ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 563 - 2 เฮ่อหลานซานไม่มีวันล้มตลอดกาล
นางกัดฟันกรอด ฝืนเชิดหน้าขึ้น “การศึกสงครามก็เพื่อให้คนในเผ่าข้ากับชนรุ่นหลังมีที่ดินที่อุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ให้พวกเขาหลุดพ้นจากสายฝนอันโหดร้ายและสายฝนอันหนาวเหน็บ ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่ง นี่ผิดอะไร?!”
“เพียะ!” หลินหว่านหรงใช้ฝ่ามือฟาดลงบนก้นอันงามงอนของอวี้เจียอย่างแรง เสียงคมชัดนั้นกรีดผ่านลมฝน แพร่ออกไปไกลลิบ
“ผิดอะไร?! ต้องการให้คนในเผ่าเจ้ามีชีวิตที่ดีก็สามารถครอบครองแผ่นดินของผู้อื่น เข่นฆ่าคนชนชาติอื่นได้?!” หลินหว่านหรงโมโหแล้วเช่นกัน ฟาดก้นนางหนักๆ สองครั้ง เสียงเพียะๆ ดังชัดเจน “อันธพาลทั้งโลกคิดจะคร่อมเจ้า แล้วพวกมันจับเจ้ามัด แก้ผ้าเจ้าจนหมด ทำเพื่อระบายความใคร่ได้ด้วยใช่หรือไม่…สมองของเจ้ามันโตออกมาเช่นไร เหตุใดถึงคิดตรรกะของโจรปล้นชิงเช่นนี้ออกมาได้?! ลองเบิกตาเจ้ามองดู สงครามที่เจ้าเริ่ม นอกจากชีวิตที่สูญเสีย โลหิตไหลนองเป็นท้องธารของคนทั้งสองชนชาติแล้ว พวกเจ้ายังได้อะไรอีกบ้าง? ได้แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย? เจ้าลองไปถามคนในเผ่าเจ้าดู ตอนที่พวกเขารบจนตาย อุดมสมบูรณ์ไหม สุขสบายไหม?!…ข้าอยากจะอัดเจ้าจริงๆ!”
คำถามครั้งหนึ่งก็ตีก้นอวี้เจียครั้งหนึ่ง เสียงดังเพียะๆ ทำให้ทุกคนตกใจ นายทหารที่ไปๆ มาๆ อยู่ข้างกายจ้องมองจอมทัพหน้าดำคนนี้ อยากหัวเราะแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะอีก พวกหูปู้กุยสองคนสบตากัน เหล่าเกาผงกศีรษะพร้อมพูดว่า “น้องหลินแสดงอำนาจแล้ว แม่หนูทูเจวี๋ยคราวนี้ลำบากแล้วล่ะ!”
ถูกเจ้าโจรนี่ลบหลู่ ทั้งยังถูกชาวต้าหัวที่ผ่านไปมาชมดูพลางหัวเราะเยาะอีก สาวน้อยทูเจวี๋ยส่งเสียงคราหนึ่ง ใบหน้ากลับแดงโดยพลัน อกงามสั่นสะท้านอย่างรุนแรง นางจ้องมองเขาอย่างดุดัน ใช้เสียงสั่นด้วยอารมณ์โกรธนั้นพูดขึ้นมาว่า “อัวเหล่ากง เจ้าฆ่าข้า ฆ่าข้าเถอะ”
หลินหว่านหรงสะบัดข้อมือที่บวมปวด แรงดีดสะท้อนของก้นนังหนูคนนี้ช่างดีเสียจริง สะเทือนจนข้าขนหัวลุกชัน เขาหัวเราะฮิฮะเย็นชา “ข้าจะฆ่าเจ้าทำไม เจ้าไม่ใช่เอาแต่คิดเพ้อเจ้าว่าจะสยบผู้อื่นหรืออย่างไร?! แต่ข้าจะให้เจ้าดูเสียอย่าง ว่าเจ้ากับคนในเผ่าเจ้าถูกผู้อื่นสยบเช่นไร!”
“พวกเราชาวทูเจวี๋ยไม่มีวันถูกสยบ!” ร่างอวี้เจียดิ้นรนไม่หยุด หยดน้ำฝนตกกระทบบนร่างและใบหน้านาง ภายในดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยแววตาไม่ยอมจำนน
“ไม่มีวันถูกสยบ?!” หลินหว่านหรงยิ้มหยัน แนบชิดใบหน้านางอย่างแช่มช้า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ามองตาข้า”
สาวน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัว สบกับดวงตาสีดำขลับของหลินหว่านหรงเข้าพอดี ดวงตาของโจรต่ำช้าไร้ยางอายผู้นี้กระจ่างใสดุจวารี สุกสกาวดั่งแก้วผลึก ยังล้ำลึกยิ่งกว่าท้องฟ้ายามราตรี
“มอง มองอะไร?! ข้าไม่มอง!”
หลินหว่านหรงหัวเราะเสียงดัง “ข้าจะให้เจ้าจดจำตาดำ ผิวสีเหลืองของข้าเอาไว้ นี่คือชนชาติที่ไม่เคยถูกผู้อื่นสยบมาก่อน พวกเขามีอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุด ความเจริญก้าวหน้าที่ล้ำลึกมากที่สุด ผงาดอยู่บนโลกนี้มาหลายพันปี ไม่เคยล้มมาก่อนเลย…แต่ทูเจวี๋ยของพวกเจ้า” เขาโบกมืออย่างไม่แยแส หัวเราะอย่างดูแคลน “…หลายร้อยปีหลังจากนี้ ทูเจวี๋ยจะมีแค่ชื่อที่หลงเหลืออยู่ในประวัติศาสตร์เท่านั้น!”
ลมหายใจของอวี้เจียขาดห้วง “เจ้าพูดเหลวไหล ทูเจวี๋ยของเราแข็งแกร่งไร้เทียมทาน จะต้องสืบทอดต่อไปไม่จบสิ้น ยั้งยืนยงหมื่นปี!”
“สืบทอดต่อไปไม่จบสิ้น ยั้งยืนยงหมื่นปี? อาศัยการรบไม่รู้จักจบสิ้น การเข่นฆ่าสังหารไม่รู้จักจบสิ้นของพวกเจ้าหรือ?! ตื่นเถอะนะ น้องสาว!” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางตบใบหน้านาง “คน ไม่อาจใช้ก้นคิด…ไอ้หยา…เจ้ากัดข้า!”
ด้วยความได้ใจจนลืมตัวของเขา นิ้วมือจึงไปอยู่ที่ริมฝีปากอวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยจึงอ้าปากแล้วกัด ไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย สิบนิ้วเชื่อมถึงใจ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงส่งผ่านเข้ามา หลินหว่านหรงร้องอ๊าๆ เสียงดังพลางหดนิ้วกลับไป ทว่านิ้วมือกลับมีรอยฟันเรียงตัวเป็นระเบียบแน่นขนัด โลหิตไหลซึมออกมา อวี้เจียจ้องเขาเขม็ง ดวงตาสาดประกายกระหยิ่มยิ้มย่องหลังจากได้แก้แค้น
แม่หมาป่าน้อยตัวนี้นี่! หลินหว่านหรงแค่นเสียงคราหนึ่ง ลูบคลำก้นแม่หมาป่าอีกครั้ง อวี้เจียร้องคราหนึ่ง สีหน้าดั่งโลหิต อับอายเดือดดาลจนอยากจะตาย
สั่งสอนแม่หมาป่าน้อยตัวนี้อย่างหมดจด สายลมฝนบนทุ่งหญ้ายังคงดังเดิม เนื่องจากรีบร้อนเดินทาง ดังนั้นจึงห่างจากฮาเอ่อร์เหอหลินแค่เจ็ดแปดสิบลี้แล้ว
“แม่ทัพหลิน แม่ทัพหลิน…” หูปู้กุยควบม้า ฝ่าลมฝนเข้ามาจากด้านหน้าสุดของขบวน ด้านหลังเขายังมีม้าเร็วตามมาด้วยอีกสิบกว่าตัว ทุกคนพอเห็นหลินหว่านหรงอยู่เบื้องหน้าก็หยุด จากนั้นหูปู้กุยจึงลงจากม้า น้ำตาเริ่มคลอเบ้าแล้ว
“พี่หู เป็นอะไร?!” หลินหว่านหรงตกใจ ชายฉกรรจ์ผู้เ**้ยมหาญเช่นหูปู้กุยนี้ ตีให้ตายก็ไม่มีทางหลั่งน้ำตาได้
หูปู้กุยรีบส่ายหน้า เช็ดน้ำตา หัวเราะฮ่าๆ พร้อมเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ข้าดีใจขอรับ ท่านแม่ทัพ ท่านดูสิ นี่คือใคร…”
เขาหัวเราะพลางหลบทาง ข้างหลังมีเงาคนร่างหนึ่งขยับวูบออกมา อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าดำ ท่าทางฝึกฝนมาดี กำลังมองหลินหว่านหรงด้วยความยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง
หลินหว่านหรงนิ่งงัน จากนั้นก็กอดเขาพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่นออกมาราวกับบ้าคลั่ง “เสี่ยวสวี่ สวี่เจิ้น เป็นเจ้าจริงหรือ? เจ้ามาได้อย่างไร? เจ้าหาพวกเราได้อย่างไร?! ท่านย่ามัน เหตุใดสวรรค์ถึงส่งเรื่องดีๆ มาให้!”
สวี่เจิ้นเช็ดน้ำตาบริเวณหางตา ประสานมือพร้อมตอบด้วยความยินดี “ท่านแม่ทัพ เป็นกุนซือสวีที่ส่งข้ามาขอรับ!”
กุนซือสวี? สวีจื่อฉิง?! ชื่อซึ่งทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหู หลินหว่านหรงบังเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านอยากจะร้องไห้ แม้เพิ่งจากกันมาแค่สิบกว่าวัน แต่เมื่ออยู่ระหว่างการรบอาบโลหิตบนทุ่งหญ้ามาตลอดทางนี้ เฮ่อหลานซานกับคุณหนูสวีรางเลือนราวกับเมฆาบนขอบฟ้า คล้ายไม่เกี่ยวข้องกับทัพเดี่ยวนี้โดยสิ้นเชิง
วันนี้จู่ๆ สวี่เจิ้นก็มาโผล่ตรงหน้าตน เขาถึงรู้สึกเหมือนได้หวนคืนสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้งหนึ่ง แม้ไม่รู้ว่าสวี่เจิ้นหาตำแหน่งในปัจจุบันของพวกเขาได้อย่างไร แต่น้ำใจของสวีจื่อฉิงนี้กลับหนักแน่นดั่งภูผาเฮ่อหลานซาน
“ท่านแม่ทัพ นี่คือสารที่กุนซือสวีมอบให้ท่านขอรับ” สะกดความพลุ่งพล่าน สวี่เจิ้นควักหนังแกะขนาดเล็กผืนหนึ่งออกมาจากรองเท้า เมื่อดึงหลายครั้งก็เผยให้เห็นกระดาษจดหมายสีขาวสะอาด
จดหมายของสวีจื่อฉิง? หลินหว่านหรงรับจดหมายแผ่นนั้นมา ฝ่ามือกลับสั่นเทาเล็กน้อย สำหรับทัพอันโดดเดี่ยวที่มุ่งลึกสู่ ทุ่งหญ้านี้ เฮ่อหลานซานถึงจะเป็นบ้านของพวกเขา
“ศึกปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ชื่อเสียงท่านเลื่องลือ ล่วงลึกสู่ทุ่งหญ้า ตัดเสบียงศัตรู ใช้เลือดเนื้อขับไล่ ขับศัตรูสู่นอกประตูบ้านเมือง ทำให้ชนเผ่านอกด่านสดับนามต้องขวัญหาย ซาบซึ้งบุญคุณท่าน ไม่มีสิ่งใดตอบแทน มีเพียงเรื่องเดียว ขอท่านโปรดจดจำ จื่อฉิงแม้ตัวตาย เฮ่อหลานซานไม่มีวันล้มตลอดกาล!!”
“จื่อฉิงแม้ตัวตาย เฮ่อหลานซานไม่มีวันล้มตลอดกาล” แค่คำพูดประโยคนี้ก็แสดงทุกสิ่ง หลินหว่านหรงกุมมือหูปู้กุย กล่าวด้วยเสียงอันแน่วแน่ “พี่หู เฮ่อหลานซานยังอยู่ในมือพวกเรา!”
เหล่าหูเช็ดน้ำตา ฉีกยิ้มกว้างพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ข้ารู้อยู่แล้วว่ากุนซือสวีรักษาเฮ่อหลานซานได้ เจ้าหนอนหนังสือตู้ซิวหยวนคนนี้ช่างห้าวหาญ สวี่เจิ้น พวกเจ้าล้วนห้าวหาญ! พวกเรารบหลายครั้งบนทุ่งหญ้า ไม่ได้รบเสียเที่ยวเปล่า!”
“เจตนาท่าน จื่อฉิงทราบ หนทางเบื้องหน้ายาวไกล ขวากหนามมากล้น หวังท่านทนุถนอมตน อย่าให้คนห่วงหา ข้าสวมชุดพรักพร้อม ฝังครึ่งกายในผืนทราย ขอพรทุกคืนวัน รอท่านหวนคืน!”
จดหมายฉบับนี้ก็เหมือนนิสัยสวีจื่อฉิง เรียบง่ายยิ่งนัก หนักแน่นยิ่งนัก “ฝังครึ่งกายในผืนทราย รอท่านหวนคืน” ประโยคสุดท้ายกึ่งปกปิดกึ่งเปิดเผย เป็นถ้อยความลับของพวกเขาทั้งสองคน มีแค่หลินหว่านหรงถึงอ่านเข้าใจ จดหมายมีตัวอักน้อยนิดไม่กี่คำ แม้ข้อความจะสั้น ทว่าความรักกลับไม่มีวันสิ้นสุด ความหมายลึกซึ้ง
หลินหว่านหรงลูบกระดาษจดหมายขาวสะอาดแผ่นนั้น อารมณ์พลุ่งพล่าน น้ำฝนสาดซัดบนเส้นผมและใบหน้าเขา รวมตัวกันเป็นสายไหลหลั่งลงมา เขาเงียบงัน ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาอยู่นาน…