ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 561 ไปแล้วจริงๆ
ค่ำคืนนี้กอดพี่สาวอัน หลับสนิทและสงบสุข แม้แต่ฝันก็ยังแอบยิ้ม คล้ายเก็บสมบัติอันล้ำค่าที่สุดบนโลกมาได้ เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็เป็นยามแสงแรกอรุณแล้ว เขาพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน เสื้อคลุมขนสัตว์ที่อยู่บนร่างปลิวไหลลงพื้น ความหนาวเย็นเล็กน้อยปะทะโจมตีเข้ามา
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชุดของหลินหว่านหรงถูกถอดจนหลุดออกไป มองดูหน้าอกและแขนอันเปลือยเปล่าของตนแล้ว เขาก็กล่าวระคนหัวเราะด้วยอาการงุนงง “พี่สาวอาจารย์ นอนอยู่ดีๆ ท่านมาถอดชุดของข้าทำไม?!”
เขาหาวออกมา เอื้อมมือไปแล้วจะโอบข้างกาย เพิ่งยื่นมือออกไปกฌรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ลืมตาขวับขึ้นมาทันที
ข้างกายว่างเปล่า มีเพียงกลิ่นหอมจางๆ ลอยอยู่ในกระโจมเท่านั้น ถึงกระนั้นไหนเลยยังจะมีเงาร่างของอันปี้หรูอีก ลางสังหรณ์อัปมงคลถั่งท้นขึ้นมาในจิตใจ เขาตกใจวูบ ไม่สนใจที่จะสวมเสื้อผ้าแล้วเช่นกัน กระเด้งผลุบลงจากเตียง ดึงทึ้งผ้าม่านกระโจมออกพร้อมส่งเสียงตะโกนดังลั่น “พี่สาวอาจารย์ ท่านอยู่ที่ใด?! ข้ากลัวนะ ท่านรีบกลับมาเร็ว!”
ฟ้าเพิ่งมีแสงเรืองรอง ค่ายยามแสงแรกอรุณเงียบสงัดไปหมด เสียงกู่ร้องตะโกนของเขาดังแพร่ไปทั่วทุกสารทิศ ชักนำให้เหล่านายทหารมองด้วยสายตาประหลาดใจ ทุกคนล้วนมองประเมินเขา สีหน้าแปลกประหลาด เหมือนอยากหัวเราะแต่ไม่กล้าหัวเราะ
ยังนึกว่าหน้าอกเปลือยเปล่าของตนทำให้คนตื่นตระหนก หลินหว่านหรงจึงคร้านที่จะถือสาหาความ กู่ร้องตะโกนชื่อขอนางจิ้งจอกอันไม่หยุด เพียงแต่เงาร่างของพี่สาวอาจารย์กลับสูญสลายไร้ร่องรอยไปพร้อมกับแสงแรกรุ่งนี้เฉกเช่นดวงดาราเมื่อคืน
“ดวงดาราแม้จะงดงาม แต่กลับทำได้แค่เพียงสาดแสงกะพริบยามราตรีเท่านั้น…”
“วางใจเถอะ ต่อให้เจ้าเอาดาบมาไล่ข้า วันนี้ข้าก็ไม่ไป ใครใช้ให้เจ้าติดค้างข้ามากมายขนาดนั้น…”
ทุกถ้อยคำ ทุกรอยยิ้มของอันปี้หรูผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง ที่แท้ทุกคำพูดทุกรอยยิ้มของพี่สาวจิ้งจอกนี้ต่างแฝงความหมายลึกซึ้ง หลินหว่านหรงลอบส่ายหน้า ไม่อาจทนรับได้ไหว ความคิดถึงทำให้คนแก่ชรา พี่สาวอันที่ไปมาประดุจสายลมนี้ยังไม่เอาชีวิตข้าไปอีกหรือ?!
ถอยกลับเข้าไปในกระโจมอย่างเดือดดาล กลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้าจมูก เป็นกลิ่นกายของอันปี้หรู เมื่อนึกย้อนไปถึงการอิงแอบแนบชิดของทั้งสองคนเมื่อคืน เรือนร่างอันกอปรด้วยส่วนโค้งส่วนเว้า เสียงหัวเราะน่าลุ่มหลงกระชากวิญญาณ รูปโฉมอันงดงามยวนเย้าน่าหลงใหล กลับปลาสนาการไปสิ้นภายในเช้าตรู่วันนี้ ราวกับฝันฉากหนึ่ง
ร่างอันเปลือยเปล่าส่งผ่านความเย็นเข้ามา เส้นด้ายที่มัดอยู่กับร่างคนทั้งสองซึ่งใช้ป้องกันพี่สาวอันไม่ให้จากไปโดยไม่ได้บอกกล่าวเมื่อคืนหายไปแล้ว แม้แต่ชุดของเขาก็ไม่รู้ไปที่ไหนแล้ว
สู้กับพี่สาวอันไม่เคยได้รับผลดีมาก่อนเลย! หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า เหลือบตามอง เห็นเพียงว่าบนหัวเตียงนั้นมีชุดใหม่วางอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ พับเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่งกลิ่นหอมจางๆ ชุดนี้ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร เมื่ออยู่ในมือแล้วอ่อนนุ่ม เบาบางราวกับไม่มีสิ่งใด ทว่าพอสวมใส่บนร่างกลับอบอุ่น หอมกรุ่น สบายกายยิ่งนัก
ภายใต้ชุดมีจดหมายสีขาวสะอาดถูกทับอยู่ฉบับหนึ่ง ตัวอักษรขนาดเล็กอันงดงามหลายแถวนั้นตกกระทบม่านจักษุ ‘น้องชาย เจ้ากล้ามัดชายเสื้อข้า ข้าก็ถอดเสื้อเจ้า ทุกคนเสมอกัน ฮิๆ ชุดข้าเอาไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้วันหลังถูกสตรีนางอื่นถอดออกไปโดยไม่ระวัง ทำลายคุณธรรมของเจ้า’
ที่แท้พี่สาวอันก็ถอดเสื้อผ้าข้าจริงๆ ไม่รู้ว่านางจะฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบไปบ้างหรือไม่ หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ตกใจและยินดีระคนกัน ใจทั้งหวานชื่นทั้งรวดร้าว รีบเช็ดหางตา อ่านต่อไป
‘เมื่อคืนข้าหลับสบายมาก เป็นครั้งแรกที่ข้าหลับอย่างสุขสงบ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ซุกอยู่ในอ้อมอกอันกว้างขวางของหมี เตียงเล็กมาก แต่ก็อบอุ่นมากเช่นกัน ข้าชอบอ้อมกอดหมี’
อันปี้หรูวาดเป็นหน้ายิ้มอันงามยวนเย้าขนาดเล็กกะทัดรัดอยู่ตรงนี้ วาดเหมือนจริง เมื่อมองดูดวงหน้าอันงดงามนี้แล้วหลินหว่านหรงก็อยากจะหัวเราะ ทว่าจมูกกลับร้าวระบม ข้ากลับกลายเป็นหมีของพี่สาวอันที่เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกคนนี้แล้วหรือ? ข้าน่ารักขนาดนั้นเลยหรือ?!
‘มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่พอ น้องชายหมี ท่าทางตอนเจ้าหลับดูซื่อบื้อมาก เจ้ากลับนอนหลับเหมือนหมู แก้ผ้าเจ้าก็ยังไม่รู้ตัว ข้าหงุดหงิดมาก ดังนั้นตอนที่แก้ผ้าเจ้าข้าเลยเอาเปรียบสักหน่อย ไม่ต้องคับแค้นไป อย่างมากคราวหน้าให้เจ้าเอาเปรียบกลับก็ได้ ฮิๆ
ข้าจะกลับไปเผ่าแม้วแล้ว คราวนี้แอบลงเขาลับหลังคนรักเก้าสิบเก้าคนของข้า บนเขาไม่รู้จะวุ่นวายเพียงใด เรื่องข้างกายเจ้าก็จัดการเรียบร้อยแล้ว แค่มุ่งหน้าอย่างวางใจก็พอ ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้แม้แต่เส้นขน ต้องจำคำข้าเอาไว้ ระวังสตรีชนเผ่านอกด่าน เก้าดินแดนสิบแปดหมู่บ้านสามสิบหกป้อม ข้าจะรอเจ้าที่เผ่าแม้ว! เจ้าห้ามมาสาย ไม่อย่างนั้นคนรักทั้งเก้าสิบเก้าคนนั้นของข้า ข้าจะร่วมรักด้วยวันละคน ข้าเป็นคนซื่อเหมือนกับเจ้า ไม่เคยโกหก ฮิๆ…เอาเปรียบเจ้าอีกครั้ง…พี่สาวอาจารย์!’
พอเอ่ยถึง ‘เอาเปรียบเจ้าอีกครั้ง’ บนจดหมายขาวสะอาดแผ่นนั้นกลับประทับรอยริมฝีปากสีแดงสดเอาไว้ กลิ่นหอมหวานจางๆ ดั่งน้ำหวานจากเกสรดอกไม้เข้าสู่รูจมูก ทำให้คนอาลัยอาวรณ์ ครั้นนึกถึงท่าทางอันแสนจะพราวเสน่ห์ยามที่พี่สาวอันจุมพิตริมฝีปากน้อยสีแดงสดนี้ลงบนกระดาษจดหมาย จิตใจของหลินหว่านหรงก็ร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิง อยากกลายร่างเป็นกระดาษจดหมายแผ่นนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป เพื่อเสพสุขกับจูบอันหอมหวานของพี่สาวอันผู้พราวเสน่ห์
คำลงท้ายของอันปี้หรูฉบับนี้ทั้งจริงจังทั้งทีเล่นทีจริง แม้จะแฝงด้วยอารมณ์สนุกสนานอยู่ทุกแห่งหน ทว่ากลับไม่อาจปิดบังความรักได้ ประหนึ่งสายน้ำที่ไหลรินลงมาจากขุนเขาเข้ามาปะทะใบหน้า สะอาดกระจ่างใสดั่งแก้วผลึก
คิดไม่ถึงว่าพี่สาวอันจะไปทั้งอย่างนี้ นางมาเร็ว ไปเร็วยิ่งกว่า ประหนึ่งสายลมวสันต์อันอบอุ่นบนทุ่งหญ้า เพียงพริบตาก็มลายหายไป ถึงกระนั้นกลับนำมาซึ่งความซาบซึ้งอันแสนจะล้ำลึกที่สุดและความทรงจำอันแสนจะตราตรึงไปตลอดกาล
มองดูรอยริมฝีปากสีแดงสดที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้น หลินหว่านหรงก็ถอนหายใจออกมา กล่าวพึมพำขึ้นว่า “พี่สาวอาจารย์ ทุกครั้งพอท่านเอาเปรียบข้าแล้วก็ไป บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่สบายเช่นนี้…ข้าจะเอาเปรียบท่านครั้งหนึ่งเช่นกัน ให้ท่านไม่อาจต่อต้าน ฮิๆ!”
เขาจุ๊บริมฝีปากน้อยสีแดงสดที่อยู่บนกระดาษจดหมายแผ่นนั้นคราหนึ่ง หอมจรุงหวานชื่น กลิ่นหอมติดอยู่ที่ริมฝีปาก
“พรืด” กลับมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังเข้ามาจากนอกกระโจม เสียงงามยวนเย้าเสียงหนึ่งลอยเข้ามา “ที่แท้ก็ ‘ไม่อาจต่อต้าน’ เช่นนี้นี่เอง ไม่เคยเห็นเจ้าเรียบร้อยขนาดนี้มาก่อนเลย เมื่อคืนไปทำอะไรเข้าล่ะ ทำไมถึงได้ว่าง่ายขนาดนี้?!”
เสียงนี้คุ้นเคยจนไม่อาจจะคุ้นเคยไปมากกว่านี้ได้อีก หลินหว่านหรงกระเด้งขึ้นมาราวกับถูกเข็มทิ่มก้น “พี่สาวอาจารย์ ท่านยังไม่ไปหรือ?!”
เขาพุ่งออกนอกกระโจม เห็นเพียงเงาร่างสีขาวขยับวูบไหวออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วราวกับสายลมสดชื่นหอบหนึ่ง ดูจากเรือนร่างอันอรชรขนาดนั้น หากไม่ใช่อันปี้หรูแล้วจะเป็นใครได้อีก?
อันปี้หรูท่าร่างรวดเร็วยิ่งนัก แทบจะต่างจากเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง คล้ายไม่อยากให้เขาตามทัน เมื่อเห็นว่าทั้งสองห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยความร้อนใจ หลินหว่านหรงจึงหยุดฝีเท้าทันที ตะโกนเสียงดังลั่นออกมาว่า “พี่สาวอาจารย์ ข้าคิดถึงท่าน ข้าคิดถึงท่าน!”
ร่างของอันปี้หรูสะท้านเล็กน้อย ฝีเท้าค่อยๆ เชื่องช้าลง ลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงค่อยๆ หมุนร่างกลับมา ใบหน้าอันงามยวนเย้าคลี่รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ภายในดวงตาอันสุกสกาวระยิบระยับ เต็มไปด้วยน้ำตากระจ่างใส
“น้องชาย” นางหัวเราะคิกคักพลางออกแรงโบกมือ น้ำตาดั่งสายฝน “ดินแดนเผ่าแม้ว ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น เจ้าต้องมาให้ได้นะ! ตอนนี้ข้าจะไปแล้ว ห้ามเจ้ามองข้า!”
…
“พี่สาวอาจารย์…” หลินหว่านหรงร้องเรียกเสียงดัง ต้องการไล่ตามไป อันปี้หรูมองเขาอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง นางหัวเราะออกมาเบาๆ พลางหมุนกายแล้วจากไป เพียงชั่วพริบตาก็อยู่ห่างออกไปร้อยจั้ง
“พี่สาวอัน ข้าต้องไปหาท่านแน่ ท่านต้องรอข้านะ! ต้องรอข้านะ!” เสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นของหลินหว่านหรงถ่ายทอดออกไปไกลโข อันปี้หรูซึ่งกำลังเดินทางอย่างเร็วรี่หันหน้ากลับมา ยิ้มแย้มเล็กน้อยให้เขาคราหนึ่ง ท่ามกลางหยาดน้ำตาอันพร่าเลือน เงาร่างอันยวนเสน่ห์กลายเป็นควันขาว ค่อย ๆ ไกลออกไป
คราวนี้ไปแล้วจริงๆ! หลินหว่านหรงมองเงาร่างอันปี้หรูยืนนิ่งเหม่อลอย ใจรู้สึกขมขื่นอยู่บ้าง ทว่าก็ยังบังเกิดความรู้สึกปลอบใจตัวเองขึ้นมาเช่นกัน สุดท้ายพี่สาวอันก็ไม่ได้เลือกที่จะลาไปโดยมิได้บอกกล่าว นางละล้าละลังอยู่นอกกระโจม อยากไปแต่ก็อยากอยู่ แสดงความขัดแย้งและความอาวรณ์ที่มีภายในใจนางอย่างชัดเจน
หากบอกว่าการจากลาที่จวนเฉิงอ๋องคราวก่อนเต็มไปด้วยความเสียดายและความปวดใจ คราวนี้กลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง มันมอบการรอคอยและความมุ่งหวังอย่างลึกซึ้ง แม้จะร่ำไห้ แต่ก็แฝงด้วยรอยยิ้ม เมื่อจินตนาการถึงความปีติยินดีและรอยยิ้มของพี่สาวอันเมื่อได้พบกันอีกครั้ง หลินหว่านหรงก็พลันพลุ่งพล่านจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ สตรีที่มีน้ำใจไมตรีเช่นนี้ หากไม่ไปรักใคร่ทะนุถนอมให้ดี คนเราเกิดมามีชีวิตบนโลกยังมีความหมายอะไรกันอีก
“น้องหลิน น้องหลิน…” เสียงร้องเรียกต่ำๆ หลายครั้งทำให้หลินหว่านหรงตกใจจนได้สติ เขาหันหน้ามา เห็นว่าเกาฉิวกลอกดวงตาแวววับ กำลังมองประเมินเขาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เหล่าเกายืนข้างหูปู้กุย เขามองใบหน้าหลินหว่านหรง ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อไหลพร่างพรู
“เอ๊ะ พี่เกา พี่หู พวกท่านกลับมาแล้วหรือ?!” หลินหว่านหรงรีบปาดน้ำตาตรงหางตา หัวเราะพร้อมเอ่ยถามว่า
“กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว” เกาฉิวหัวเราะร่าพลางจ้องใบหน้าเขา กล่าวอย่างมีเลศนัย “น่าเสียดายที่กลับมาช้าไป พลาดอะไรดีๆ ไปเลยนะ”
เกาฉิวกับหูปู้กุยตอนที่บุกโจมตีพรรคบัวขาวที่ซานตงต่างเคยเห็นอันปี้หรู แม้จะอยู่ค่อนข้างไกล แต่ผู้ที่เป็นเหมือนดั่งเทพเซียนเช่นอันปี้หรูนี้ ให้เจอกันครั้งเดียวก็ไม่มีวันลืมเลือน หลินหว่านหรงโบกมือ “เสียใจจากการจากลาเท่านั้น ไหนเลยจะมีอะไรดีๆ ได้ พี่ชายทั้งสองล้อเล่นแล้ว”
เกาฉิวทำหน้าทะเล้น กล่าวระคนหัวเราะออกมา “น้องหลินถ่อมตัวแล้ว จากลาแม้จะเสียใจ แต่ก็งดงามสดใสเลยนะ คนที่มีบุญเรื่องสตรีเช่นน้องชายนี้ ผู้อื่นแปดชาติก็ไม่อาจเสพสุขได้”
เมื่อเห็นเหล่าเกาพูดจามีเลศนัย หูปู้กุยก็เบือนหน้าไปแอบหัวเราะเช่นกัน หลินหว่านหรงถามด้วยความกังขา “งดงามสดใสอะไร พี่เกา ท่านพูดอะไร?! ข้าฟังไม่เข้าใจ!”
ยังเป็นหูปู้กุยที่ซื่อสักหน่อย สั่งคนให้ไปยกน้ำสะอาดมา หัวเราะพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ เชิญดูขอรับ!”
น้ำใสสะอาด สะท้อนเงาของหลินหว่านหรง ผมเผ้าเกล้าเป็นระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าโกนเกลี้ยงเกลา ท่าทางหล่อเหลาสง่างามมาก เพียงแต่บนแก้มซ้ายขวาทั้งสองข้างกลับมีรอยริมฝีปากเล็กๆ สีแดงสดข้างละรอยแกว่งไกวเป็นระลอกตามคลื่นน้ำ ราวกับริมฝากน้อยสีแดงสดใสกำลังพูดตัดพ้ออยู่เงียบๆ
หลินหว่านหรงเหม่อลอย ที่แท้พี่สาวอันก็ ‘เอาเปรียบ’ ข้าแบบนี้นี่เอง ไม่รู้ว่านางประทับลงไปเมื่อไหร่ เหตุใดข้าถึงหลับได้นะ? เขาหงุดหงิดใจยิ่งนัก ลูบใบหน้าเบาๆ ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ ราวกับว่าดวงหน้าซึ่งแสดงอาการทั้งยินดีทั้งตัดพ้อของอันปี้หรูมาผุดอยู่ตรงหน้าจริงๆ อีกครั้งหนึ่ง
“น้องหลิน ล้างเถอะ” เหล่าเกากล่าวระคนหัวเราะอย่างมีเจตนาแฝง “ไม่อย่างนั้นประเดี๋ยวให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นเห็นเข้าจะไม่วุ่นวายกันใหญ่หรือ?!”
เกี่ยวกับสตรีทูเจวี๋ยคนนั้นผายลมอะไรกัน! หลินหว่านหรงแค่นเสียง นึกถึงสายตาที่หันกลับมามอง น้ำตาที่หลั่งออกมาอย่างเงียบๆ ของพี่สาวอัน เขากัดฟันกรอดแล้วผลักกะละมังใส่น้ำนั้นออกไป “มีอะไรให้ล้างกัน มองไปมองมาก็ชินแล้วไม่ใช่หรือ?! ข้ากลับรู้สึกว่าแบบนี้หล่อเหลากว่า ใครให้ข้าล้างหน้า ข้าจะเอาเรื่องผู้นั้น!”
เหล่าเกาเหล่าหูสองคนสบตากัน สุดท้ายก็อดหัวเราะดังลั่นออกมาไม่ได้ น้องหลินช่างเป็นพวกมากรักจริงๆ นะ ในเมื่อเขาไม่อยากล้างหน้า พวกเรายังจะไปสนใจผายลมอะไรกันอีก อย่างไรเสียเหล่าพี่น้องก็เห็นกันแล้ว ที่ควรหัวเราะก็หัวเราะไปแล้ว!
หลินหว่านหรงปกป้องใบหน้าอย่างระมัดระวัง กล่าวด้วยท่าทีจริงจังออกมาว่า “พี่เกา ท่านกับหน่วยลาดตระเวนสืบข่าวมาเป็นอย่างไรบ้าง?! ข้างหน้ามีดินแดนของชนเผ่านอกด่านหรือไม่?!”
เหล่าเกาหัวเราะฮิฮะสองคราแล้วตอบว่า “เมื่อวานพวกเราไปได้สองสามร้อยลี้ ดินแดนเล็กๆ กระจิ๊บกระจ้อยร่อยกลับมีอยู่สองสามแห่ง ต่างมีไม่ถึงพันคน ไม่ได้ส่งผลคุกคามต่อพวกเรา เพียงแต่พี่น้องที่อยู่ข้างหน้ารายงานกลับมาว่านอกรัศมีพวกเราไปหกร้อยลี้ มีดินแดนชนเผ่านอกด่านขนาดมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าชื่อถ่า ได้ยินว่าเป็นหนึ่งในดินแดนที่สูงส่งมากที่สุดแห่งหนึ่งของทูเจวี๋ย ขนาดยามเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีคนถึงแสนกว่าคน ชนเผ่านอกด่านที่บุกโจมตีเฮ่อหลานซานอยู่แนวหน้าส่วนใหญ่ก็เคลื่อนย้ายมาจากดินแดนนี้ ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีอยู่สองสามหมื่นคนได้”
“ชื่อถ่านี้ข้ารู้จัก” หูปู้กุยพูดต่อ “อ๋องซ้ายทูเจวี๋ยปาเต๋อหลู่มาจากดินแดนชื่อถ่า ดินแดนนี้มีชายฉกรรจ์จำนวนมาก ชอบกินเนื้อดิบมากที่สุด ห้าวหาญดุร้าย ได้รับสมญานามว่าเป็นดินแดนที่แข็งแกร่งมากที่สุดบนทุ่งหญ้า”
หลินหว่านหรงโบกมือ “ระยะห่างหกร้อยกว่าลี้ ช่องว่างนี้เพียงพอให้พวกเราปรับเปลี่ยนแก้ไข ชื่อถ่านั่นยังไม่ใช่เป้าหมายของเรา ตอนนี้สิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุดก็คือเอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลิน พี่หู เจ้าเฮ่อหลี่เย่นั่นจัดการเรื่องของเราเป็นอย่างไรบ้าง?!”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้หูปู้กุยก็ชูนิ้วโป้ง หัวเราะฮิฮะแล้วตอบว่า “น้องเกา ฝีมือการใช้ยาช่างสมคำร่ำลือ เจ้าเฮ่อหลี่เย่นั่นล้มอยู่นอกเขตแดนฮาเอ่อร์เหอหลิน ผ่านไปได้ไม่เกินครึ่งชั่วยามก็ถูกเจ้าพวกชนเผ่านอกด่านพบเห็นแล้ว”
“จริงหรือ?!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความยินดียิ่ง “เช่นนั้นพวกมันเห็นดาบทองกับจดหมายสั่งเสียหรือไม่?!”
หูปู้กุยส่ายหน้าพลางทอดถอน “ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เห็นภาพนั้นกับตา ชาวทูเจวี๋ยพอเห็นดาบทองกับจดหมายสั่งเสียก็ตื่นเต้นราวกับบิดาสิ้นชีวิตอย่างนั้น พวกมันจัดกระบวนทัพกันทั้งคืน นำหญ้าเสบียงมาเพียงพอ ชนเผ่าสองดินแดนรวมได้หกเจ็ดพันคน ออกเดินทางอย่างเอิกเกริกตั้งแต่เช้าตรู่แล้วขอรับ”
หกเจ็ดพันคน?! หลินหว่านหรงตกตะลึงพรึงเพริดจนอับจนคำพูด เมื่อเป็นเช่นนี้ชายฉกรรจ์ของสองดินแดนนี้ไม่ใช่ยกออกมาหมดเลยหรือ? เพราะอะไรถึงทำให้พวกมันร้อนใจขนาดนี้ แม้แต่ครอบครัวก็ไม่สน?
สาวน้อยทูเจวี๋ย…อวี้เจีย!
ทั้งสามคนต่างมองหน้าสบตากัน สูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าไปพร้อมกัน!