ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 562 ไปสถานที่อันลึกลับแห่งหนึ่ง
เสน่ห์ของสาวน้อยทูเจวี๋ยช่างไม่ธรรมดาเสียเหลือเกิน พอดาบทองนั้นปรากฏ เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินสองดินแดนนี้กลับออกมากันหมด พลังในการเรียกระดมคนของอวี้เจียอยู่เหนือจินตนาการของทุกคน
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นเมื่อคืน หลินหว่านหรงจึงถามด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่หู ท่านความรู้กว้างขวาง ท่านลองว่ามาสักหน่อยเถิด หากบนตัวชาวทูเจวี๋ยสักลายหมาป่าทอง นั่นมันจะมีความหมายว่าอย่างไร?”
“รอยสักหมาป่าทอง?!” หูปู้กุยครุ่นคิดอยู่นาน ขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าอย่างแช่มช้า “ตามที่ข้ารู้มา หัวหน้าหรือขุนนางผู้สร้างความดีความชอบของแต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่านล้วนชอบสักลายหมาป่า ตำแหน่งนั้นอยู่ที่หน้าอก แผ่นหลัง ข้อมือ หรือแม้กระทั่งหน้าผาก แสดงถึงความเ**้ยมหาญดุร้าย สูงส่งหาใดเปรียบ ช่วงหลายปีนี้สู้รบกับชนเผ่านอกด่าน หมาป่าเขียว หมาป่าเทา หมาป่าดำข้าล้วนเห็นมาหมดแล้ว มีแค่ไม่เคยเห็นรอยสักหมาป่าทองเท่านั้นขอรับ”
หมาป่าทองตรงหน้าอกอวี้เจียย่อมต่างจากหมาป่าเขียวหมาป่าเทาพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง นี่นเป็นสัญลักษณ์ของสถานะที่สูงส่งยิ่งกว่าอย่างหนึ่ง นี่ไม่ค่อยต่างจากการคาดเดาของหลินหว่านหรงเท่าใดนัก ทว่าสถานะที่แท้จริงของอวี้เจียยังคงเป็นปริศนา โชคดีที่การไปราชธานีทูเจวี๋ยคราวนี้หนทางอีกยาวไกล เขามีเวลาที่จะขุดความลับของสาวน้อยทูเจวี๋ยอย่างเต็มที่
เหล่าเกาพูดกดเสียงต่ำ “จะไปสนหมาป่าดำหมาป่าทองทำไมกัน พวกเราจัดการให้หมดก็สิ้นเรื่องแล้ว น้องหลิน ชายฉกรรจ์จากเอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินออกมากันหมด มุ่งตรงไปยังสถานที่ที่พวกเราตั้งค่ายเมื่อคืนนี้ ภายในดินแดนนั้นว่างเปล่ายิ่งนัก พวกเราจะลงมืตอนนี้เลยหรือไม่?!”
“ไม่ต้องใจร้อน” หลินหว่านหรงโบกมือด้วยท่าทีเรียบเฉย “รอให้พวกเราไปไกลแล้วจริงๆ และหน่วยลาดตระเวนข้างหน้ากลับมารายงานข่าวแล้ว พวกเราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย พี่หู ท่านสั่งการลงไป ทัพใหญ่ให้สวมชุดเบา มุ่งหน้าเข้าสู่ทุ่งหญ้าต่อไป หากปราศจากคำสั่งข้า ใครก็ห้ามหยุด”
“รับบัญชา!” หูปู้กุยผงกศีรษะ รีบรุดไปจัดการ
จัดการกลบร่องรอยการก่อไฟหุงหาอาหารและตั้งกระโจมเมื่อคืนจนหมดสิ้น เมื่อไม่พบพิรุธอันใดอีก หลินหว่านหรงถึงโบกมือ ทหารห้าพันนายควบม้าออกเดินทาง มุ่งตรงไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้า
ยิ่งเดินทางเข้าไปก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างและกว้างใหญ่ได้ ทอดสายตามองไปมีแต่ฟ้าสีครามเมฆสีขาว บุปผาส่งกลิ่นหอมหญ้าเขียวขจี ทำให้จิตใจของคนอดที่จะสดชื่นปลอดโปร่งไม่ได้ เดินทางอยู่ท่ามกลางผืนฟ้าและแผ่นดิน คนเราก็เล็กกระจ้อยร่อยและอ่อนแอถึงเพียงนั้น คล้ายเมล็ดพืชในห้วงมหรรณพเมล็ดหนึ่ง
เมื่อทอดสายตามอง ณ สถานที่บรรจบของพื้นฟ้าและผืนแผ่นดินที่อยู่ไกลลิบ ทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่พี่สาวอันเคยพูดไว้เมื่อคืน “ทุ่งหญ้านี่ก็คือสวรรค์ของพวกเรา” ถ้อยคำยังคงอยู่ข้างใบหู ทว่าคนงามกลับไร้ร่องรอย สองตาของเขาเปียกชื้นโดยไม่อาจจะทนได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เดินทางท่องสวรรค์ทุ่งหญ้าแห่งนี้ร่วมกับพี่สาวอันอีก
แม้จะอยู่ระหว่างการเดินทัพ ทว่าหน่วยลาดตระเวนกลับส่งออกไปอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวของเอ๋อจี้น่ากับฮ่าเอ่อร์เหอหลินจะมีม้าเร็วกลับมารายงานทุกหนึ่งชั่วยาม ม้าสายสืบของชนเผ่านอกด่านเองก็ขยายขอบเขต ตามหาร่องรอยของชาวต้าหัวไม่หยุดเช่นกัน เพียงแต่น่าเสียดาย หลินหว่านหรงกลับอ้อมฮาเอ่อร์เหอหลิน เดินหน้านำทัพมุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้าโดยตรง กลับเดินอ้อมเป็นเส้นโค้ง เดินย้อนศรกับชาวทูเจวี๋ย นี่เป็นสิ่งที่ชนเผ่านอกด่านคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง
“พี่หู ตอนนี้พวกเราอยู่ห่างจากฮาเอ่อร์เหอหลินเท่าใด?” เดินทางรวดเดียวสามชั่วยาม จวบจนเที่ยงไปแล้วถึงค่อยๆ พักเท้า ยามเที่ยงของต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดสาดส่องตรงลงมาบนทุ่งหญ้า อบอุ่นสบาย เนื่องจากเดินทางรอนแรมรีบร้อน นายทหารทุกคนต่างหลั่งเหงื่อโซมกายตั้งแต่แรก ใบหน้าแดงก่ำ กลับเป็นหลินหว่านหรงที่มีสีหน้าท่าทางเป็นปกติ ชุดที่พี่สาวอันมอบให้เขาไม่รู้ทำมาจากวัสดุอะไร เย็นสบายระบายอากาศยิ่งนัก เดินทางนานขนาดนี้กลับไม่เห็นเหงื่อสักหยดเดียว
เหล่าหูลูบหน้าผาก สะบัดเหงื่อซึ่งถูกย้อมเป็นสีดำทิ้งไป พูดพลางหอบหายใจหนักๆ ว่า “ท่าทางจะอยู่ออกไปสองร้อยลี้ เมื่อคำนวณจากการเดินเท้าของชนเผ่านอกด่านพวกนั้น ตอนนี้พวกมันน่าจะอยู่ห่างจากฮาเอ่อร์เหอหลินสามร้อยกว่าลี้ได้ขอรับ”
“ดี” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พี่หู ถ่ายทอดลงไป ให้พี่น้องทั้งหมดหยุดการเดินหน้า จัดกระบวนอยู่กับที่ สั่งการเพิ่มเป็นพิเศษอีกประโยคหนึ่ง ตอนนี้พวกเราอยู่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้า ห่างจากชื่อถ่าแค่สี่ร้อยลี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าม้าสายสืบของชนเผ่านอกด่านกำลังเคลื่อนไหวอยู่โดยรอบ พวกเราต้องเพิ่มความระวังป้องกัน ทุกคนห้ามส่งเสียงเอะอะ ยิ่งห้ามก่อไฟหุงหาอาหาร อนุญาตแค่ดื่มน้ำสะอาด กินอาหารแห้ง และพักผ่อนอยู่กับที่เท่านั้น”
เกาฉิวทอดสายตามองโดยรอบ เห็นว่าสภาพภูมิประเทศบริเวณนี้เปิดโล่งกว้าง แม้แต่จัดวางหน่วยยามลับก็ยังยาก เหมาะแก่การบุกทะลวงของทหารม้าพอดี ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าด้วยความกังขา “น้องหลิน ยังห่างจากช่วงฟ้ามืดอีกสักระยะหนึ่ง เหตุใดถึงหยุดทัพตอนนี้?! พวกเราจะค้างแรมที่นี่หรือ?!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้า เงียบงันไม่เอ่ยวาจา เขาเงยหน้าทอดสายตามองออกไปไกลๆ ทิศทางนั้นกลับเป็นที่ตั้งของฮาเอ่อร์เหอหลินพอดี หูปู้กุยคิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงถามเสียงเบาว่า “ท่านแม่ทัพ คืนนี้จะโจมตีตลบหลังแล้วหรือขอรับ?!”
หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมา “เวลาไม่รอข้า ตอนนี้ไม่อาจรอข่าวจากคุณหนูสวีแล้ว ไม่ว่าเฮ่อหลานซานทางนั้นจะเป็นเช่นไร พวกเราก็ต้องไปราชธานีทูเจวี๋ย แม้จะแค่ประทับรอยเท้าเพียงข้างเดียว แต่นั่นก็คือรอยเท้าของชาวต้าหัวเรา เป็นการสร้างความสะเทือนขวัญแก่ชนเผ่านอกด่านมากที่สุด ให้พวกมันไม่กล้าดูถูกหัวเซี่ยอันเกรียงไกรของพวกเราอีก พี่หู นี่อาจเป็นเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายเส้นทางหนึ่ง ท่านกลัวหรือไม่?!”
เหล่าหูอึ้ง ทันใดนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังออกมา “ข้ากลัวอะไรกัน! เข่นฆ่าไปจนถึงรังของชนเผ่านอกด่านได้ นั่นถือเป็นความฝันของทหารชาวต้าหัวผู้ปกบ้านป้องเมืองทุกคน ต่อให้ตาย ข้าก็หัวเราะแล้วตายขอรับ!”
หลินหว่านหรงมองเกาฉิวที่อยู่ข้างกายหลายครั้ง “พี่เกา ท่านล่ะ?!”
“นี่ยังต้องมาถามข้าอีกหรือ?!” เกาฉิวหัวเราะร่วน “นับตั้งแต่ติดตามน้องหลิน ข้าก็สู้อย่างเบิกบานใจ ฆ่าก็สะใจ เรื่องดีขนาดนี้จะไปหาที่ไหนได้อีก? ไปเดินเล่นที่ราชธานีทูเจวี๋ยก็ดีมากเช่นกัน จะได้จับตัวสาวๆ มาสักสองคน เหล่าหูคนหนึ่ง ข้าคนหนึ่ง! ตายก็ต้องตายที่หน้าท้องของสาวๆ ชาวทูเจวี๋ย”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครา สายตาลุ่มลึก ทอดมองออกไปไกล “พี่หู พี่เกา อย่าพูดเรื่องความเป็นความตายออกมาโดยง่าย พวกเรายังมีอีกตั้งหลายอย่างที่ยังไม่ได้ไปเสพสุขอยู่นะ ที่บ้านข้ามีเมียคนดีหลายคนอย่างชิงเสวียน เฉี่ยวเฉี่ยว เซียนเอ๋อร์ที่กำลังรอข้าอยู่ บนยอดเขาเขียนเจวี๋ยมีนางเซียนหนิงที่อยู่อย่างอ้างว้างเดียวดาย เผ่าแม้วยังมีพี่สาวอันที่เหมือนนางจิ้งจอก ข้ารับปากนางแล้วว่าจะต้องบุกเผ่าแม้วอย่างหาญกล้า ร่วมท่องเที่ยวสวรรค์ทุ่งหญ้ากับนางอีกครั้ง ด้วยเหตุผลทั้งหมดก็จะตายไม่ได้ ห้ามตายเด็ดขาด! พวกเราทุกคนต้องมีชีวิตรอดกลับมา”
เขากำหมัดแน่น พ่นลมหายใจยาวๆ คล้ายให้กำลังใจทุกคน น้ำเสียงแน่วแน่นั้นแข็งแกร่งดั่งศิลา หูปู้กุยเกาฉิวได้รับอิทธิพลจากเขา กำสองมือแน่นพร้อมกัน “พวกเราต้องมีชีวิตรอดกลับมา!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ดี ถ่ายทอดลงไป ประกระบวนทั้งกองทัพ ป้อนน้ำม้าศึกให้เพียงพอ ตรวจสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ เตรียมน้ำสะอาดและอาหารแห้งให้เรียบร้อย ยามตะวันตกดินพวกเราจะออกเดินทาง”
การตัดสินใจนี้ถ่ายทอดลงไปอย่างเงียบงัน ทุกคนต่างเงียบสงัดเคร่งขรึม นายทหารทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าศึกในค่ำคืนนี้จะเป็นการเริ่มต้นครั้งใหม่ เบื้องหน้ายังมีเส้นทางรบที่โหดร้ายทารุณมากยิ่งขึ้นกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ ไม่มีใครหัวหดหวาดกลัว กระทั่งว่ายังแอบตื่นเต้นและตั้งตารอเสียด้วยซ้ำ นับตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่ล่วงเข้าสู่ทุ่งหญ้า ความเป็นความตายก็ไม่ใช้ปัญหาที่พวกเขาต้องขบคิดอีกแล้ว
หลินหว่านหรงมองตรวจตราภายในกระบวน ตรวจสอบอาวธยุทโธปกรณ์และเสบียงของนายทหารทุกคนอย่างละเอียด ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย ศึกในคืนนี้ไม่รู้ว่าการเติมเสบียงครั้งถัดไปจะมีขึ้นเมื่อไหร่ เตรียมเพิ่มอีกสักส่วนหนึ่งก็มีความหวังขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
เมื่อกลับมายังข้างม้าศึกของตน กลับเห็นว่าบนม้าที่อยู่ข้างกาย สาวน้อยทูเจวี๋ยถูกมัดอย่างแน่นหนา เรือนผมยาวดำขลับงดงามแผ่สยายลงมาดั่งเมฆา ปิดบังใบหน้าอันงดงามของนางไว้ อวี้เจียพาดนอนอย่างสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน อกงามอันอวบอิ่มนั้นขยับขึ้นลงเป็นระยะ ก่อเกิดระลอกคลื่นอันงดงาม
“คุณหนูอวี้เจีย เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?!” หลินหว่านหรงปลดเชือกที่มัดนาง วางนางลงจากม้า กล่าวพลางยิ้มเยาะ
อวี้เจียถูกมัดมานาน เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก พอสัมผัสพื้นสองขาก็อดสั่นเทาไม่ได้ ล้มอ่อนยวบลงไป
หลินหว่านหรงเข้าไปประคองนาง แต่สาวน้อยทูเจวี๋ยกลับยกมือขึ้นปัดฝ่ามือของเขาออกไปอย่างแรง อวี้เจียกัดฟันกรอดร่างสั่นเทา ประคองหลังม้าอย่างดื้อดึง ค่อยๆ ยืนอย่างมั่นคง นางเชิดหน้าโดยไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว ดวงตาสาดประกายร้อนแรงไม่ยอมคน
หลินหว่านหรงมองนางแวบหนึ่งก็ตกใจยกใหญ่ทันที เพียงแค่คืนเดียวสาวน้อยคนนี้เหมือนซูบผอมลงไปมาก ริมฝีปากสีแดงสดซีดลงเล็กน้อย ดวงหน้ากระจ่างใสประดุจหยกปราศจากรอยยิ้ม มีเพียงนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นที่ส่องประกายร้อนแรง พิสูจน์ว่านี่ยังเป็นอวี้เจียที่ยังมีชีวิตอยู่!
แม้ทั้งสองฝ่ายจะเป็นศัตรูกัน แต่เมื่อดูจากเพศแล้ว สตรีผู้ดื้อดึงคนนี้ควรแค่แก่การนับถือจริงๆ หลินหว่านหรงทอดถอนใจเงียบๆ
สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาด้วยแววตาเย็นชา “เจ้าคิดจะพูดอะไรกับข้า ชาวต้าหัว? หรือว่าเจ้ายังลบหลู่ข้าไม่พอ?”
ชุดของอวี้เจียถูกอันปี้หรูฉีกทำลายไปนานแล้ว สิ่งที่คลุมอยู่บนนร่างนางกลับเป็นชุดเก่าที่หลินหว่านหรงเคยสวมใส่ ทั้งยาวทั้งใหญ่ หลวมโพรก ห่อหุ้มเรือนกายอันงดงามของนางอยู่ข้างใน กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
“คุณหนูอวี้เจีย บางทีเจ้าอาจจะไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนว่าถูกจับตัวเป็นประกัน” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบๆ “ลองคิดดูสิว่าหากสหายร่วมชาติของข้าตกอยู่ในเงื้อมมือชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าจะมีจุดจบเช่นไร?! แล้วลองดูสภาพของเจ้าในตอนนี้…บางที เจ้าคงต้องขอบคุณเทพแห่งทุ่งหญ้าให้ดีแล้วล่ะ เป็นนางที่คุ้มครองให้เจ้าปลอดภัยไม่สึกหรอมาจนถึงตอนนี้!”
สายตาของเจ้าโจรคนนี้เย็นวาบดั่งก้อนน้ำแข็ง บนใบหน้าดำผุดรอยยิ้มหยันดูแคลน ทว่ากลับรู้สึกสูงส่ง น่างเกรงขาม อวี้เจียเหม่อลอย รีบส่ายหน้า กล่าวด้วยโทสะออกมาว่า “อย่าเอาดีใส่ตัวเลย ที่เจ้าเก็บข้าไว้ก็แค่เพื่อใช้ประโยชน์จากข้าเท่านั้น นึกว่าข้าไม่รู้หรือ?”
หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “น้องสาว ความฉลาดของเจ้าช่างล้ำเลิศเสียจริงนะ มิน่าพี่สาวอันถึงชมเจ้าไม่ขาดปาก!”
เมื่อเอ่ยถึงสตรีที่แปลกประหลาดราวกับนางจิ้งจอก ใบหน้าของอวี้เจียพลันเผยความเจ็บปวดอย่างล้ำลึกทันที นางกำหมัดแน่น ราวกับกำลังสร้างกำลังใจให้ตัวเอง พูดพึมพำออกมาว่า “ข้าไม่กลัวนาง ข้าไม่กลัวนางข้าต้องเอาชนะนางได้แน่!”
หลินหว่านหรงหัวเราะพรวด ฝีมือของพี่สาวอันไม่เพียงใช้ได้ผลกับข้า แสนยานุภาพที่มีต่อเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ก็ไม่อาจดูแคลนได้เลยนะ
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเขา อวี้เจียถลึงตากใส่เขาด้วยความโมโห รอยริมฝาปกสีแดงสดบนแก้มทั้งสองข้างของโจรหน้าดำช่างเตะตา เหมือนดอกไม้ดอกน้อยที่ผลิบานสองดอก นางกัดฟันกรอด เบือนหน้าไปพร้อมยิ้มหยัน “พี่สาวอาจารย์ของเจ้าล่ะ เหตุใดไม่เห็นแล้ว? เมื่อคืนเจ้าไม่ได้ยินดีมากหรืออย่างไร ถูกคนเขาทิ้งแล้วยังมีความสุขขนาดนี้อีก ช่างเป็นชาวต้าหัวที่ไร้ความห้าวหาญอย่างหายากบนโลกนี้เสียจริง!!”
“ทิ่มแทงจุดเจ็บปวดข้าอีกแล้วนะ ระวังว่าข้าจะฉีกเสื้อเจ้าล่ะ!” หลินหว่านหรงหัวเราะแปลกประหลาดหลายครั้ง ทำท่าว่าจะคว้าตัวของนาง
สาวน้อยทูเจวี๋ยร้องอ๊ะด้วยความตกใจ กอดอกแน่น หน้าซีดราวกับกระดาษ เหมือนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนขึ้นมาได้ กับฝีมืออันรุนแรงของพี่สาวอัน นางก็เหมือนหลินหว่านหรง ต่างรับรู้อย่างลึกซึ้ง
หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ก็อย่างที่ว่า คนรักทั้งสองหากเมื่อนานวันเข้าเหตุใดต้องอยู่แค่การลูบๆ คลำๆ ทุกเช้าค่ำด้วยเล่า? ความรักของข้ากับพี่สาวอันเหมือนคนดื่มน้ำ เย็นหรืออบอุ่นต่างรู้กันเอง เจ้าเป็นคนนอกจะมองเข้าใจได้อย่างไร?! ช่างเถอะ ไม่มาถกเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับเด็กพวกนี้กับเจ้าแล้ว น้องสาวเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าจะบอกข่าวดีอย่างยิ่งให้เจ้าอย่างหนึ่ง…”
เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ สองมือออกแรงทำท่าทางเป็นวงกลมวงใหญ่ อวี้เจียเห็นแล้วก๊อกสั้นขวัญแขวน “ข่าว ข่าวอะไร?!”
หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะอย่างลามก “ข้าเลือกทหารที่กำยำแข็งแรงให้เจ้าหลายคนแล้ว มีทั้งเอ๋อจี้น่า ทั้งฮาเอ่อร์เหอหลิน พวกมันแต่ละคนล้วนห้าวหาญบึกบึน กำลังวังชาดั่งหมาป่า อีกไม่นานก็จะตามมาพบเจ้าแล้ว…”
อวี้เจียผู้นั้นฉลาดล้ำเลิศ พอได้ยินก็ทั้งร้อนใจทั้งตกใจทันที “เจ้า เจ้าใช้ดาบทองของข้า?! ชาวต้าหัวผู้ต่ำช้า! อัวเหล่ากง ข้าแค้นเจ้า เจ้าฆ่าข้าเถอะ!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยร้องไห้เจ็บปวดออกมาโดยไม่อาจสะกดกลั้น น้ำตาพร่างพรูราวสายฝน ท่าทางเจ็บปวดเช่นนั้นราวกับดาบทองนี้คือชีวิตของนาง
ก็แค่ดาบสับปะรังเคเล่มหนึ่งเองนี่นา? มีแค่ชาวทูเจวี๋ยอย่างพวกเจ้านี่ล่ะที่เห็นมันเป็นของล้ำค่า หลินหว่านหรง เบะปากอย่างดูแคลน
แสงตะวันริมขอบฟ้าดั่งโลหิต อาบไล้ท้องฟ้าของทุ่งหญ้าจนเป็นสีแดงฉานอันวังเวง หูปู้กุยที่อยู่ทางนั้นห้อตะบึงมาอย่างเร็วรี่ พูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ทัพ เกือบได้เวลาแล้วขอรับ”
หลินหว่านหรงรับคำเรียบๆ คราหนึ่ง “ให้ทุกคนรอ ทิ้งของหนักทั้งหมด พกแค่ดาบอาวุธ เสบียงเท่านั้น เป้าหมายคือฮาเอ่อร์เหอหลิน ออกเดินทาง!”
“ออกเดินทาง!” หูปู้กุยโบกมือ ทหารห้าพันนายหวดแส้ม้าอย่างพร้อมเพรียง เสียงฝีเท้าม้าคมชัดดังกึกก้อง ฝุ่นดินคละคลุ้งเต็มท้องฟ้า สะท้อนแสงตะวันตกดินสีสดใส ค่อยๆ เลือนลับไปกับขอบฟ้า
“พวก พวกเจ้าจะไปที่ใด?!” อวี้เจียถูกโยนขึ้นหลังม้า ร่ำไห้พลาเอ่ยถามด้วยความตกใจ
หลินหว่านหรงพลิกตัวขึ้นม้า ยิ้มแย้มเล็กน้อย “ไปสถานที่อันลึกลับแห่งหนึ่ง บางทีอาจเป็นที่ที่เจ้ามุ่งหวังมานานแล้วก็ได้!”