ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 559 ฉีกเสื้อผ้านาง
หายใจแผ่วเบาอ่อนนุ่มส่งผ่านมาที่ใบหู หลินหว่านหรงรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเจ้าทึ่มไปบ้างแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สาวอันผู้ยวนเย้าแปรเปลี่ยนหลากหลายคนนี้ ฝีมือทั้งหมดของเขาล้วนมิอาจใช้งานออกมาได้ อันปี้หรูคล้ายยึดเส้นลมปราณเขาเอาไว้ การกระทำโดยไม่ตั้งใจทุกอย่างนั้น ทุกรอยยิ้มนั้น ต่างทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด กระชากขวัญและวิญญาณ กลับควบคุมเขาไว้เป็นแม่นมั่น
จากกันมานาน บัดนี้พี่สาวอันมาอยู่ตรงหน้าตนทั้งคน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วเจรจายวนเย้าของนาง มองรอยยิ้มงามเฉิดฉันของนาง หลินหว่านหรงก็รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ส่งเดินทางรอนแรมไกล เฝ้าเคียงข้างอย่างเงียบงัน น้ำใจนี้ซาบซึ้งทั้งผืนฟ้าปฐพี ทำให้เขายากจะตบแทนไปทั้งชีวิต
ราตรีประดุจวารี สายลมเอื่อยโบกโชยใบหน้า แสงดาราทั่วทั้งท้องนภาส่องประกายอย่างสงบนิ่ง ทุ่งหญ้าใต้แสงจันทร์เหมือนปกคลุมด้วยผ้าโปร่งบางอันพร่ามัว สองคนนั่งอยู่กับพื้น อิงแอบแนบชิดกัน หยาดน้ำค้างทำให้เสื้อผ้าอาภรณ์และใบหน้าของพวกเขาเปียกชื้น ถึงกระนั้นทั้งสองกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ระหว่างท้องฟ้าและผืนแผ่นดินเหมือนเหลือแค่เสียงเต้นของหัวใจและลมหายใจของกันและกันเท่านั้น
แพขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อย พี่สาวอันถอนหายใจอย่างเงียบงัน ลุกยืนขึ้นอย่างแช่มช้า หลินหว่านหรงตกใจจนต้องตะเกียกตะกายขึ้นมา รีบจับมือนางแล้วพูดว่า “พี่สาวอาจารย์ ท่านทำอะไร? ตีให้ตายข้าก็ไม่ปล่อยให้ท่านไปนะ”
เสียงหัวเราะพรวดออกมาคราหนึ่ง อันปี้หรูหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาทันที “ใครบอกว่าข้าจะไป?!”
หลินหว่านหรงจับมือนางไว้ มองประเมินนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พูดอย่างระแวดระวังว่า “ไม่ได้จะไป?! เช่นนั้นท่าน…”
“ผีเลอะเลือน” อันปี้หรูเหลือบมองอย่างยวนเย้าหลายครา นิ้วมือเรียวยาวจิ้มหน้าผากเขา พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมา “มีฐานะเป็นผู้ปกครองกองทัพ ออกมาจากค่ายเพียงลำพังไม่ว่า ยังจะมาคิดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน ไม่ยอมกลับไปอีก นายทหารใต้บังคับบัญชาเจ้าตอนนี้เกรงว่าคงกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ หากข้าเป็นจอมทัพหลี่ไท่จะลงโทษโบยเจ้าหนึ่งพันไม้ ให้ก้นเจ้าแตกลาย!”
หลินหว่านหรงพูดหน้าชื่นตาบาน “ขอเพียงพี่สาวอาจารย์ไม่ไป อย่าว่าแต่หนึ่งพันเลย ต่อให้หนึ่งหมื่นไม้นั่นจะถือเป็นอะไรได้ ข้ายอม”
“เจ้าก็เอาแต่พูดหลอกให้คนดีใจ” อันปี้หรูหัวเราะคิกคัก ค้อนเขาด้วยท่าทางพราวเสน่ห์ จากนั้นจึงก้มหน้าอย่างแช่มช้าพร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “วางใจเถอะ ต่อให้เจ้าเอาดาบมาไล่ข้า วันนี้ข้าก็ไม่ไป ใครใช้ให้เจ้าติดค้างข้ามากมายขนาดนั้น”
“ใช่ๆ” หลินหว่านหรงเอ่ยด้วยความยินดีอย่างยิ่ง “สิ่งที่ข้าติดค้างพี่สาวอาจารย์ ทั้งชาติก็ใช้ให้ไม่หมด ข้าต้องการคืนสิบชาติ ร้อยชาติ”
“เจ้าเอาคำพูดพวกนี้ของเจ้าไปเอาใจเซียนเอ๋อร์ยังพอทำเนา เอามาพูดกับข้ากลับไร้ประโยชน์” เสียงนางหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา “ข้าไม่ให้โอกาสเจ้ามากมายขนาดนั้นเช่นกัน พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปแล้ว ฮิๆ…”
นางพูดยังไม่ทันจบหลินหว่านหรงก็กอดนางแล้ว กล่าวเสียงดังด้วยความตกใจ “ท่านอย่าขู่ข้าให้ตกใจเลยนะ พี่สาว น้องชายขวัญอ่อน ทนรับการทรมานหลายรอบจากท่านไม่ไหว”
“ขวัญเจ้ากลับอ่อนมากจริงๆ…รู้จักแต่เอารัดเอาเปรียบข้า” นางจิ้งจอกอันหัวเราะคิกคัก มุดเข้าไปในอ้อมอกเขาอย่างเงียบงัน “น้องชาย ข้าก็เหมือนกับเจ้า ต่างเป็นคนซื่อที่พูดโกหกไม่เป็น เจ้าไม่รู้หรือ”
คนซื่อ? หลินหว่านหรงกะพริบตา ถ้าข้ากับพี่สาวอันต่างถือว่าเป็น “คนซื่อ” ได้แล้วล่ะก็ อย่างนั้นแผ่นดินนี้ก็ไม่มีโจรอันธพาลแล้วล่ะ นี่พี่สาวจิ้งจอกกำลังทำให้ข้าสบายใจล่ะสิ
เมื่อเห็นเขามีสีหน้าเหม่อลอย ทว่าดวงตากลับกลอกวนไม่หยุด อันปี้หรูหัวเราะเบาๆ ทันที ถูใบหน้าที่โกนหนวดเคราจนเกลี้ยงเกลาของเขาหลายครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องชาย ข้าชอบท่าทางบื้อๆ ของเจ้า คิกคิก!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน ดูไปดูมาเขารู้สึกว่าฝีมือของพี่สาวอันนั่นใช้เพื่อควบคุมเขาโดยเฉพาะ การกระทำทุกอย่างของเขาคล้ายอยู่ในกำมืออันปี้หรูจนหมดสิ้น คนเราเกิดมาบนโลก มีนางจิ้งจอกที่มาทำลายตนเองโดยเฉพาะอย่างพี่สาวอาจารย์ ไม่รู้ว่าจะเป็นความทุกข์หรือว่าความสุขดี
เวลาก็สายมากแล้ว ออกจากค่ายมานานเกินไป หลินหว่านหรงรู้สึกกังวลอยู่บ้างเช่นกัน ในค่ายไม่อาจพาสตรีเข้าไปได้ ทว่าสิ่งนี้กลับไม่อาจสร้างความลำบากให้อันปี้หรู นางหยิบชุดบุรุษออกมาจากห่อสัมภาระที่นางพกติดตัวมาชุดหนึ่ง จากนั้นก็เกล้าผมอันงดงามประดุจเมฆานั้นขึ้นไป แต่งกายอย่างคล่องแคล่ว เมื่อแต่งหน้าเรียบร้อยก็กลายเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามล้ำเลิศผู้หนึ่ง
“ท่านแม่ทัพ คืนนี้ข้าจะนอนในกระโจมท่าน ท่านยินดีที่จะรับข้าน้อยไว้หรือไม่ขอรับ?!” เมื่อแต่งกายเสร็จ นางมองหลินหว่านหรงพลางยิ้มแย้ม งามยวนเย้าพราวเสน่ห์เหนือธรรมดา
“ท่านย่ามัน เหตุใดพี่สาวอันไม่ว่าจะแต่งกายเป็นบุรุษหรือสตรีต่างน่าดูชมถึงเพียงนี้นะ?! หลินหว่านหรงกลืนน้ำลาย กล่าวพลางผงกศีรษะกลืนน้ำลายอย่างแรง “ยินดีๆ น้องชาย เจ้ารอข้านะ พี่ชายจะไปปูเตียงให้เจ้า”
อันปี้หรูมองค้อนเขาด้วยความรู้สึกขบขัน แม้ร่างจะแต่งกายเป็นบุรุษ แต่สีหน้าท่าทางที่แปรเปลี่ยนสารพันนั้นกลับทำให้เขาลุ่มหลงภายในชั่วพริบตา
เมื่อเข้ามาในค่าย นายทหารทุกคนล้วนเห็นภาพเหตุการณ์อันน่าแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง แม่ทัพหลินซึ่งโกนหนวดโกนเคราเรี่ยมเร้เรไร ใบหน้าล้างจนสะอาดหมดจดจูงมือบุรุษรูปงามยวนเย้าผู้หนึ่งโดยไม่ยอมวางมือ เดินส่ายอาดๆ ผ่านทุกคนอย่างหน้าชื่นตาบาน โบกไม้โบกมือให้ทุกคนด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง เหมือนรบชนะมาอย่างนั้น กลับเป็นบุรุษรูปงามยวนเย้าผู้นั้นที่กลับท่าทางผ่าเผย ยามยิ้มแย้มไอเสน่ห์ยวนเย้าบีบคั้นผู้คน ทุกคนเห็นแล้วก็หนาวสั่น รีบเบือนหน้าไป
จูงมืออันปี้หรูเนเข้ามาในกระโจม สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ยังไม่ทันได้เปล่งวาจาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องเร่งเร้าดังขึ้นมาจากข้างใน “อ๊ะ…เจ้า เจ้าเป็นใคร เข้ามาในกระโจมของอัวเหล่ากงทำไมกัน?!”
หลินหว่านหรงเงยหน้ามอง เห็นอวี้เจียเบิกตาโพลง มองตนเองอย่างตกตะลึงพรึงเพริดและงงงวย ราวกับไม่รู้จักกันภายในชั่วพริบตา
“ทำไม? เห็นคนหล่อแล้วก็ไม่รู้จักหรือ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ลูบคลำใบหน้าที่โกนจนเรียบเนียน กล่าวด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง “คุณหนูอวี้เจีย มองข้าให้ถ้วนถี่ ข้าเป็นใคร?! ฮิๆ!”
อันปี้หรูช่วยเขาโกนหนวดเครา มัดผมที่ยุ่งเหยิง ล้างหน้าให้สะอาด ปราศจากท่าทางสกปรกมอมแมมนับตั้งแต่ล่วงเข้าสู่ทุ่งหญ้านั้นอีกต่อไป ทั้งใบหน้าถือว่าเปลี่ยนใหม่จนหมดสิ้น ราตรีมืดครึ้ม คราแรกที่เข้ากระโจมมาด้วยความตกใจ เยวียหยาเอ๋อร์กลับจำเขาไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงเขา จากนั้นก็มองใบหน้าเขาอย่าละเอียด ครานี้อวี้เจียถึงเอ่ยปากอย่างระแวดระวัง “จะ…เจ้าคืออัวเหล่ากง?!”
“ไอ้หยา!” ความเจ็บปวดระบมส่งผ่านมาจากก้น ทำให้หลินหว่านหรงเจ็บจนกระเด้งขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างยากจะทานทนของเขา อวี้เจียเอ่ยถามด้วยความตกใจทันที “อัวเหล่ากง เจ้าเป็นอะไร?!”
ไม่ต้องดูก็รู้ บนก้นอย่างน้อยต้องมีเข็มเงินเย็นเฉียบปักอยู่สิบเล่ม หลินหว่านหรงสูดลมหายใจหนาวเหน็บ ฝีมือของพี่สาวอันคนนี้ง่ายดายรุนแรง ใช้ได้ผลกับข้ายิ่งนักจริง ๆ เขาหัวเราะฮ่าๆ แห้ง ๆ สองครา “เอ่อ แม่นางอวี้เจีย วันหลังเจ้าก็เรียกชื่อข้าตรงๆ เถอะนะ ข้าชื่อหลินซาน เจ้าน่าจะเคยได้ยิน ไม่อย่างนั้นเรียกข้าว่าแม่ทัพหลิน ใต้เท้าหลินก็ได้ จะเรียกว่าโจรข้าก็ยอมรับ ส่วนชื่ออื่นนั้นยังไม่ต้องเรียกชั่วคราวก็แล้วกันนะ ฮ่าๆ”
เยวียหยาเอ๋อร์มองเขาด้วยความฉงน “อัวเหล่ากง เหตุใดถึงเรียกไม่ได้?! ข้ารู้สึกว่าชื่อภาษาทูเจวี๋ยของเจ้ามีเอกลักษณ์เฉพาะมากกว่า ทำให้คนจำได้ทันที! ส่วนหลินซานอะไรนั่น ข้าไม่อยากเรียกเหมือนกัน!”
“น้องชาย ชื่อภาษาทูเจวี๋ยของเจ้านี่มันช่างเพราะเสียจริงนะ ใครตั้งให้เจ้าหรือ?!” นางจิ้งจอกอันประชิดข้างใบหูเขา กัดฟันงามดังกรอดๆ ฟังแล้วงามยวนเย้า เข็มเงินที่ปักอยู่บนก้นนั้นกลับเย็นเยียบเสียดแทงกระดูก
หลินหว่านหรงลอบร้องโอดโอย เมื่อครู่มัวแต่มีความสุขกับพี่สาวอัน กลับลืมเรื่องชื่อภาษาทูเจวี๋ยนี้ไปเสียได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่กับเซียนเอ๋อร์ วันๆ ก็เรียกขานว่าเหล่ากง พี่สาวอันฟังอยู่ด้านข้างแล้วจะไม่เข้าใจความหมายแฝงของสองคำนี้ได้อย่างไรกัน
แม่เอ๊ย! ต้องถูกนังหนูอวี้เจียคนนี้ทำร้ายจนตายแน่ เขากลอกตาแล้วรีบพูดว่า “ชื่อภาษาทูเจวี๋ยน่ะหรือ น่าจะเป็นพวกเหล่าหู เหล่าเกาตั้งให้ข้ากระมัง เฮ้อ ความรู้ของเจ้าสองคนนี้ดาดๆ ตั้งชื่อออกมาช่างไม่ได้เรื่องเลย! พี่สาวอาจารย์ ท่านก็รู้นี่ว่าพวกเราเข้าสู่ทุ่งหญ้า หากปราศจากชื่อดีๆ สักชื่อหนึ่งก็ไม่อาจสะกดชนเผ่านอกด่านพวกนี้ได้ อันที่จริงชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้าไม่ได้อ่านเช่นนี้ ท่านต้องอ่านกลับหลัง…”
เขากับพี่สาวอันพูดซุบซิบกันอยู่ข้างหู พูดความหมายของชื่อนี้ไปรอบหนึ่ง
“จริงหรือ เจ้ากลับเป็นคนซื่อขนาดนี้จริงหรือ?!” อันปี้หรูหัวเราะร่วน เข็มเงินในมือแทงลงไปที่ก้นเขาหนักๆ คราหนึ่ง
“จริงสิๆ” หลินหว่านหรงเหงื่อแตกเต็มใบหน้า รีบร้องออกมา สองคนอยู่ใกล้มากเมื่อเห็นใบหูน้อยอันนุ่มนิ่มขาวกระจ่างใสของพี่สาวอัน ไม่รู้ว่าบังเกิดความคิดสัปดนมาจากที่ใด ไม่สนใจความปวดชาบนก้น อดจะเป่าลมหายใจเซียนใส่ใบหูนางเบาๆ ไม่ได้
ลมร้อนปะทะเข้ามา อันปี้หรูสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ใบหูร้อนลวก ใบหน้าแดงเล็กน้อย มองดูใบหน้าดำและผอมซูบของหลินหว่านหรง คิดขึ้นมาได้ว่าเข้าเข้าสู่ทุ่งหญ้าหนทางตายเก้ารอดหนึ่ง ไม่รู้ว่าได้รับความลำบากมามากเท่าใด เข็มเงินที่อยู่ในมือจึงไปทิ่มแทงลงไปอีก
“กลับไปจะให้เซียนเอ๋อร์จัดการเจ้า!” มองค้อนเขาอย่างยวนเย้าคราหนึ่ง พี่สาวอันก้มหน้า หางตาชิ้นเล็กน้อย
“พี่สาวอาจารย์ ข้ากับนางบริสุทธิ์จริงๆ นะ” หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ปวดใจนัก กุมมือน้อยของนางแล้วพูดว่า “ตลอดเส้นทางนี้ท่านติดตามข้ามาก็น่าจะมองเห็น ที่จริงแล้วข้าเป็นคนที่มีหลักการมากคนหนึ่ง”
นางจิ้งจอกอันเงยหน้าขึ้นมา มองเขาด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มหลายครั้ง “แม้แต่เหล่ากงก็เรียกแล้ว นี่ยังจะเรียกว่าบริสุทธิ์อีก?! หากนับเช่นนี้ ข้ากับเจ้าก็เป็นผู้ที่ใสซื่อบริสุทธิ์บนโลกนี้แล้ว…เหตุใดเจ้าต้องทำเรื่องใสซื่อบริสุทธิ์กับข้าเช่นนี้ด้วยล่ะ?!”
“นั่นน่ะสิ?!” หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี “เหตุใดข้าถึงต้องทำเรื่องใสซื่อบริสุทธิ์กับท่านด้วยนะ?! นั่นไม่ใช่สันดานของข้าเลย! พี่สาวอาจารย์ ประโยคเดียวของท่านปลุกข้าผู้อยู่ในห้วงความฝัน ข้าอยากกอดๆ หอมๆ นอนๆ กับท่าน!”
เขาอ้าแขนแล้วโผเข้าหาอันปี้หรู ร่างงามของนางจิ้งจอกอันขยับบิด หัวเราะแล้วหลบไป สองคนหัวร่อต่อกระซิกกันในกระโจมครู่หนึ่งกลับทำให้อวี้เจียผู้นั้นมองดูจนตาโตอ้าปากค้าง “อัวเหล่ากง เขา เขาเป็นใคร?!”
“เขาเป็นใคร?!” ฉวยโอกาสช่วงที่อันปี้หรูไม่ระวัง หลินหว่านหรงโอบนางแน่น หัวเราะฮิฮะพร้อมตอบว่า “พูดออกไปก็ไม่กลัวทำให้เจ้าตกใจตาย เขาเป็นที่รักอันดับหนึ่งไม่มีสอง ผู้งามพิลาสในแผ่นดินมากที่สุดบนโลกนี้ เป็นเมี…”
นิ้วงามเรียวยาวสองนิ้วกดริมฝีปากเขา อันปี้หรูส่ายหน้าเล็กน้อย พูดเบาๆ ออกมาว่า “อย่าพูดจาพร่ำเพรื่อ ทุกประโยคที่เจ้าพูดออกมาจะต้องมีคนคิดว่าจริง”
หลินหว่านหรงกล่าวด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “พี่สาว ข้าจะพูดจาพร่ำเพรื่อได้อย่างไร?! ข้าไม่เคยมีสติมากเท่านี้มาก่อน ทุกถ้อยคำ ทุกประโยค ล้วนจริงแท้แน่นอน ข้าต้องการสู่…”
“นั่นก็ห้ามพูดเช่นกัน” ดวงหน้าของนางจิ้งจอกอันแดงก่ำ แค่นเสียงต่ำพร้อมเอ่ยว่า “…หากจะพูด ก็ต้องไปถึงเผ่าแม้วก่อน! พวกเขาเชื่อแล้วข้าถึงจะเชื่อ!”
“ก็แค่เผ่าแม้วเองนี่นา” หลินหว่านหรงหัวเราะด้วยความเชื่อมั่นเต็มอก “เหนือใต้ออกตกข้าก็ตะลุยไปมาหมดแล้ว ยังจะกลัวเก้าดินแดนสิบแปดหมู่บ้านสามสิบหกป้อมอีกหรือ?!”
อันปี้หรูส่งสายตายวนเย้า หัวเราะพลางตบใบหน้าเขา “น้องชาย แค่พูดแต่ไม่ทำมันก็เป็นแค่การเล่นปา**่ปลอมๆ รอให้เจ้าไปถึงเผ่าแม้วของข้าแล้ว เจ้าจะต้องโดนดีแน่นอน ถึงเวลาอย่าร้องไห้ออกมาก็แล้วกัน”
มองดูผู้ชายสองคนนี้ตระกองกอดกันพูดจาอี๋อ๋อกัน เจ้าโจรยิ้มจนน้ำลายไหลออกมา เยวียหยาเอ๋อร์หน้าซีดเผือด “พวก…พวกเจ้า อัวเหล่ากง ที่แท้เจ้าก็มีความชอบเช่นนี้…”
“ความชอบแบบไหน?” อันปี้หรูยิ้มยวนเย้าพลางเดินเข้าไปหา จ้องมองอวี้เจีย ดวงตากระจ่างวูบรุนแรง
อวี้เจียนิ่งงัน รีบก้มหน้าหลบหลีกสายตานาง “เจ้า เจ้ามีเวทมนตร์?! ห้ามมองข้านะ!”
“แม่นางน้อย เจ้าช่างไม่ธรรมดานะ!” อันปี้หรูดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ ตบคอนางเบาๆ สองครา มุมปากผุดรอยยิ้มบาง
อวี้เจียแค่นสียงคราหนึ่ง รีบเงยหน้าขึ้นมา “เจ้า เจ้าจะทำอะไรกับข้า”
อันปี้หรูหัวเราะคิกคัก “เจ้าเป็นหมอเทวดาที่มีฝีมือทางการแพทย์ล้ำเลิศ ข้าจะทำอะไรเจ้าได้?!”
สองคนขยับเข้ามาใกล้ อวี้เจียจ้องดวงตาพี่สาวอันอยู่นาน ทันใดนั้นก็หัวเราะดูแคลนออกมาเบาๆ “ที่แท้เจ้าก็เป็นสตรี!”
สายตาของอวี้เจียคนนี้กลับไม่เลวนะ มืดขนาดนี้แล้วยังแยกแยะบุรุษสตรีออกอีก หลินหว่านหรงถามด้วยความสนเท่ห์ “เจ้าดูออกได้อย่างไร?!”
อวี้เจียกล่าวพลางยิ้มหยัน “ดวงตามีน้ำตามีรอยยิ้ม หางตาคล้ายยินดีคล้ายกังวล ถึงกระนั้นมักสะท้อนเงาของคนผู้หนึ่งออกมา มีเพียงสตรีที่บังเกิดความรักเท่านั้นถึงจะเป็นเช่นนี้ เจ้าลองถามนางดูสิ ว่าใช่เช่นนี้หรือไม่?!”
หลินหว่านหรงอึ้ง มองพี่สาวอันน้อยๆ คราหนึ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
อันปี้หรูหน้าแดงเล็กน้อย ส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “คารมคมคายนักนะ คำพูดของเจ้านี้ก็หลอกได้แต่เขาเท่านั้นล่ะ แต่ว่านะ น้องสาว เจ้ากลับเป็นคนฉลาดมากจริงๆ การต่อกรกับบุรุษก็ถือว่ามีฝีมือมาก แต่ว่านะ บางครั้งก็ฉลาดเกินไป คิกๆ”
หลินหว่านหรงฟังแล้วก็หลั่งเหงื่อโชก ต่อกรกับบุรุษก็ถือว่ามีฝีมือมากอะไรกัน นี่ไม่ใช่ว่ากำลังว่าข้าชัดๆ หรอกหรือ?!
“ฉลาดเกินไปอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร!” อวี้เจียเบือนหน้าหนีไป กล่าวอย่างดึงดัน
“น้องชาย เจ้ามานี่!” พี่สาวอันยิ้มยวนเย้ามองหลินหว่านหรงคราหนึ่ง กวักมือให้เขาเบาๆ
หลินหว่านหรงมองจนตาลาย พุ่งขวับมาที่ข้างกายนาง “พี่สาวอาจารย์ ท่านเรียกข้าทำไมหรือ?!”
“ให้เจ้าทำเรื่องที่เจ้าชอบมากที่สุด” อันปี้หรูหัวราะคิกคัก จิ้มหน้าผากเขาคราหนึ่ง สีหน้ายั่วยวนอย่างหาใดเทียม “เห็นน้องสาวผู้นี้หรือไม่…ไปฉีกเสื้อผ้านาง!”