ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 558 - 3 สวรรค์ของพวกเรา
หลินหว่านหรงตะลึงงันทันที
เมื่อเห็นท่าทางนิ่งอึ้งของเขา อันปี้หรูก็หัวเราะคิกคักพลางส่ายหน้า จิ้มจมูกเขาเบาๆ คราหนึ่ง กล่าวด้วยความงามยวนเสน่ห์ออกมาว่า “ตาโง่!”
อยู่กับพี่สาวอันมีครั้งไหนบ้างที่ไม่เสียเปรียบ หลินหว่านหรงรุกถอยเสียการควบคุม ก้มหน้าลงละห้อย ถึงกระนั้นกลับทำได้แต่ยอมจำนน ท้องฟ้ายามราตรีเงียบเหงา สองคนนั่งเคียงกัน ซบซึ่งกันและกัน ต่างไม่เปิดปากเอ่ยวาจา ถึงกระนั้นกลับมีความอบอุ่นและความสุขใจที่ไม่อาจจะพรรณนาออกมาได้อบอวลไปทั่วทั้งใจ
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยมาที่ทุ่งหญ้าเลย” อันปี้หรูจ้องมองท้องนภายามราตรีอันเวิ้งว้างล้ำลึกนั้น กล่าวพึมพำออกมาว่า “คิดไม่ถึงว่าทุ่งหญ้ากลับเวิ้งว้างกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ รองรับได้ทุกสิ่ง บางครั้งข้าก็อยากรั้งอยู่ที่นี่จริงๆ”
หลินหว่านหรงตบบ่านาง กล่าวระคนหัวเราะว่า “ไม่ต้องกังวล รอให้รบเสร็จ ชนเผ่านอกด่านยอมจำนน พวกเราไปกลับบ่อยๆ ก็ได้ ทุ่งหญ้านี้ที่จริงแล้วก็เป็นสวรรค์แห่งหนึ่ง”
“เจ้าก็คิดเช่นนี้ด้วย?!” อันปี้หรูเหลือบมองเขาด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย กะพริบตาเร็วรี่ อกงามสะท้อนสับสน ประกบข้างใบหูเขาอย่างยั่วยวน เอ่ยเบาๆ ว่า “น้องชาย ที่นี่ก็คือสวรรค์ของพวกเรา!”
“ใช่แล้วล่ะ สวรรค์ของพวกเรา!” ได้กลิ่นหอมจางๆ ทอดสายตามองนางจิ้งจอกที่งามยวนเย้าดั่งวารีคนนี้ หลินหว่านหรงก็ชาวาบไปทั้งร่างแล้ว
อันปี้หรูยื่นมือออกไปปัดหญ้าที่ติดอยู่บนเส้นผมเขาเบาๆ มองเขาอย่างเงียบงันหลายครั้ง นัยน์ตาสาดประกายอาวรณ์ จู่ๆ ก็ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจคราหนึ่ง “สุดท้ายข้าก็ยังแพ้อยู่ดี!”
“แพ้อะไร?!” หลินหว่านหรงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
อันปี้หรูยิ้มแย้มเล็กน้อย “เจ้าไม่ต้องถาม ถามข้าก็ไม่บอก ในเมื่อข้าปรากฏตัวแล้ว ข้าอันปี้หรูยอมพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้! น้องชาย เจ้ารู้จักเส้นทางไปเผ่าแม้วหรือไม่?!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งลึกลับ ยอมพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้อะไร? แล้วทำไมถึงลากไปเกี่ยวกับเผ่าแม้วได้? หลินหว่านหรงใจผุดเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ “พี่สาวอาจารย์ อยู่ดีๆ เหตุใดถึงเอ่ยถึงเผ่าแม้วขึ้นมาอีก? ไม่รู้ทางก็ไม่เป็นไร ข้าถามได้นี่นา คนงามดั่งเซียนเช่นพี่สาวนี้ เกรงว่าข้ายังไปไม่เข้าเสฉวนก็ได้ยินชื่อของท่านแล้ว”
“ปากเก่ง! เผ่าแม้วเป็นบ้านเกิดของข้า ที่นั่นมีบุรุษจากเก้าดินแดนสิบแปดหมู่บ้านสามสิบหกป้อม ข้าดูตัวไปเก้าสิบเก้าคน แต่ละคนต่างเป็นบุรุษรูปงามแข็งแรงกำยำล่ำสันกันทั้งนั้น” นางจิ้งจอกอันกล่าวพลางหัวเราะฮิๆ “ดังนั้นเจ้าต้องมาให้เร็วหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีส่วนของเจ้าแล้ว”
หลินหว่านหรงได้ยินก็เดือดดาล “พี่สาว เป็นคนก็ต้องมีความจริใจ ข้ามาก่อนนะ! อย่าว่าแต่เก้าสิบเก้าคนเลย ต่อให้เก้าพันเก้าร้อย นั่นก็มาแย่งข้าไม่ได้ ข้าจะยิงมัน!”
“ตาทึ่มผู้ห้าวหาญ เจ้าจำไว้ก็พอแล้ว…ใครใช้ให้ผู้อื่นต้องการแย่งเจ้าไปกันล่ะ! สมน้ำหน้า!” อันปี้หรูหัวเราะไปหัวเราะมาก็เบ้าตาเปียกชื้น ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาอีก
หลินหว่านหรงจ้องมองพี่สาวอันด้วยความสงสัยครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่ฝีมือของนางจิ้งจอกคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา หัวเราะหน้าตาเบิกบาน ไม่เผยความผิดปกติออกมาแม้แต่น้อย
“พี่สาว นับตั้งแต่เคลื่อนทัพใหญ่ท่านก็เริ่มตามข้ามาแล้วหรือ?” หลินหว่านหรงเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
อันปี้หรูหัวเราะ “เจ้าคิดเสียเลิศเลอ ใครตามเจ้า เป็นเซียนเอ๋อร์กังวลว่าระหว่างทางเจ้าจะไปแปดเปื้อนบุปผาหาเรื่องต้นหญ้า ข้าถึงได้รีบมาดูเจ้า คิดไม่ถึงว่ายังจับได้ทีละคน คุณหนูสวีคนนั้นข้าไม่ต้องพูดถึงแล้ว แม้แต่สตรีทูเจวี๋ยเจ้าก็ยังไม่ละเว้นด้วย คำนวณโชคชะตา ดูลายมือ น้องชาย ลูกไม้ของเจ้านี่ช่างมีไม่น้อยเลยนะ ยอดเยี่ยม!”
นางหัวเราะงามยวนเย้า ทว่าภายในดวงตากลับฉายแววหงุดหงิด ด้วยฝีมือของพี่สาวอัน อวี้เจียถือว่าเดินเข้าด่านประตูผีไปแล้วรอบหนึ่ง
“พี่สาวท่านพูดล้อเล่นแล้ว ข้าเป็นคนที่เห็นคนหนึ่งก็รักคนหนึ่งหรือ?!” หลินหว่านหรงพูดพร้อมหัวเราะฮ่าๆ “สถานะของอวี้เจียคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน วันหลังข้าต้องได้ใช้งานนาง ดังนั้นข้าถึงเก็บนางไว้”
“หากมิใช่เช่นนี้ข้าคงฆ่านางไปนานแล้ว จะเก็บไว้ให้นางมาแย่งสามีกับเซียนเอ๋อร์หรือ” นางจิ้งจอกอันแค่นเสียงคราหนึ่ง “สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้ยั่วยวนร้ายกาจนัก เกรงว่าคงไม่ใช่ตัวดีอะไร เจ้าต้องมีจิตใจตั้งมั่น ข้าจะไปสืบที่ดินแดนของชนเผ่านอกด่านสองแห่งข้างหน้ามาแล้ว…”
“อะไรนะ?!” หลินหว่านหรงได้ยินก็ตกตะลึง รีบจับมือนาง “พี่สาวอาจารย์ ท่านอย่าขู่ให้ข้าตกใจ ที่นั่นมันอันตรายมาก ไม่ใช่สถานที่ที่ท่านจะไป!”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไปได้ก็ย่อมกลับมาได้” ถูกเขาจับมือเอาไว้ อันปี้หรูก็หน้าแดงเล็กน้อย ถึงกระนั้นกลับไม่ได้ขัดขืน “สองดินแดนนี้ แค่ชายฉกรรจ์ก็มีถึงสามสี่พันคนแล้ว กระโจมส่วนใหญ่ต่างแขวนภาพเหมือนของอวี้เจีย สตรีนางนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน เจ้าต้องระวังให้ดี”
หลินหว่านหรงจับมือนางแน่น กล่าวพลางลูบไล้อย่างแช่มช้า “พี่สาววางใจเถิด ความร้ายกาจของอวี้เจียคนนี้ข้ารับรู้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ความร้ายกาจของข้านั่นไม่ใช่เรื่องคุยโม้ เชื่อว่าพี่สาวท่านก็เคยรับรู้มาเช่นกัน ข้าต้องให้นางได้เห็นดีแน่”
“เจ้าร้ายกาจขนาดไหนหรือ?!” นางจิ้งจอกอันทอดสายตายวนเย้าให้เขา ป้องปากหัวเราะเบาๆ
หลินหว่านหรงปากคอแห้งผาก พี่สาวอันคนนี้ชอบยั่วเขามากที่สุด แต่กลับทำให้เขามองได้แต่กินไม่ได้ ทำได้เพียงกระวนกระวายเท่านั้น เขาถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา ลูบคลำหนักๆ บนมือน้อยของนางจิ้งจอกอันหลายครั้ง กล่าวด้วยความหดหู่ออกมาว่า “พี่สาว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้ามีน้องชายที่ชื่อหลี่อู่หลิงได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ ให้นังหนูอวี้เจียนั่นรักษาเข้าให้ฟื้น…”
“ข้าไปดูตั้งแต่แรกแล้ว ยังเกือบถูกเจ้าใช้ดาบฟันด้วยนะ” อันปี้หรูถลึงตามองเขาคล้ายตำหนิคล้ายตัดพ้อเขาคราหนึ่ง ครานี้หลินหว่านหรงถึงตระหนักขึ้นมาได้ เงาสีขาวที่เห็นในคือนนั้นที่แท้ก็คือพี่สาวอัน นางเฝ้าอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ มาตลอด
นางจิ้งจอกอันตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ความหนักหนาของอาการบาดเจ็บหลี่อู่หลิง วันข้าเห็นกับตาแล้ว ต่อให้ข้าออกโรงเอง ก็ไม่แน่ว่าจะเหนือกว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ ทักษะการกรีดหน้าอกขับเลือดของนางนั้น หากมิใช่ผู้มีความสามารถล้ำเลิศซึ่งกอปรด้วยความมุ่งมั่นและความกล้าอย่างยิ่งก็ไม่อาจทำได้ ดังนั้นข้าจึงพูดอย่างมั่นใจว่าอวี้เจียคนนี้ไม่ธรรมดา ส่วนเรื่องที่ตอนนี้หลี่อู่หลิงยังสลบไสลอยู่นั้นไม่เกี่ยวกับอวี้เจีย เป็นเพราะเขาบาดเจ็บสาหัสเกินไปจริงๆ ต้องใช้ระยะเวลาถึงจะค่อยๆ ได้สติ เพียงแต่เห็นชัดว่าอวี้เจียผู้นั้นรู้เรื่องนี้อย่างดี นี่เป็นหนึ่งในวิธีการเอาตัวรอดของนางเช่นกัน”
อวี้เจียกลับไม่ได้เล่นตุกติกบนร่างหลี่อู่หลิง?! นี่กลับเป็นเรื่องแปลกเสียจริง เห็นชัดว่าพี่สาวอันมองความสงสัยเขาทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นจึงหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “ไม่แน่ว่าแม่หนูคนนี้จะถูกใจเจ้า จงใจเอาใจเจ้าก็ไม่แน่ น้องชาย ยินดีกับเจ้าด้วย มือเท้ายื่นเข้าไปในทูเจวี๋ยแล้ว”
เป็นผู้หญิงก็ต้องหึง หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แห้ง ๆ สองครั้ง ไม่กล้ารับคำพูดนาง
อันปี้หรูยิ้มอย่างเงียบงัน จ้องมองเขาอยู่นาน ทันใดนั้นก็กวักมืออย่างอ่อนโยน “น้องชาย เจ้ามานี่”
หลินหว่านหรงหมุนกลับไป อันปี้หรูยื่นมือน้อยออกไปอย่างแช่มช้า แฝงอาการสั่นเทาเล็กน้อย ลูบไล้ใบหน้าเขาเบาๆ ความรู้สึกอันอบอุ่นอ่อนโยนนวลเนียน ความชุ่มชื่นเรียบลื่นอ่อนนุ่มนั้นส่งผ่านจากผิวหนังมาถึงจิตใจ หลินหว่านหรงจิตใจล่องลอย ร่างกายชาวาบ ขณะกำลังรู้สึกสุขสบายนั้นกลับรู้สึกข้างหูเย็นวาบขึ้นมาทันที เมื่อเบนหน้ามองก็เห็นว่าในมือของนางจิ้งจอกอันถือดาบน้อยอันคมกริบเล่มหนึ่ง กำลังมองเขาพลางยิ้มแย้ม
หลินหว่านหรงร้องอ๊ะคราหนึ่ง ถามด้วยความตกใจ “พี่สาว เจ้า เจ้าทำอะไรหรือ?”
อันปี้หรูเช็ดดาบเล็กบนใบหน้าเขา กล่าวพลางยิ้มหยัน “ขอถามแทนเซียนเอ๋อร์ วันหลังยังกล้าเกาะแกะกับนางจิ้งจอกทูเจวี๋ยคนนั้นอีกหรือไม่?!”
“ไม่กล้าแล้ว…อ๊า ไม่ ไม่ใช่ ไม่เคยเกาะแกะกันมาก่อนเลย วันหลังก็ยิ่งไม่มี” เขาตอบพบางหลั่งเหงื่อเย็น เขาทั้งชื่นชอบทั้งหวาดกลัวพี่สาวอันคนนี้
“นี่เจ้าพูดมาเองนะ” นางจิ้งจอกอันหัวเราะคิกคัก กล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “หลับตา”
เขาไม่รู้ว่าอันปี้หรูต้องการทำอะไร ดังนั้นจึงทำได้แค่หลับตา สัมผัสถึงคมดาบอันเย็นเฉียบนั้น ผิวหนังชาวาบเป็นระยะ การลูบไล้อันอบอุ่นอ่อนโยนส่งผ่านมาจากใบหน้า จากนั้นก็เย็นเฉียบ ทั้งยังแฝงความรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย เขาแอบเปิดตาออกมาเล็กน้อย เห็นว่าพี่สาวอันมีสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน นำน้ำจากในถุงน้ำมาล้างหน้าตาที่เปรอะเปื้อนของเขาให้สะอาด นิ้วมือไล้ไปตามใบหน้าเขา ดาบน้อยกวัดแกว่งเบาๆ หนวดเคราที่ขึ้นมาราวกับหญ้าป่าของเขาถูกโกนออกไปอย่างแช่มช้า
“พี่สาวอาจารย์…” หลินหว่านหรงซาบซึ้งอย่างยิ่ง กอดเอวคอดกิ่วของนางแน่น
อันปี้หรูยิ้มแย้มเล็กน้อย ตบแก้มเขาเบาๆ สองครา “เด็กดี น้องชาย พี่สาวโกนหนวดให้เจ้า จำเอาไว้ จงเป็นบุรุษที่สะอาดสะอ้าน! เป็นบุรุษที่ข้าชอบ!”
“ข้าสะอาดมากเลยนะ ท่านต้องชอบแน่นอน!” เขาพูดพลางหัวเราะร่า กอดร่างนางแน่น
อันปี้หรูถลึงตามองเขาอย่างขบขัน ยากเย็นนักกว่าจะมีโอกาสให้เขาเอาเปรียบได้คราหนึ่ง ดังนั้นก็ปล่อยตามใจเขาไปเถอะ
โกนหนวดเคราเขาจนเกลี้ยงเกลา จากนั้นก็ตรวจสอบอย่างถ้วนถี่อีกรอบหนึ่ง ไม่เหลือตอเอาไว้ พี่สาวอันถึงผงกศีรษะ มองดูดาบน้อยที่อยู่ในมือ ถอนหายใจเบาๆ พร้อมเอ่ยว่า “เจ้ายังจำคืนที่เจ้าปล่อยเด็กและสตรีชาวทูเจวี๋ยคืนนั้นได้หรือไม่?!”
หลินหว่านหรงอึ้ง อยู่ดีๆ เหตุใดมาพูดถึงเรื่องนี้อีก เขาผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง “จำได้ๆ พี่สาวอัน จู่ๆ ท่านมาถามเรื่องนี้ทำไม”
อันปี้หรูมองคมดาบที่อยู่ในมือ ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ หากคืนนั้นเจ้าชูดาบเข่นฆ่า นับจากนั้นเป็นต้นไป ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีก”
หลินหว่านหรงสันหลังพลันหลั่งเหงื่อเย็นทันที พูดแบบนี้ทำไมกัน หรือว่าพี่สาวอันจะนับถือศาสนาพุทธ? เป็นไปไม่ได้น่า เมื่อก่อนตอนที่นางคลุกคลีอยู่กับพรรคบัวขาว โลหิตที่เปื้อนมือไม่มีทางน้อยไปกว่าข้าแน่ แล้วมาพูดแบบนี้ตอนนี้ทำไมกัน
“ประหลาดใจมากใช่หรือไม่?” อันปี้หรูมองเขาพลางยิ้มงามยวนเย้า “คำพูดนี้ไม่ควรออกมาจากปากพระแม่ศักดิ์สิทธิ์พรรคบัวขาวที่ฆ่าคนจำนวนนับไม่ถ้วน?!”
“เอ่อ พี่สาว จะพูดจะจาก็ต้องมีหลักการกันบ้าง” เดาเจตนานางจิ้งจอกอันไม่ถูก เขาจึงทำได้เพียงหัวเราะฮิฮะสองคราเท่านั้น
พี่สาวอันลูบผมเขาอย่างแช่มช้า เอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “ง่ายมาก ก็เพราะเมื่อก่อนข้าฆ่าคนมามากมาย สองมือแปดเปื้อนคาวโลหิต ตอนนี้คิดจะชำระล้างกลับสายไปแล้ว เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายทุกคืน เจ้าก็จะเข้าใจ รสชาติในการฆ่าคนนั้นยากจะทานทน หากเจ้าชูดาบเข่นฆ่า สองมือแปดเปื้อนคราวโลหิตด้วย แล้วข้าจะไปตามหาอ้อมกอดที่ทำให้ข้าจิตใจสงบสุข พักผ่อนจิตใจได้อย่างไร?”
คำพูดของอันปี้หรูแฝงความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง นางสร้างพรรคบัวขาวขึ้นมากับมือ จากนั้นก็มองดูมันเจริญรุ่งเรืองและล่มสลาย เคยมีความฮึกเหิมกว้างไกล มองชีวิตคนราวผักหญ้า ถึงกระนั้นกลับยังอยู่อย่างอ้างว้างเดียวดาย ประสบการณ์อันมากล้นนั้นไม่มีวันด้อยไปกว่าหลินหว่านหรง เมื่อความรุ่งเรืองล่มสลาย การตระหนักรู้ของนางก็ล้ำค่ามากเป็นพิเศษ
หลินหว่านหรงหัวเราะพลางส่ายหน้า “เมตตาไม่ถืออำนาจกองทัพ ดังนั้นจึงมีคนพูดว่าข้าไม่เหมาะกับการรบ”
พี่สาวอันลูบไล้ใบหน้าของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “เจ้าไม่ใช่ไม่เหมาะกับการรบ แต่ไม่เหมาะกับการฆ่าฟัน! เพราะเจ้าก็เป็นคนธรรมดาที่มีข้อบกพร่อง เป็นคนธรรมดาที่มีเลือดมีเนื้อ หากมีวันหนึ่งเจ้าปราศจากข้อบกพร่องโดยสมบูรณ์ เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่ชอบเจ้าแล้ว”
หลินหว่านหรงซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล อยากจะกอดนางแล้วร่ำไห้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป นางจิ้งจอกอันคนนี้แม้จะแปรเปลี่ยนหลากหลาย ทว่ากลับมองความเป็นคนภายในจิตใจเขาออกอย่างยากจะได้พานพบ
“คำพูดที่ข้าพูดกับเจ้าเมื่อครู่ เจ้าจำได้หรือยัง?” อันปี้หรูถอนหายใจแผ่วเบาเลื่อนลอย “จะต้องระวังอวี้เจีย! ยังมีเผ่าแม้วของข้าอีก เจ้าห้ามลืม”
หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะส่งเสียงอืมหลายครั้ง นางจิ้งจอกอันพลันคลี่ยิ้ม กล่าวยวนเย้าออกมา “น้องชาย เจ้ามานี่ ให้ข้าเอาเปรียบเจ้า…ข้าจะกอดเจ้า!”
ใจของหลินหว่านหรงเต้นรัวดังตึกตักๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีร่างอันงดงามนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูก แฝงกลิ่นหอมจางๆ ค่อยๆ ซบเข้าสู่อ้อมอกเขา
ร่างอันยวนเสน่ห์ของอันปี้หรูสั่นระริกเล็กน้อย ซุกอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างเงียบงัน สองมือกอดเอวเขาแน่น คล้ายต้นไม้สองต้นที่งอกจากรากเดียวกัน
ที่อยู่ในอ้อมอกก็คือนางจิ้งจอกอัน นางจิ้งจอกอันที่ใครก็ไม่อาจรังแกได้!
หลินหว่านหรงประหม่าราวกับมีความรักครั้งแรก มือเท้าไม่รู้จะวางไว้ที่ใด ยากเย็นนักกว่าจะรวบรวมความกล้ากอดเอวคอดกิ่วของนาง ขณะที่กำลังจะออกแรงเพิ่มกลับรู้สึกว่าหน้าอกเปียกชื้น น้ำตาของพี่สาวอันราวกับทำนบที่พังทลาย ถั่งท้นไหลหลั่งไม่อาจเก็บกลับคืน
“ฮิๆ ไม่ได้ร้องไห้มานานมากแล้ว” พี่สาวอันเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาด้วยความกระดากใจ เงยหน้าขึ้นมาแล้วคลี่ยิ้มพราวเสน่ห์ให้เขา “ข้าน่าเกลียดมากใช่หรือไม่?!”
ท่าทางร่ำไห้น้ำตาคลอของนางประหนึ่งดอกโบตั๋นต้องหยาดน้ำค้าง งามเจิดจ้ายากจะมีสิ่งใดเทียม หลินหว่านหรง ผงกศีรษะอย่างเหม่อลอย “พี่สาวอัน ท่านคือสตรีที่งดงามมากที่สุดบนโลกนี้ ไม่มีใครเทียบท่านได้”
“บอกว่าเจ้าไม่ได้หลอกให้ข้าดีใจ ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด” อันปี้หรูหัวเราะพรวด บิดขี้เกียจด้วยท่าทางเกียจคร้าน ราวดอกโบตั๋นผลิบานกลางนภา งามเฉิดฉันไร้เทียมเทียบ “ที่แท้อ้อมกอดของบุรุษก็อบอุ่นขนาดนี้นี่เอง”
นางหัวเราะคิกคักเบาๆ ออกแรงกอดหลินหว่านหรง ศีรษะประชิดข้างใบหูเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างล้นเหลือ “คำพูดที่กล่าวไปแล้วต้องรักษา ที่นี่คือสวรรค์ของพวกเรา จะต้องกลับมานะ”