ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 564 - 1 ราชครูทูเจวี๋ย
เกาฉิวรีบรุดมาจากท้ายขบวน ครั้นเห็นสวี่เจิ้นก็ยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง คนทั้งหลายต่างกอดกันพร้อมสบตาหัวเราะเสียงดัง นัยน์ตาเปี่ยมล้นด้วยน้ำตา
เมื่อเห็นสภาพของสวี่เจิ้นแล้ว หน้าอกใบหน้าดำทะมึน ฝุ่นเกาะเต็มใบหน้า เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ขาดวิ่นไปทั้งร่าง เห็นชัดว่าตลอดเส้นทางนี้ลำบากมาไม่น้อย หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่นาน จากนั้นถึงถอนหายใจ จับมือเขาแล้วพูดว่า “เสี่ยวสวี่ เจ้าเข้ามาในทุ่งหญ้าได้อย่างไร แล้วหาพวกเราพบได้อย่างไร?!”
“เรื่องนี้พูดไปแล้วก็ยาวขอรับ” สวี่เจิ้นสองตาแดงเล็กน้อย “นับตั้งแต่แม่ทัพหลิน แม่ทัพหูกับพี่เกาเข้าสู่หุบเขาเป็นวันที่สาม ชนเผ่านอกด่านนับแสนนายก็เริ่มบุกโจมตีปากทางเข้าหุบเขาเฮ่อหลานซานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ชาวทูเจวี๋ยพวกนั้นแข็งแกร่งดุร้าย บุกเข้ามาอย่างรุนแรง การโจมตีแต่ละระลอกล้วนใช้คนนับหมื่นนายขึ้นไป โจมตีเส้นทางสองสายซึ่งเชื่อมโยงกับเมืองซิงชิ่งอย่างรุนแรง สามวันหลังจากนั้น แค่หน่วยบุกทะลวงนับหมื่นคนที่ไปๆ กลับๆ ของชนเผ่านอกด่านก็ไม่ต่ำกว่าสี่สิบครั้งแล้วขอรับ
“กุนซือสวีออกประกาศิตเด็ดขาด นับตั้งแต่นางลงไป นายทหารทุกคนอนุญาตให้แค่รุกคืบเท่านั้น ห้ามถอยหลัง ด่านอยู่คนอยู่ ด่านทลายคนม้วย ขอสาบานว่าจะเฝ้าเฮ่อหลานซานจนตัวตาย! กุนซือนั่งคุมทางเชื่อมตีนเขาตะวันตกด้วยตนเอง ไม่ได้นอนถึงสามวันสามคืน พี่น้องสองแสนกว่าคนสู้ศึกชิงความเป็นความตายกับชนเผ่านอกด่านที่เฮ่อหลานซาน ไม่มีผู้ใดถอยแม้แต่คนเดียว สองฝั่งของช่องเขาประกายดาบพวยพุ่งเต็มท้องนภา โลหิตไหลเป็นท้องธาร กระบอกปืนใหญ่ของหน่วยกองกำลังพลปืนแดงก่ำเพราะยิงอย่างต่อเนื่อง ไม่อยากยิงกระสุนปืนใหญ่ออกมาได้อีก ดังนั้นพี่น้องเหล่านี้จึงยกดาบขึ้นแล้วบุกตะลุยออกไปเช่นกัน ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน พี่น้องที่รบจนตัวตายที่เฮ่อหลานซานก็มีถึงสี่หมื่นคนแล้วขอรับ!”
สวี่เจิ้นพูดไปพูดมาก็เบ้าตาแดง หลินหว่านหรง หูปู้กุย เกาฉิวทั้งสามคนกัดฟันกรอดไม่เปล่งเสียงสักแอะเดียว กำปั้นทั้งสองข้างกันจนแน่นโดยไม่รู้ตัว
ศึกนองเลือดของทหารหลายแสนคน แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานที่จริง แต่พวกเขาก็จินตนาการออกว่านั่นเป็นภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายรุนแรงที่มีโลหิตเลือดเนื้อสัตว์กระจายเช่นไร เฮ่อหลานซานเป็นกระดูกสันหลังของต้าหัว หัวขาดได้ โลหิตไหลได้ แต่กระดูกสันหลังห้ามล้มเด็ดขาด!
“ช่องเขาสองสายของเฮ่อหลานซานพ่ายแพ้หลายครั้งและสิ่งกลับมาได้หลายครั้ง พี่น้องหน่วยกล้าตายหลายหมื่นคนเหลือแค่แปดร้อยคนที่มีชีวิตรอดกลับมาได้ พี่หูต้องห้อยแขนซ้าย ท่านแม่ทัพจั่วชิวซี่โครงขวาได้รับบาดเจ็บ แม้แต่กุนซือสวีเองก็…”
“กุนซือสวีเป็นอะไรไป?!” หลินหว่านหรงดึงตัวสวี่เจิ้นมาถามด้วยความรู้สึกตกใจอย่างยิ่ง
สวี่เจิ้นรู้ตัวว่าหลุดปากพูดออกมา เขาก็รีบเช็ดหางตา ก้มหน้าลงพร้อมเอ่ยเสียงค่อย “ท่านแม่ทัพ ท่านอย่าถามเลยนะขอรับ กุนซือไม่ให้ข้าบอกท่าน!”
หลินหว่านหรงถลึงตา กล่าวอย่างมีน้ำโห “ไม่บอกข้าอะไรกัน จะเชื่อฟังนางหรือว่าเชื่อฟังข้า? เจ้าเด็กนี่ อยากให้ข้าร้อนใจตายใช่หรือไม่?!”
สวี่เจิ้นนั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงที่หลินหว่านหรงพามาจากซานตง เมื่อเห็นเขาถลึงตาโตท่าทางน่าตกใจกลัวแล้วจะกล้าขัดขืนได้อย่างไรกัน ดังนั้นจึงทำได้เพียงตาแดงพลางตอบเสียงค่อยออกมาว่า “ขณะที่กุนซือสวีเฝ้าด่าน ถูกธนูบินของชนเผ่านอกด่านทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนอยู่บนเตียงหลายวัน ก่อนข้าน้อยออกเดินทาง นางกำชับข้าว่าห้ามนำเรื่องนี้รายงานแก่ท่านแม่ทัพ มิเช่นนั้นจะต้องลงโทษตามกฎทหารขอรับ”
สวี่เจิ้นเล่าไม่ละเอียด ทว่าใจของหลินหว่านหรงกลับเจ็บปวด เดิมทีตัวของสวีจื่อฉิงผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด ถูกธนูบินจนต้องได้รับบาดเจ็บนอนพักฟื้นอยู่หลายวัน เช่นนั้นอาการบาดเจ็บจะต้องไม่เบาแน่
“ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ” ครั้นเห็นหลินหว่านหรงหน้าดำคร่ำเครียด สีหน้าถมึงทึงน่าตกใจกลัว สวี่เจิ้นจึงรีบเอ่ยว่า “ก่อนข้าน้อยออกเดินทาง สีหน้าของกุนซือสวีก็ดีขึ้นแล้ว นางยังมาส่งข้าด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสั่งให้ข้าบอกท่านแม่ทัพว่ากองทัพเรียบร้อยดีทุกสิ่ง ท่านอย่าได้กังวล”
แบบนี้ก็เรียกว่าเรียบร้อยดี? บาดเจ็บหนักถึงขนาดนั้นแล้ว! หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกจนใจ นิสัยใจคอของคุณหนูสวียังคงดื้อดึงขนาดนั้นเหมือนเดิมนะ! เมื่อก่อนรู้สึกรำคาญนิสัยดื้อดึงกระทั่งว่าค่อนข้างดื้อด้านของนางนี้เสียด้วยซ้ำ พอมาดูตอนนี้แล้ว นี่ก็ไม่ใช่จุดที่สวีจื่อฉิงต่างจากคนอื่นหรอกหรือ? เมื่อคิดถึงก่อนจะจากลากัน ท่าทางที่คุณหนูสวีขับขานบทเพลงเบาๆ อยู่บนเขา น้อมส่งอย่างเงียบงัน จมูกเขาก็รู้สึกระบมอยู่บ้าง
เมื่อได้ยินสวี่เจิ้นพูดแค่ครึ่งเดียว เกาฉิวก็ร้อนใจแล้ว ราวกับมีแมวข่วน เขารีบจับแขนสวี่เจิ้นแล้วถามว่า “ต่อมาล่ะ? เฮ่อหลานซานเป็นอย่างไร? ชนเผ่านอกด่านโจมตีอีกหรือไม่? เจ้ามาทุ่งหญ้าได้อย่างไร และหาพวกเราพบได้อย่างไร?! เสี่ยวสวี่ เจ้าจะพูดให้จบเพียงครั้งเดียวได้หรือไม่ ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว!” สวี่เจิ้นเช็ดหางตา หัวเราะอย่างกระดากใจ พูดต่อไปว่า “หลังจากชนเผ่านอกด่านโจมตีอย่างรุนแรง สามวันก็มีซากศพนอนเกลื่อน สูญเสียอย่างหนัก ช่วงหลายวันต่อมาจึงเปลี่ยนรูปแบบการรบ พวกมันใช้กลยุทธ์ก่อกวน โจมตีหลอกแล้วถอยกลับไป จากนั้นก็โจมตีหลอกเข้ามาอีก เป็นเช่นนี้วนกลับไปมา ไม่มีผู้ใดรู้เช่นกันว่าพวกมันจะเปลี่ยนจากการโจมตีหลอกเป็นโจมตีจริงเมื่อไหร่ ยืนหยัดเฝ้าเช่นนี้อยู่หลายวัน ทัพของเราก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างยิ่ง ในคืนนั้นจู่ๆ ชนเผ่านอกด่านกลับเหมือนเสียสติ เคลื่อนย้ายกำลังทหารทั้งหมดบุกโจมตีเส้นทางเชื่อมเขาทางตีนเขาทิศตะวันตกอย่างรุนแรง ชนเผ่านอกด่านจำนวนหลายแสนแผ่ขยายใต้ตีนเขาดำทะมึนไปเป็นแถบ มีปาเต๋อหลู่อ๋องซ้ายเป็นผู้นำทัพบุกทะลวง การรบครั้งนี้รบไปถึงหนึ่งวันสองคืน พวกเราเข้าออกเส้นทางเชื่อมตีนเขาฝั่งตะวันตกหลายครั้ง สุดท้ายก็เฝ้ารักษาเอาไว้ได้ กุนซือสวีได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการรบครั้งนี้เช่นกัน ชนเผ่านอกด่านโจมตีอยู่นานแต่ก็ไม่สำเร็จ พอถึงเช้าวันที่สามจู่ๆ กลับถอยกองทัพทั้งหมดออกไปหนึ่งร้อยลี้ พอช่วงค่ำพวกเราก็ได้รับข่าวว่า ที่แท้ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อกำลังเสบียงของชนเผ่านอกด่านถูกแม่ทัพหลินทลายไปแล้ว หญ้าเสบียงของทัพใหญ่จำนวนสามแสนของชาวทูเจวี๋ยถูกเผาวอดวาย ครั้งนี้จึงเป็นการสู้โต้กลับครั้งสุดท้ายของชาวทูเจวี๋ย! เมื่อข่าวแพร่มา ทั้งกองทัพต่างตื่นเต้นยินดี ทุกคนต่างโห่ร้องกระโดดโลดเต้น แม้แต่คุณหนูสวีที่บาดเจ็บหนักก็ยังดีใจจนร้องไห้ขอรับ!”
“คุณหนูสวีร้องไห้?!” หลินหว่านหรงพูดพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกอันสลับซับซ้อนในตอนนั้นของสวีจื่อฉิง บนโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจไปมากกว่าเขาอีกแล้ว
สวี่เจิ้นส่งเสียงอืมพลางผงกศีรษะ “ชาวทูเจวี๋ยถอยออกไปร้อยลี้ หลายวันหลังจากนั้นพวกเราก็ได้ยินว่าบนทุ่งหญ้ามีโจรต้าหัวอยู่กลุ่มหนึ่งปล้นชิงดินแดนและขบวนพ่อค้าของชนเผ่านอกด่านไปทั่ว ซ้ำยังได้ยินชื่อภาษาทูเจวี๋ยแปลกประหลาดอีกชื่อหนึ่งด้วย คุณหนูสวีบอกว่านั่นก็คือท่านแม่ทัพ นางรู้ว่าท่านต้องการจะทำอะไร เพียงแต่ลำบากที่ปราศจากหนทางที่จะติดต่อกับท่านได้ขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าเข้าสู่ทุ่งหญ้าได้อย่างไร?!” หลินหว่านหรงถามเสียงทุ้มหนัก
สีหน้าของสวี่เจิ้นตื่นเต้นขึ้นมา “ขณะที่พวกเราคิดไม่ออกอยู่นั้นเอง กลับมีผู้สูงส่งส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้คุณหนูสวี บนนั้นเขียนเพียงหกคำเท่านั้น คือ ‘ตัดช่องเขา เข้าทุ่งหญ้า’ สิ่งนี้เตือนสติกุนซือสวี ในเมื่อพวกของท่านแม่ทัพตัดผ่านเฮ่อหลานซาน เข้าสู่ทุ่งหญ้าอาลาซ่านได้ พวกเราก็ทำได้เช่นกัน วันรุ่งขึ้นกุนซือสวีจึงสั่งให้ข้านำพี่น้องจำนวนสิบกว่าคนมุ่งหน้าเรียบไปตามเส้นทางที่พวกของท่านแม่ทัพเบิกทางเอาไว้ จะว่าไปก็แปลก พอพวกเราเข้าสู่ช่องเขา หากมีเครื่องหมายนำทางอยู่ตลอด แม้เส้นทางจะลาดชัน แต่พวกเราก็เข้าสู่ทุ่งหญ้าได้จริงๆ พอหันกลับไป สัญลักษณ์บอกทางนั้นกลับหายจนหมดสิ้นขอรับ”
“ผู้สูงส่ง? สัญลักษณ์บอกทาง?!” หลินหว่านหรงฟังจนตาโตอ้าปากค้าง หรือว่าจะเป็นฝีมือพี่สาวอัน?! แต่ตอนที่ข้าฟันสังหารลาปู้หลี่ที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ นั่นเกิดจากการกระทำเยี่ยงผู้กล้าของพี่สาวอัน เมื่อคำนวณจากเวลาแล้ว นางติดตามอยู่ข้างกายข้ามาตลอด ต่อให้พี่สาวจิ้งจอกเป็นวิชาแยกร่าง ก็ไม่มีทางปรากฏตัวอยู่ที่เฮ่อหลานซานกับทุ่งหญ้าพร้อมกันกระมัง นี่ มันช่างอัศจรรย์เหลือเกินแล้ว!
“เพียงแต่น่าเสียดาย ฝนห่าใหญ่เมื่อหลายวันก่อนทำให้เส้นทางภายในช่องเขาถล่ม หากคิดตัดผ่านเฮ่อหลานซานเข้าสู่ทุ่งหญ้าอีกครั้ง เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะครับ” สวี่เจิ้นกล่าวโดยเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย
ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อพินาศไปแล้ว หากชนเผ่านอกด่านถอยกลับทุ่งหญ้า ทางเชื่อมอัศจรรย์สายนี้ก็จะสูญเสียความหมายด้านกลยุทธ์ที่มีอยู่เดิมเช่นกัน ทว่าหลินหว่านหรงกลับไม่รู้สึกเสียดายเท่าไหร่นัก เพียงแต่สวี่เจิ้นหาตำแหน่งในปัจจุบันของพวกเขาพบได้อย่างไร กลับเป็นสิ่งที่เขาทำให้เขาประหลาดใจ
“หลังจากพวกเราเข้าสู่ทุ่งหญ้าก็ไปที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อก่อน จากนั้นจึงไปต๋าหลานจา เกือบปะเข้ากับทหารม้าของชนเผ่านอกด่านอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาสำคัญก็จะมีคนชี้ทางให้พวกเราขอรับ!” สวี่เจิ้นเอ่ย หยิบม้วนกระดาษขนาดเล็กแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้หลินหว่านหรง
ม้วนกระดาษนั้นเป็นแผนที่ง่ายๆ แผ่นนึง ไม่ได้เขียนตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว เพียงวาดตำแหน่งของดินแดนหลายแห่งไว้อย่างละเอียดเท่านั้น เส้นทางที่เน้นหนักก็คือเส้นทางในการเดินทัพของหลินหว่านหรง ดินแดนใหม่ที่อยู่ใกล้ก็คือชื่อถ่าต่างจากพวกเขาไปสี่ร้อยกว่าลี้นั่นเอง
เส้นทางคมชัด ลายพู่กันงดงาม คล้ายเป็นลายพู่กันของสตรี แต่เมื่อดูจากเส้นทางอันเรียบง่ายนี้แล้ว กลับไม่อาจตรวจสอบได้ว่าเป็นผู้ใดที่เขียน
“พวกเราจึงเดินทางตามเส้นทางที่อยู่บนแผนที่นี้ ถูกผู้พี่น้องหน่วยลาดตระเวนหลายพบอยู่ข้างหน้า นี่ถึงได้ตามหาท่านแม่ทัพเจอขอรับ” สวี่เจิ้นถือว่าเล่าเรื่องการเดินทางตลอดเส้นทางให้ชัดเจนได้เสียที เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ รับถุงน้ำที่หูปู้กุยส่งมาให้ สูดน้ำคำโตเสียงดังอึกๆ ลงไปหลายอึกด้วยความกระหาย
หยาดฝนตกลงบนแผนที่ทีละหยด ส่งเสียงดังซ่าๆ เบาๆ หลินหว่านหรงจ้องมองกระดาษแผ่นนั้น ใจเต็มไปด้วยความสงสัย วาดแผนที่ที่มีเส้นทางละเอียดคมชัดเช่นนี้ออกมาได้ นั่นต้องเป็นผู้ที่รู้ร่องรอยการเดินทางของไพร่พลจำนวนห้าพันคนนี้อย่างยิ่ง ผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุดย่อมต้องเป็นพี่สาวอัน เพียงแต่วันนี้เช้าตรู่พี่สาวนางจิ้งจอกเพิ่งจากไป แล้วไม่ได้หยิบยกถึงเรื่องนี้ ดังนั้นน่าจะไม่รู้เรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคำนวณจากระยะเวลาแล้ว หลายวันนี้พี่สาวอันตามอยู่ข้างกายข้ามาตลอด นางไม่มีเวลาไปนำทางให้สวี่เจิ้น
สตรีที่ช่วยข้าเช่นนี้ ทั้งยังเร้นกายอยู่ข้างกายโดยไม่ทำให้ข้ารู้สึกตัว นับรวมแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คน เซียนเอ๋อร์ ชิงเสวียน พี่สาวอัน หนิงอวี่ซี ต่างมีความสามารถเช่นนี้ เพียงแต่สองคนแรกอยู่ไกลถึงเมืองหลวง ข้างหลังคนหนึ่งก็เพิ่งจะจากไป เช่นนั้นที่เหลือก็…
“เป็นนางเซียนหนิง!” หลินหว่านหรงร้องเสียงดัง ตกใจจนกระเด็นขึ้นมา รีบทอดสายตามองรอบด้าน