ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 560 รอยสักของอวี้เจีย
“ท่านว่าอะไรนะ?!” หลินหว่านหรงกะพริบตา ให้ข้าไปฉีกเสื้อผ้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ฟังผิดไปหรอกนะ เขากระบิดกระบวนอยู่ครึ่งค่อนวัน กล่าวด้วยความเหนียมอายออกมาว่า “พี่สาว เอ่อ ไม่ค่อยดีกระมัง แม้การเชี่ยวชาญเรื่องถอดเสื้อผู้อื่นจะเป็นจุดเด่นของข้า แต่ข้าไม่ใช่คนใจง่ายแน่นอน! เรื่องนี้ทำให้ข้าลำบากใจเหลือเกิน”
“น้องชายช่างมีคุณธรรมสูงส่ง” อันปี้หรูหัวเราะคิกคักเบาๆ ดวงตาส่องประกายเล็กน้อย มองค้อนเขาคล้ายตำหนิคล้ายยวนเย้า “เช่นนั้นวันนี้เจ้าจะมีข้อยกเว้นให้ข้า ใจง่ายสักครั้งได้หรือไม่?! พี่สาวอยากเห็นท่าทางง่ายๆ ของเจ้าจริงๆ นะ”
มองดูริมฝีปากสีชาดสดใสที่เกือบจะหยาดหยดเป็นน้ำได้ สายตาอันงดงามยวนเย้าดั่งวารีของนาง พี่สาวอันที่เป็นนางจิ้งจอกนี้เฉกเช่นคบเพลิงบนทุ่งหญ้า จุดความพลุ่งพล่านไปทั่วร่างเขา หลินหว่านหรงจับมืออันปี้หรู แอบถูไถกลางฝ่ามืออันนุ่มนิ่มของนางหลายครั้ง กล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความเที่ยงธรรม “พี่สาวอาจารย์ อย่าว่าแต่ฉีกเสื้อผ้าผู้อื่นเลย ต่อให้ขึ้นภูเขาดาบ ลงกระทะน้ำมัน น้องชายก็จะไม่ยอมถอย แม่นางอวี้เจีย ขอโทษแล้ว!”
เขาหัวเราะฮิฮะ ย่างก้าวไปทางเยวี่ยหยาเอ๋อร์ด้วยท่าทางองอาจห้าวหาญ อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ สองมือกอดอกด้วยความประหวั่นลนลาน กล่าวด้วยโทสะออกมาว่า “จะ…เจ้ากล้า!”
หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “ข้ามีอะไรไม่กล้า มีพี่สาวอาจารย์หนุนหลังข้าอยู่! แม่นางอวี้เจีย เจ้าอดทนกไปก่อนสักครู่นะ ข้ามีประสบการณ์ในการฉีกเสื้อผ้ามาก รับรองว่าสำเร็จในครั้งเดียว”
ปากเขาพูดกระเซ้า มือใหญ่ก็คลำไปถึงชุดของอวี้เจียแล้ว เขาดึงปกเสื้อนางเบาๆ เยวี่ยหยาเอ๋อร์รู้สึกร้อนใจและโมโหระคนกัน เบ้าตาพลันเต็มไปด้วยน้ำตา ลำคอเรียวยาวของนางเชิดสูง ดั่งหงส์ฟ้าผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีไม่ยอมจำนนอันงดงามตัวหนึ่ง ตื่นตระหนกหวาดกลัว เคียดแค้น รวดร้าว สิ้นหวัง สายตาที่เอื้อนเอ่ยวาจาได้ของสาวน้อยทูเจวี๋ยจ้องมองเขาอย่างดุดัน ความคิดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏวูบภายในชั่วพริบตา น้ำตากระจ่างใสไหลรินอย่างเงียบงัน
ท่าทางน่าเวทนาสงสารของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ทำให้คนอดตาค้างไม่ได้ หลินหว่านหรงเบือนหน้าหนี ไม่มองสายตาของนาง ถามเสียงเบาออกมา “พี่สาวอาจารย์ เริ่มได้หรือยัง?”
นางจิ้งจอกอันหัวเราะพร้อมเดินเข้าไป ลูบคลำดวงหน้าอันเรียบลื่นของสาวน้อยทูเจวี๋ยหลายครั้งพร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “น้องสาวผู้น่าสงสาร ทำให้ข้าเห็นแล้วก็เวทนาจริงๆ นะ! น้องชาย อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องอ่อนโยนสักหน่อย ดูจากท่าทางของน้องสาวแล้วยังเป็นครั้งแรกของนางอีกด้วย อย่าหยาบคายเกินไป ระวังจะทำให้นางบาดเจ็บ!”
หลินหว่านหรงฟังจนเหงื่อแตกท่วมใบหน้า นางจิ้งจอกบ้ากามคนนี้ เห็นชัดๆ ว่ากำลังยั่วยวนข้าอยู่นี่นา!
อวี้เจียใบหน้าแดงก่ำ กล่าวด่าทอออกมาเสียงเจื้อยแจ้ว “เจ้า สตรีที่เป็นนางจิ้งจอกเช่นเจ้านี้ ข้าอวี้เจียจะไม่ละเว้นเจ้าแน่!”
“อย่างนั้นหรือ?” พี่สาวอันกะพริบตา เลียริมฝีปากแดงชุ่มชื่น จับมือของหลินหว่านหรงขึ้นมาแล้วค่อยๆ คลำไปที่ซอกคออันขาวบริสุทธิ์ดั่งหงส์ฟ้าของอวี้เจีย กล่าวระคนหัวเราะยวนเย้า “น้องชาย เจ้าลองมาลูบคลำดู สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้มีรสชาติเป็นเช่นไร?”
อวี้เจียสั่นเทาเบาๆ ทั้งร่าง มองหลินหว่านหรงน้ำตาพร่ามัว ภายในดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความเงียบงันด้วยความสิ้นหวัง หลับดวงตาอันงดงามอย่างแช่มช้า น้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลรินลงมาตามปรางแก้มทั้งสองข้างอย่างเงียบงัน เดิมทีสาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้ก็งามพิลาสหาใดเปรียบอยู่แล้ว ความอ่อนแอจากความสิ้นหวังเช่นนี้ยิ่งสลัดความป่าเถื่อนออกไปจนหมดสิ้น หาท่าทางอันเผ็ดร้อนไม่พบอีกต่อไป
ขณะที่ฝ่ามืออยู่ห่างจากผิวของอวี้เจียแค่เพียงนิดเดียว จู่ๆ หลินหว่านหรงก็หันหน้ากลับมา มองอันปี้หรูพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่สาวอาจารย์ ท่านอยากให้ข้าลูบคลำสตรีอื่นต่อหน้าท่านจริงหรือ?!”
พี่สาวอันหน้าแดงเล็กน้อย เบือนหน้าไปพร้อมแค่นเสียงเบาๆ “เจ้าอยากจะคลำก็คลำ ถามข้าทำไม?!”
คำพูดนี้พูดแฝงปรัชญายิ่งนัก หลินหว่านหรงได้ยินชัดแจ๋ว เขาจับมือนางพร้อมหัวเราะฮ่าๆ “พี่สาวอาจารย์ ท่านอย่ามาทดสอบข้าเลย ต่อให้สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้จะงดงามอีกสักเพียงใด ก็ไม่มีทางได้หนึ่งในหมื่นของพี่สาวอาจารย์ แล้วข้าจะลูบคลำนางทำไม?!”
อันปี้หรูทัดปอยผมข้างใบหู มองค้อนเขาอย่างยวนเย้าคราหนึ่ง “หมาป่าบ้ากามน้อย พูดจาเสียน่าฟัง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ความคิดเจ้านะ นี่เจ้ากำลังรักหยกถนอมอบุปผา แสร้งปล่อยเพื่อจับ เป็นกลยุทธ์ในการขโมยหัวใจชั้นยอด”
“เฮ้อ ในเมื่อพี่สาวอาจารย์เข้าใจข้าผิดเช่นนี้ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า ข้าลูบคลำก็ได้ ไม่ลูบคลำก็เสียทีที่ไม่ทำ…” หลินหว่านหรงถอนหายใจ ยื่นมือไปทางใบหน้าอันเรียบลื่นของอวี้เจีย
ยังไม่ทันจะเข้าใกล้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ถูกมือน้อยอันอ่อนนุ่มข้างหนึ่งจับเอาไว้ อันปี้หรูยิ้มร่าพลางมองดูเขา “ใครใช่ให้เจ้าไม่ฟังข้า ตนนี้คิดจะลูบคลำก็สายไปแล้ว”
หลินหว่านหรงหน้าชื่นตาบาน ประคองฝ่ามือนางแล้วเสียดสีเบาๆ “พี่สาวไม่ต้องหึง ข้าไม่ลูบคลำ ลูบคลำแค่ท่านก็พอ”
“พูดจาเหลวไหล ใครหึงกัน?!” ปรางแก้มงามของอันปี้หรูแดงซ่าน มองตำหนิเขาคราหนึ่ง นางกุมมือเขาพลางยิ้มยวนเย้าอย่างอ่อนโยน “ห้ามลูบคลำข้าเช่นกัน ข้ามีเข็มเงินอันร้ายกาจอยู่!”
ทั้งสองคนชายรักหญิงมีใจ กระเง้ากระงอดแสดงความรักราวกับข้างกายปลอดผู้คน มีความสุขยิ่งนัก อวี้เจียฟังทุกถ้อยคำอยู่ในหู โมโหจนหน้าซีด ด่าทออย่างเดือดดาล “ชายโฉดหญิงชั่ว!”
ชายโฉดกับหญิงชั่วเกิดมาก็เป็นคู่กัน หลินหว่านหรงไม่รู้สึกต่อต้านทั้งกลับยินดี หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับคำชม พี่สาวอาจารย์ น้องสาวคนนี้จะจัดการอย่างไรดี?!”
อันปี้หรูถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ยังจะทำอะไรได้? ในเมื่อเจ้ารักหยกถนอมบุปผา ไม่อาจหักใจแตะต้องนาง เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ทำเอง น้องสาว ตอนนี้ข้าจะจับเจ้าแก้ผ้า เจ้าคงไม่คัดค้านกระมัง ฮิๆ!”
เสียงหัวเราะยังไม่ทันจบ มืองามของนางก็ยื่นออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายอสนีบาต เล็งอย่างแม่นยำ อาภารณ์ตรงท้องน้อยของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ นางดึงเบาๆ เสียงผ้าดังแคว่ก ตามเสียงกรีดร้องของอวี้เจีย ชุดกระโปรงของสาวน้อยทูเจวี๋ยก็ขาดกลางเป็นสองส่วน เศษผ้าหลายชิ้นค่อยๆ ลอยหล่นลงบนพื้นหญ้า เผยให้เห็นสะดือและท้องน้อยอันงดงามของอวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้เรือนร่างงดงามล้ำเลิศราวกับสวรรค์สร้าง เอวคอดกิ่วกะทัดรัดเพียงกำมือ ผิวพรรณกระจ่างใส สุกสกาวดั่งอาบน้ำนม งดงามยวนเย้าน่าลุ่มหลง ใต้แสงตะเกียงอันหรุบหรู่ เปล่งประกายอันยั่วยวนใจ
อวี้เจียกรีดร้องดังอ๊ะ สองมือกอดหน้าอก พยายามปกปิดผิวอ่อนนุ่มนิ่มที่เผยออกมาข้างนอก ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา กล่าวด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัวและเดือดดาล “สตรีที่เหมือนดั่งจิ้งจอก เจ้าจะทำอะไร?! อัวเหล่ากง เจ้าห้ามมองข้า!”
พี่สาวอันหัวเราะร่วน กอดแขนหลินหว่านหรง กล่าวยั่วยวนออกมา “ข้าจะให้เขามองเสียอย่าง…น้องชาย เจ้าเบิกตาให้กว้าง จะต้องดูให้ชัดนะ”
หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะ กลืนน้ำลายอย่างแรง “ดู ต้องดูอย่างยิ่ง พี่สาวอาจารย์ ยังจะถอดอีกหรือไม่? ข้าอยากช่วยมากเลย”
เมื่อเห็นดวงตาของน้องชายสาดประกายหื่นกระหาย จ้องมองท้องน้อยขาวสะอาดของอวี้เจียไม่วางตา พี่สาวอันจิ้มหน้าผากเขาแฝงด้วยความโมโหเล็กน้อย แค่นเสียงแล้วพูดว่า “ดูตรงไหนกันน่ะเจ้า?!…ขึ้นมาอีกนิด…เหอะ ไม่ใช่ให้เจ้าดูหน้าอกนาง…ลงมาอีกหน่อย!”
นางจิ้งจอกอันสั่งการไปมา หลินหว่านหรงใช้สายตาตามนาง กลับมองอวี้เจียตั้งแต่หัวจรดเท้าไปรอบหนึ่ง ทำให้พี่สาวอันหัวเราะร้องไห้ไม่ออก
“อัวเหล่ากง ห้ามดู เจ้าห้ามดู!” อวี้เจียใช้สองมือกอดอก ร่ำไห้อย่างรุนแรง
อันปี้หรูแค่นเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจ หยิบเข็มเงินแล้วทิ่มไปที่ก้นเขาคราหนึ่ง “ไอ้หยา” หลินหว่านหรงแยกเขี้ยว กระเด้งขึ้นมาราวกับนั่งลงบนปะทัด
…
“เห็นอะไรบ้าง?!” พี่สาวอันทัดปอยผมข้างหูเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ ยิ้มงามเฉิดฉัน อารมณ์หลากหลายสารพัน
หลินหว่านหรงคว้ามือของนางพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ข้าจะมองแต่พี่สาว”
“มาหลอกให้ข้าดีใจอีกแล้ว?!” อันปี้หรูบีบแขนเขาอย่างแรง ใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด
นางกลอกตามองอวี้เจีย สีหน้าเย็นชาทันที นางออกแรงเล็กน้อยก็แยกแขนที่ขวางตรงหน้าอวี้เจียออกไปได้ ไล่จากสะดือและท้องน้อยอันขาวกระจ่างใสของอวี้เจียขึ้นไป ใต้อกซ้ายของนาง บนผิวอันกระจ่างใสราวกับหยกนั้นกลับสักหมาป่าทองขนาดกะทัดรัดที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บตัวหนึ่ง หมาป่าทองนั้นใหญ่ประมาณฝ่ามือ สีหน้าท่าทางสง่างาม บารมีบีบคั้นผู้คน กำลังเชิดหัวแหงนมองท้องฟ้า ภายในดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายเย็นเยียบ คล้ายอำมหิตเย็นชา ทั้งคล้ายอบอุ่นอ่อนโยน มีความสูงศักดิ์อย่างบอกไม่ถูก
“ที่แท้ก็หมาป่าตัวเมียตัวหนึ่ง!” หลินหว่านหรงจ้องหมาป่าน้อยสีทองตัวนี้ จับจ้องอยู่นาน จากนั้นถึงถอนหายใจคราหนึ่ง
หมาป่าคือสัญลักษณ์ของทูเจวี๋ย บนธงกองทัพของชนเผ่านอกด่านก็ปักหมาป่าสารพัดสารพันรูปแบบ แต่รอยสักหมาป่าสีทองนี้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนร่างของสตรีทูเจวี๋ยผู้งดงามเช่นนี้ การปรากฏของรอยสักหมาป่าสีทองเช่นนี้ นัยยะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และนี่อาจเป็นเครื่องพิสูจน์สถานะของอวี้เจียก็เป็นได้ ดาบทองสูงค่า รอยสักหมาป่าทอง เยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นใครกันแน่?!
หลินหว่านหรงจดจ้องผิวขาวกระจ่างใสของอวี้เจีย ดวงตาสาดประกายวูบวาบคมกริบ อวี้เจียยามนี้กลับหยุดร้องไห้แล้ว กำลังกัดฟันกรอด จ้องมองเขาอย่างเย็นชา ไม่ส่งเสียงออกมาสักแอะเดียว
“คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว” เสียงแผ่วเบาอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างใบหู เมื่อช้อนสายตามอง อันปี้หรูก็กำลังยิ้มงามยวนเย้าให้เขาอยู่ “สถานะของอวี้เจียคนนี้ต้องมีสักวันที่กระจ่างแจ้ง! เจ้าแค่จับตัวนางให้มั่นก็พอ จำไว้ ใช้ฝีมือที่เจ้ามีทั้งหมด!”
ความหมายอันลึกซึ้งภายในดวงตาพี่สาวอัน แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออก หลินหว่านหรงกำลังจะส่ายหน้าด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด มือน้อยของอันปี้หรูก็กดลงบนริมฝีปากเขาแล้ว “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น ขอเพียงเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัย ต่อให้ต้องทำเรื่องชั่วช้าสามานย์แล้วจะทำไม?! ข้าจะสู้กับสวรรค์พร้อมเจ้า สวรรค์ไม่สู้ข้า ข้าสู้สวรรค์!”
“พี่สาว!” หลินหว่านหรงเบ้าตาแดงก่ำ กอดร่างนางแน่น ไม่กล้าปล่อยไปอีก
อันปี้หรูเบือนหน้าไปเช็ดหางตา หัวเราะคิกคักพร้อมเอ่ยว่า “น้องชาย ข้าง่วง อยากนอนแล้ว”
“ได้ๆ” หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะปลกๆ “พี่สาว คนนี้ท่านก็นอนพักผ่อนในกระโจมข้าเถิด ข้าเฝ้าอยู่ข้างนอก เปลี่ยนให้ข้าไปเป็นทหารเฝ้ายามสักครั้ง”
อันปี้หรูส่ายหน้าเล็กน้อย หัวเราะร่วนพร้อมตอบว่า “นั่นก็ไม่ได้ ข้าอยู่ตัวคนเดียวกลัวความมืด อีกอย่าง หากทำให้เจ้าเหนื่อยจะมีคนปวดใจเอาได้”
“พวกของเซียนเอ๋อร์นางไม่มีทางรู้หรอก” หลินหว่านหรงหัวเราะสองครา “เพียงแต่ในเมื่อพี่สาวท่านกลัวความมืด เช่นนั้นข้าเฝ้าอยู่ข้างกายท่านก็ได้ ข้าคนนี้ที่ไม่กลัวมากที่สุดก็คือความมืด!”
มองดูใบหน้าดำทะมึนของเขา อันปี้หรูป้องปากหัวเราะพราวเสน่ห์ มีความสุขอย่างยิ่ง หัวเราะไปหลายครั้ง จู่ๆ นางก็ยื่นมือชี้ไปยังอวี้เจียที่อยู่บนพื้น “เช่นนั้นนางเล่า คงไม่ได้นอนอยู่ในกระโจมของเราด้วยหรอกนะ?!”
“นาง?!” หลินหว่านหรงอึ้ง “พื้นหญ้าใหญ่ตั้งขนาดนั้น หรือว่ายังไม่พอให้สาวน้อยคนหนึ่งนอนอีก?! ต้องให้นางมาขวางพวกเราทำเรื่องดีๆ ตรงนี้ทำไมกัน?!”
“อัวเหล่ากง เจ้า เจ้า…” อวี้เจียโมโหจนหน้าแดงก่ำ มองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะพ่นไฟได้ น้ำตาวาววับไหลรินไม่หยุด
เมื่อเทียบกับพี่สาวอันแล้ว สถานะของอวี้เจียคนนี้ยังห่างไกลลิบลับ หลินหว่านหรงหยิบเสื้อคลุมตัวเก่ามาคลุมบนร่างนาง จากนั้นก็หาสถานที่ให้นางอย่างลวกๆ เมื่อหมุนกายเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง กลับเห็นอันปี้หรูถอดชุดบุรุษออกไปแล้ว หวนคืนสู่ร่างสตรี กำลังมองตะเกียงที่ส่องแสงหรุบหรู่อย่างเหม่อลอย
“พี่สาว ท่านเป็นอะไร?!” หลินหว่านหรงสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหา จับมือนางพร้อมเอ่ยถาม
“กำลังรอเจ้ากลับมาน่ะสิ” อันปี้หรูยิ้มงามเฉิดฉัน “เรื่องที่ข้าพูดวันนี้เจ้าจำได้หรือยัง?!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะปลกๆ “ย่อมจำได้แล้ว รอให้รบที่นี่เสร็จ ข้าจะไปเผ่าแม้ว เอาชนะไอ้เก้าสิบเก้าคนที่มันแทรกแถวมา! กล้ามาแย่งผู้หญิงของพี่ซาน ข้าว่าพวกมันรำคาญการมีชีวิตแล้ว!”
“แทรกแถว แย่งผู้หญิงอะไรกัน!” พี่สาวอันหัวร่องอหาย หัวเราะจนน้ำตาเล็ดออกมา ยากเย็นนักกว่าจะสงบอารมณ์ลงไปได้ นางปาดน้ำตา บิดร่างอย่างเกียจคร้าน มองเขาพลางกล่าวยวนเย้า “น้องชาย ข้าจะนอนแล้ว เจ้าล่ะ?!”
การบิดขี้เกียจของนางนี้ เรือนร่างงดงามอรชร ก่อเกิดเป็นระลอกคลื่น มองจนผู้คนดวงตาพร่าพราย หลินหว่านหรงกล่าวพึมพำออกมา “พี่สาว ท่านนอนเถอะ ข้าเฝ้าท่านก็ได้ จริงๆ นะ ข้าไม่เคยทำตัวบริสุทธิ์เช่นนี้มาก่อนเลย!”
“ข้าก็ด้วย ฮิๆ!” อันปี้หรูนอนอยู่บนเตียงทหาร มองเขาพลางกะพริบตา หัวเราะน่าลุ่มหลงยิ่งนัก
ดึกมากแล้ว พี่สาวอันคล้ายเหนื่อยแล้วจริงๆ อกอวบอิ่มขยับขึ้นลงเป็นระยะ แพขนตายาวสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย ในที่สุดก็หลับตาลงอย่างแช่มช้า
ไม่เคยมองประเมินนางจิ้งจอกอันในระยะใกล้ขนาดนี้มาก่อน เส้นผมที่มีกลิ่นหอมสะอาด คิ้วโก่งบางๆ ปรางแก้มกระจ่างใสประดุจหยก ริมฝีปากสีแดงสด ซอกคองดงามน่าหลงใหลราวกับหงส์ฟ้าสีขาว แม้อยู่ในห้วงนิทรากลับมีรอยยิ้มยวนเสน่ห์บางๆ ประดับอยู่บนใบหน้า
หลินหว่านหรงมองอย่างเหม่อลอย เข้าไปใกล้หน้านางโดยไม่รู้ตัว นางจิ้งจอกอันกลับเหมือนสัมผัสได้ ลืมตาขึ้นมาทันที “น้องชาย เจ้าคิดจะเอาเปรียบข้า?!”
“เปล่าๆ” หลินหว่านหรงรีบส่ายหน้า
อันปี้หรูหัวเราะร่วน “ในเมื่อเจ้าไม่ได้เอาเปรียบข้า เช่นนั้นข้าจะเอาเปรียบเจ้า…ข้ากลัวความมืด เจ้ากอดข้านอนได้หรือไม่?!”
ตูม! หลินหว่านหรงสมองศีรษะวูบ พุ่งปราดขึ้นไปบนเตียง สองคนเบียดกันอยู่บนเตียงเล็กอันแสนจะคับแคบ กอดกันแน่น ร่างของพี่สาวอันซึ่งเบาราวกับไร้น้ำหนักแฝงกลิ่นหอมสะอาดอ่อนๆ และสั่นระริก ซบอยู่ในอ้อมอกเขาด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี
กอดร่างอันร้อนรุ่มสั่นเทานางจิ้งจอกอัน หลินหว่านหรงอารมณ์ปั่นป่วนราวกับเข้าห้อหอครั้งแรก ต่อจากนี้จะทำอะไรกลับไม่รู้เรื่องแล้ว อันปี้หรูบีบใบหน้าเขาคราหนึ่งพร้อมกล่าวระคนหัวเราะเบาๆ “ห้ามทำเรื่องเลวร้ายอีก ต้องบริสุทธิ์ใจ เจ้าพูดเองนะ! ข้านอนแล้ว!”
นางหัวเราะไปหัวเราะมาก็ค่อยๆ หลับตาลง กลับหลับไปอย่าสงบจริงๆ
หลินหว่านหรงหยิบเส้นด้ายเส้นหนึ่งออกมาจากอก แอบมัดชายชุดนาง ปลายอีกด้านมัดที่สายรัดเอวของตนเองแน่น จากนั้นก็ทดสอบความมั่นคง เขาถึงผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
ดูสิว่าเจ้าจะหนีอย่างไรอีก? มองดูขนตายาวอันงดงามของพี่สาวอันซึ่งกำลังนอนหลับสนิทนั้น จากนั้นเขาจึงหลับไปอย่างมีความสุข