ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 563 - 1 เฮ่อหลานซานไม่มีวันล้มตลอดกาล
ท้องฟ้าของทุ่งหญ้าบทจะเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนแปลงราวกับใบหน้าของเด็กน้อย
ก่อนออกเดินทาง เห็นชัดว่ายังเป็นฟ้าแจ้งยามอาทิตย์อัสดง พอเดินทางไปได้สักระยะหนึ่งกลับค่อยๆ มีฝนตกโปรยปรายลงมา ฝนตกบนทุ่งหญ้าต่างจากที่ราบ มันปราศจากหุบเขาและทิวเขาสูงชันคอยกำบัง สายฝนประดุจต้นเสา ตกกระทบใบหน้าหน้าคนตรงๆ เจ็บปวดยิ่งนัก ลมหนาวบนทุ่งหญ้าก็ยิ่งปราศจากทิศทางที่แน่นอน ขู่คำรามอย่างโหดร้ายอุกอาจ บังคับให้สายฝนแกว่งไกวไปมา บางครั้งก็ไปทางทิศตะวันออก บางครั้งก็ตะวันตก ทุ่งหญ้าอันเงียบสงัดมืดครึ้มขมุกขมัว ราวกับปกคลุมด้วยผ้าม่านหนาชั้นหนึ่ง ครอบสีเขียวขจีของผืนแผ่นดินให้อยู่ในไอหมอก
นี่เป็นฝนครั้งแรกหลังจากล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า ไม่เร็วไม่ช้า ดันตกมาในช่วงเวลานี้พอดี ทำให้หลินหว่านหรงได้รับทราบถึงพลานุภาพของสวรรค์
น้ำฝนทำให้กีบเท้าม้าเปียกชุ่ม หญ้าเขียวขจีส่องประกายหยดน้ำและโคลน ความเร็วในการเดินทางของม้าศึกไม่อาจไม่ลดทอนลงได้ เหล่านายทหารมุ่งหน้าฝ่าฝน อาภรณ์บนร่างเปียกชุ่มโชกจนหมดสิ้น เมื่อทอดสายตามองไกลๆ ขบวนไพร่พลนี้ก็เหมือนเมฆาที่ขยับเคลื่อนที่ไม่หยุดท่ามกลางหมอกฝน ทั้งรวดเร็วและเป็นระเบียบ
“กีบเท้าลื่น ส่งผลต่อความเร็วในการเดินทาง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าพรุ่งนี้เช้าตรู่ถึงจะไปถึงฮาเอ่อร์เหอหลินขอรับ” หูปู้กุยมองท้องฟ้า เช็ดน้ำฝนที่ไหลพร่างพรูบนใบหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกังวล
นี่เรียกว่าสวรรค์ไม่สนับสนุน หลินหว่านหรงคำนวณทุกสิ่งอย่างแม่นยำได้ มีแค่อารมณ์ของสวรรค์นี้เท่านั้นที่เขาไม่อาจคาดเดาล่วงหน้า เขาอดถอนหายใจไม่ได้ “พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออก ฝนตกทิศตะวันตก สิ่งที่ข้าเป็นห่วงตอนนี้ก็คือพวกเราทางนี้ฝนเทลงมาเป็นห่าใหญ่ ส่วนทัพผสมระหว่างฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่า เส้นทางการเดินทัพของพวกมันกลับท้องฟ้าโปร่งสดใส ถ้าเป็นแบบนี้ความเร็วของพวกมันก็จะเร็วกว่าเราไม่น้อย หากพวกมันไปถึงต๋าหลานจาแล้วไม่พบร่องรอยของพวกเราจะต้องย้อนกลับมาอย่างรวดเร็วแน่ นำดันเรือได้ แต่ก็คว่ำเรือได้เช่นกัน เพื่ออวี้เจีย ชนเผ่านอกด่านเดินทางมาช่วยเหลือหามรุ่งหามค่ำได้ และย้อนกลับหามรุ่งหามค่ำเพื่อนางได้เช่นกัน ในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบฝ่ายหนึ่งได้เปรียบเช่นนี้ หากไม่ระวังพวกเราก็จะถูกพวกมันกัดเอาได้”
ความกังวลของหลินหว่านหรงไม่ใช่จะไร้เหตุผล พยายามครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อล่อให้ชายฉกรรจ์หลายพันคนจากเอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินออกมาก็เพื่อฉวยโอกาสนี้ลอบโจมตี เข้าสู่อี้อู๋อย่างราบรื่น ฝนห่าใหญ่ที่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ กลับมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเสียข้อได้เปรียบนี้ไป ครั้นถูกชนเผ่านอกด่านกัดเป็นแม่นมั่น พวกเขาก็ยากจะหลุดรอดแล้ว
หูปู้กุยผงกศีรษะอย่างแรง “ท่านแม่ทัพกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก พวกเราทางนี้ฝนตก ต๋าหลานจาทางนั้นกลับเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะฟ้าแจ้งจางปาง สภาพอากาศผีสางบนทุ่งหญ้าก็คือใบหน้าของเด็กทารก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงอีกเมื่อไหร่ ตอนนี้หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ข้างหน้ายังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าทางนี้นมีสถานการณ์เช่นไรกันแน่”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? จะรุกหรือจะหยุด?!” เกาฉิวถามด้วยความกังวลอย่างยิ่ง
“หยุดไม่ได้” หลินหว่านหรงกล่าวอย่างแน่วแน่ “ตอนนี้คือสู้กันเรื่องความต่างของเวลา โอกาสของเรากับชนเผ่านอกด่านก็จะเสมอกัน หากตอนนี้หยุดการมุ่งหน้า เมื่อชนเผ่านอกด่านซึ่งถูกเคลื่อนย้ายออกมากลับสู่ดินแดน ความพยายามทั้งหมดของพวกเราก็จะสูญเปล่า หากคิดจะยึดเอ๋อจี้น่า เข้าสู่อี้อู๋ รุกคืบเข้าไปใกล้ราชธานีทูเจวี๋ย ไม่รู้ว่าต้องถึงเมื่อไหร่ พี่หู ท่านเห็นว่าอย่างไร?!”
หูปู้กุยผงกศีรษะพร้อมตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าสนับสนุนความเห็นของท่านแม่ทัพ โอกาสอันดีที่สวรรค์ประทานมาให้นี้ พวกเราไม่อาจพลาดไปได้ ในเมื่อจะรบ เช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องที่ไม่ต้องเสี่ยงขอรับ”
“ดี” หลินหว่านหรงออกแรงโบกมือ “สั่งการพี่น้องทุกคน ห้ามทะนุถนอมม้า สิ่งที่พวกเราต้องการตอนนี้ก็คือความเร็ว ม้าศึกกับหญ้าเสบียงรอให้ยึดเอ๋อจี้น่าได้แล้วค่อยเติม”
สามคนตัดสินใจแน่วแน่ จากนั้นก็ปราศจากการชักช้าอีกต่อไป นำพาทหารห้าพันนายมุ่งหน้าฝ่าฝน การเคลื่อนทัพบนทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ที่มืดมิดไร้ตะวันเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือทิศทาง เพื่อป้องกันการหลงทางและหลุดขบวน หูปู้กุยซึ่งมีประสบการณ์บนทุ่งหญ้ามากที่สุดจึงนำหน้า ส่วนเกาฉิวรั้งท้ายเพื่อคุมขบวน สามคนแยกกันทำงาน มุ่งหน้าไปฮาเอ่อร์เหอหลิน รถม้าที่มีเพียงหนึ่งเดียวในกองทัพเหลือไว้ให้หลี่อู่หลิง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาอันทุกข์ยากลำบากเช่นไร พวกเขาล้วนไม่มีวันละทิ้งพี่น้องของตัวเอง
ฝนตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าดินปกคลุมด้วยไอหมอก ยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า แต่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวก็มองรูปโฉมของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนแล้ว อาชาใต้ร่างลื่นอย่างต่อเนื่อง ทุ่งหญ้าซึ่งแต่เดิมว่าง่ายกลายเป็นบ้าคลั่งรุนแรงภายในชั่วพริบตา นอกจากสาปแช่งสวรรค์แล้ว หลินหว่านหรงก็ทำได้แค่ยิ้มขื่นเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเดินทางนานเท่าใด เสื้อผ้าบนร่างล้วนชุ่มโชก น้ำฝนเย็นไหลจากคอไปถึงหน้าอก ให้ความรู้สึกเย็นเยียบ หลินหว่านหรงอดหนาวสั่นสะท้านไม่ได้ เหลือบมองไปทางม้าศึกที่อยู่ด้านข้าง สาวน้อยทูเจวี๋ยเสื้อผ้าเปียกโชกไปหมด แนบชิดกับร่างกาย เรือนร่างอันงดงามกอปรด้วยส่วนโค้งส่วนเว้าขยับขึ้นลงสูงต่ำนั้นราวกับทัศนียภาพแห่งเฮ่อหลานซานที่แผ่ทอดยาวออกไป น้ำฝนทำให้ผมนางเปียก กลายเป็นสายน้ำไหลอันกระจ่างใสเป็นสายสาย ค่อยๆ ไหลรินลงมาจากแก้มนาง อวี้เจียหน้าขาวซีด สองตาปิดสนิท เรือนกายอันอรชรสั่นเทาเล็กน้อยท่ามกลางลมฝนอันโหดร้าย คล้ายหญ้าน้อยที่อ่อนแอไม่อาจต้านทานลมต้นหนึ่ง
สวรรค์นั้นยุติธรรม อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน ลมหนาวน้ำค้างและหยาดฝนไม่เพียงข่มขวัญชาวต้าหัว ขณะเดียวกันก็ข่มขวัญชาวทูเจวี๋ยด้วยเช่นกัน
ต่างเป็นคนเป็นๆ รบกันไปมาแบบนี้ ที่แท้มันเพื่ออะไรกันแน่นะ หลินหว่านหรงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ เขาหยิบเสื้อตัวยาวออกมาจากห่อผ้า นี่เป็นชุดที่เฉี่ยวเฉี่ยวตัดเย็บให้เขากับมือ หลังจากลดสัมภาระครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เป็นหนึ่งในสัมภาระไม่กี่ชิ้นที่เขาเหลืออยู่แล้ว
ร่างกายอันหนาวเย็นมีความอบอุ่นส่งผ่านมา อวี้เจียลืมตาขึ้น เห็นว่าบนร่างอันเปียกชุ่มของตนมีเสื้อคลุมตัวยาวตัวใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แฝงกลิ่นหอมจาง ๆ เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วร่วงหล่นจากท้องฟ้า ตกกระทบลงบนเสื้อคลุมนั้น ประทับเป็นรอยคราบน้ำใหม่
“ข้าไม่ต้องการ…ไม่ต้องการความเมตตาจอมปลอมจากเจ้า!” อวี้เจียเบือนหน้าไปพร้อมพูดออกมาด้วยความเดือดดาล ใบหน้าน้อยแดงก่ำ คราบน้ำตาสองสายไหลลงจากแก้ม ไม่รู้ว่าเป็นน้ำฝนหรือว่าน้ำตา
หลินหว่านหรงเช็ดน้ำฝนบนใบหน้า โบกมือพร้อมกล่าวยิ้มหยัน “ถือเป็นความเมตตาจอมปลอมก็แล้วกัน…ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าจะเรียนรู้ความเมตตาจอมปลอมเช่นนี้บ้าง?!”
น้ำฝนไหลบนใบหน้าดำเขาอย่างเร็วรี่ ผมซึ่งยังหวีและเกล้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยตอนเช้าหลุดกระจายไปตั้งแต่แรก รอยประทับริมฝีปากสีแดงสดสองรอยถูกชะด้วยน้ำฝนจนค่อยๆ เลือนไป คนแช่อยู่ในม่านพิรุณ สภาพดูไม่จืดอย่างบอกไม่ถูก บุคลิกท่วงทีนั้นคล้ายต่างจากก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“เรื่องของชาวทูเจวี๋ยเราไม่ต้องให้เจ้ายุ่ง” สาวน้อยแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง ทว่าเสียงกลับเบาลงไปมากโดยไม่รู้ตัว ด้วยความหนาวเย็น นางมุดร่างเข้าไปในเสื้อคลุมอันแสนจะอบอุ่นตัวนั้นตามสัญชาตญาณ
เมื่อเห็นอวี้เจียซึ่งขดตัวเป็นก้อนด้วยร่างอันสั่นงันงก หลินหว่านหรงก็หัวเราะ ถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยว่า “ชุดมันอุ่นมากล่ะสิ นี่เป็นชุดที่เมียข้าอดหลับอดนอนหลายคืนตัดเย็บขึ้นมากับมือก่อนออกเดินทางมารบ ชาวต้าหัวเรามีประเพณีอย่างหนึ่ง ก่อนนายทหารออกเดินทาง ภรรยากับคนรักจะตัดเย็บชุดใหม่ให้เองกับมือ หวังว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างสวัสดิภาพโดยเร็ววัน เพียงแต่ดวงดาราเคลื่อนคล้อย ฤดูกาลผันผ่าน ผู้กล้าซึ่งรบในสมรภูมินั้นกลับมีสักกี่คนที่ได้หวนคืนอย่างปลอดภัย? สตรีผู้งดงามดั่งบุปผาจำนวนนับไม่ถ้วนต้องรอคอยไปชั่วชีวิต กลายเป็นหินคอยสามีบนภูผาสูง…ความรักความห่วงใยของชาวต้าหัวเรา ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้ายากจะเข้าใจไปตลอดกาล!”
อวี้เจียโมโหทันที “หาใช่ต้าหัวเช่นเจ้าถึงมีบุคคลผู้มั่นคงในรักเช่นนี้ บุรุษและสตรีชาวทูเจวี๋ยเราก็มีความรักความห่วงใยเช่นนี้ คนรักของสตรีทูเจวี๋ยทุกคนต่างรบพุ่งอยู่ในสนามรบ พวกเขาต้องสูญเสียชีวิตเช่นกัน ต้องพรากจากภรรยาและคนรักไปตลอดกาลเช่นกัน!”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงยังต้องก่อสงครามมารดามันด้วย? น่าสนุก?!” หลินหว่านหรงตวาดเสียงดังด้วยโทสะ สองตาแดงฉาน หวดแส้ใส่ม้าที่บรรทุกอวี้เจีย บังเ**ยนของม้าตัวนั้นถูกเขาดึงอยู่ในมือ ดังนั้นจึงทำได้เพียงกู่ร้องออกมา วิ่งวนเป็นวงกลมเท่านั้น แกว่งจนทำให้ร่างของสาวน้อยเกิดเป็นเส้นสายอันงดงามหลายสาย
เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะของหลินหว่านหรง อกงามของอวี้เจียก็ขยับขึ้นลงอย่างเร็วรี่และรุนแรง “อัวเหล่ากง เจ้า เจ้ากล้าด่าดูหมิ่นข้า?!”
“ด่าดูหมิ่นเจ้าถือเป็นผายลมอะไรได้” หลินหว่านหรงหน้าบึ้งกล่าวอย่างดุร้าย “ทำให้ข้าโมโห ข้าจะทำให้เจ้าได้รับรู้ว่าอะไรคือโจรที่แท้จริง! เจ้างามมากใช่หรือไม่ ถอดเสื้อผ้าเจ้าให้เกลี้ยง ให้เจ้างดงามต่อหน้าฝูงหมาป่าบนทุ่งหญ้า ต่อหน้าคนในเผ่าของเจ้า!”
การเปลี่ยนสีหน้าของเจ้าโจรนี่ไม่ธรรมดา เมื่อครู่ยังสนทนาหัวเราะสรวลเสเฮฮาอยู่เลย เพียงชั่วพริบตาก็เต้นผางราวกับลิงซิงซิง[1]แล้ว ระหว่างที่เขาคำรามด้วยโทสะ ดวงตาก็พ่นเปลวเพลิงออกมา ทำให้อวี้เจียอดสะท้านอยู่บ้างไม่ได้เช่นกัน
——
[1] ลิงซิงซิง หมายถึง ลิงอุรังอุตัง