแค่เอื้อม ทว่าเงาร่างนางกลับห่างไกลสัมผัสไม่ถึงดังสายลมโชยเอื่อยบนทุ่งหญ้า ความรู้สึกอยู่ใกล้ทว่าไกลดั่งขอบฟ้าเช่นนี้ ทำให้ใจคนยากจะทนรับไหว
“ใคร?!” ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็มีเงาคนขยับวูบข้างกาย หลินหว่านหรงตวาดเสียงดังคราหนึ่ง เงยหน้ามองไป เงาร่างสีขาวอรชรร่างหนึ่งพุ่งทะยานออกไปนอกค่ายอย่างรวดเร็วราวกับดาวตกกรีดผ่านไป
“พี่สาวนางเซียน!” หลินหว่านหรงกะพริบตา ด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น เขาพลันบังเกิดเรี่ยวแรงอันมหาศาลระเบิดไปทั่วร่าง ชักเท้าเดิน ไล่ตามเงาร่างสีขาวนั้นออกไปนอกค่าย
เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นนั้นแม้จะท่าร่างรวดเร็ว แต่หลินหว่านหรงกลับตามติดไม่ลดละได้ ไม่รู้ว่าเดินทางไปกี่ร้อยจั้ง เงาสีขาวนั้นก็ขยับวูบ หายวับไปในทันที
เดือนจรัสฟ้าลอยกลางเวหน หมู่มวลดาราเงียบสงัด ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนเชื่อมประสานกับขอบฟ้า ทำให้คนหลอมรวมอยู่ในนั้นโดยไม่รู้ตัว
“นางเซียนหนิง พี่สาวนางเซียน เจ้าอยู่ไหน? เจ้ารีบออกมาเร็วสิ!” เดินย่ำเท้าช้าบนหญ้าที่ขึ้นบางๆ หยาดน้ำค้างทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่ม ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเลยสักนิด ขยับสาวเท้ายาวๆ เหลียวมองรอบด้าน เขาตะโกนเสียงดังโดยใช้พลังทั่วทั้งสรรพางค์กาย
ทุ่งหญ้าเงียบสงัดราวกับท้องฟ้าอันเงียบเหงาวังเวง มองไม่เห็นเงาคน ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เงาสีขาวนั้นหายวับไปราวกับอากาศธาตุ
หลินหว่านหรงรู้สึกผิดหวัง นั่งกระแทกก้นลงพื้นทันที พูดเสียงดังออกมาว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมพบข้า เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ เจ้าห้ามสนใจข้า…ถ้าเจ้าสนใจข้าเจ้าจะเป็นแม่ของลูกข้า!”
เขาเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ ราวกับเด็กน้อย หน้าด้านหน้าทนไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว ท่าทางน่าขบขันยิ่งนัก
เงียบงัน เงียบงันไร้ที่สิ้นสุด สรรพสิ่งล้วนเงียบสงัด คล้ายจะได้ยินเสียงลมหายใจของทุ่งหญ้าและท้องนภา สายลมยามราตีอันหนาวเหน็บพัดผ่าน ไม่รู้ว่ามีเสียงหมาป่าหอนโหยหวนมาจากที่ใด ทำให้คนสั่นสะท้าน
หลินหว่านหรงนั่งนิ่งอยู่นาน ไม่ได้ยินเสียงใดๆ และยิ่งไม่มีหนิงอวี่ซีซึ่งอยู่ในชุดขาวเหนือล้ำหกว่าหิมะท่องคลื่นมาหาด้วย ทุกสิ่งเงียบสงัดอย่างชัดเจน เงียบสงัดเสียจนได้ยืนเสียงลมหายใจของผืนพิภพ
ลูบไล้เข็มเงินที่อยู่ในมืออย่างแช่มช้า คล้ายสัมผัสได้ถึงแขนอันขาวกระจ่างใส ผิวพรรณอันละเอียดเนียนนุ่มนั้น เหมือนคนงามผู้นั้นมายืนแย้มยิ้มอยู่ตรงหน้า หลินหว่านหรงมองจนเหม่อลอย ยื่นมือออกไปอย่างแช่มช้า ลูบคำร่างที่ไร้ตัวตนนั้น กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “พี่สาวนางเซียน ใช่เจ้าหรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมพบข้า?!”
ระหว่างที่ครุ่นคิดนั้น ข้างหลังก็พลันมีเสียงหญ้าไหวที่แผ่วเบาเสียงหนึ่งดังขึ้น “ใคร?!” หลินหว่านหรงรีบหมุนกายพร้อมตวาดเสียงดัง
พุ่มหญ้ากลับคืนสู่ความเงียบสงัด คล้ายไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้นมาก่อน เพียงแต่รอยคลื่นที่เกิดขึ้นไหนเลยจะลบเลือนไปโดยง่าย หลินหว่านหรงเดินไปทางพุ่มหญ้าเตี้ยนั้นอย่างแช่มช้า เสียงสั่นเครือเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว “พี่สาวนางเซียน เป็นเจ้าหรือ? เจ้าออกมาเร็ว ข้าคิดถึงเจ้า ข้าขอสาบานด้วยความเป็นคนของข้า ข้าจะไม่รังแกเจ้าเด็ดขาด เจ้าก็ออกมาหาข้าเถอะนะ”
เขาเหมือนข่มขู่ เหมือนล่อลวง ฝีเท้าย่ำลงกลางพุ่มหญ้านั้นแล้ว มองเพียงปราดเดียวก็มองกวาดไปทั่วทุ่งหญ้าอันแบราบนั้นจนหมดสิ้น ไหนเลยจะมองเห็นเงาของหนิงอวี่ซีได้
เขาถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ส่ายหน้าอย่างแช่มช้า กำลังจะนั่งลงบนพื้น
“พรืด” เสียงหัวเราะยวนเย้าเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นมา แฝงความรู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง คล้ายออเซาะคล้ายยวนเย้า ประหนึ่งหยาดฝนพร่างพรมผืนแผ่นดิน สายลมยามวสันต์พัดผ่านจิตใจ อากาศพลันโบกโชยกลิ่นอันกระชากขวัญและวิญญาณ
เสียงที่คุ้นเคย เสียงที่ยวนเย้านั้น แฝงเสียงคิกคัก ราวกับความอบอุ่นอ่อนโยนของสายลมวสันต์ที่พัดผ่านผืนแผ่นดิน ดังขึ้นข้างหลังเขาเบาๆ “น้องชาย ใครคือพี่สาวนางเซียนของเจ้าหรือ?!”