ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 564 - 3 ราชครูทูเจวี๋ย
ภายในกระโจมของเอ๋อจี้น่ามีชาวทูเจวี๋ยที่ตื่นตระหนกลนลานเบียดกันแน่น เมื่อเผชิญกับชาวต้าหัวที่เหมือนกับร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า หลายคนไม่กล้าแม้กระทั่งเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อยืนยันให้มั่นใจนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายพวกมันถึงเชื่อ ชาวต้าหัวบุกฆ่ามาแล้วจริงๆ ด้านหนึ่งคือทะเลแห่งความตาย อีกด้านหนึ่งคือทหารม้าต้าหัว นี่คือเงื่อนตายที่ไม่อาจปลดได้ตลอดกาล ภายในดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
มีที่พำนักเป็นทะเลทราย ชาวทูเจวี๋ยรู้ความร้ายกาจของทะเลทรายอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับแสนยานุภาพของทะเลแห่งความตายแล้ว พวกมันยอมไปเผชิญหน้ากับชาวต้าหัวที่เต็มไปด้วยความแค้น
“ผืนทรายแห่งทะเลทรายดั่งหิมะ จันทร์เสี้ยวแห่งเยียนซานดั่งขอเบ็ด!” ทอดสายตามองไปยังทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา หลินหว่านหรงร่ายออกมาเบาๆ ประโยคหนึ่ง คล้ายมองไม่เห็นเอ๋อจี้น่าที่อยู่ตรงหน้า
หูปู้กุยรู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง เอ่ยปากอย่างระแวดระวัง “ท่านแม่ทัพ ชนเผ่านอกด่านอยู่ห่างจากพวกเราแค่หกสิบลี้นะขอรับ!”
หกสิบลี้ ต่อให้ชนเผ่านอกด่านบินมา ต้องมีครึ่งชั่วยามถึงจะมาถึง ส่วนครึ่งชั่วยามนี้น่าจะทำอะไรได้มากมาย! หลินหว่านหรงยิ้มพร้อมชูขึ้นมาหลายนิ้ว“พี่หู ให้เวลาท่านสามป้านน้ำชา พอหรือไม่?!”
ช่วงเวลาหลายป้านน้ำชา จะว่าน้อยก็น้อย เพียงแต่เมื่อเผชิญกับการฝึกที่ล้มเพียงฝ่ายเดียวโดยสิ้นเชิงนี้ หูปู้กุยกลับหาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้ เขาหัวเราะเสียงดัง ควบม้าบุกไปข้างหน้า นายทหารตามติดอยู่ข้างหลัง บุกเข้าไปในเอ๋อจี้น่า
เช่นเดียวกับฮาเอ่อร์เหอหลิน ชายฉกรรจ์ของเอ๋อจี้น่าถูกเอาไปจนหมดสิ้น เหลือชายฉกรรจ์อยู่แค่ไม่กี่ร้อยคน ยังไม่พอให้ทหารม้าต้าหัวแคะซอกฟันเสียด้วยซ้ำ ท่ามกลางประกายโลหิตตลอดทาง กลับเป็นอย่างที่หลินหว่านหรงพูดเอาไว้ เวลาแค่ไม่กี่ป้านน้ำชา ธงหมาป่าของทูเจวี๋ยก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงใต้เท้าอย่างแช่มช้า
เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลิน เป็นดินแดนขนาดใหญ่สองดินแดนที่มีอยู่น้อยของทูเจวี๋ย เป็นแหล่งเสบียงอันอุดมสมบูรณ์ ไม่รอให้หลินหว่านหรงออกคำสั่ง เหล่านายทหารก็เติมน้ำเติมหญ้า ผลัดเปลี่ยนม้าศึก เตรียมการเข้าสู่ทะเลทรายเป็นขั้นตอนสุดท้าย
หูปู้กุยมัดอาหารแห้งและถุงน้ำอยู่เต็มตัว เดินเข้ามาหาด้วยท่าทางผึ่งผาย หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “แม่ทัพหลิน พวกเราเตรียมเรียบร้อยแล้ว ทัพใหญ่จะเข้าสู่ทะเลทรายเมื่อไหร่ขอรับ?!”
เหล่าหูกลับเป็นคนใจร้อน นี่เป็นการเข้าสู่ทะเลทรายไม่ใช่ไปคำนับฟ้าดิน จะรีบร้อนแบบนั้นไปทำไมกัน? หลินหว่านหรงหัวเราะ “ไม่ต้องร้อนใจไป ชนเผ่านอกด่านยังไม่ได้เสพสุขกับอาหารเย็นมื้อสุดท้ายเลย”
“อาหารเย็นมื้อสุดท้ายอะไรหรือขอรับ?!” หูปู้กุยมองเขาด้วยความกังขา
หลินหว่านหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พี่หู ข้าให้ท่านรวบรวมน้ำมันสนที่เหลืออยู่ในเอ๋อจี้น่ามาทั้งหมด คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?!”
“นอกจากเก็บไว้ให้พวกเราใช้จำนวนหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็รวบรวมมาจนหมดแล้วขอรับ” หูปู้กุยผงกศีรษะ จากนั้นก็มองเขาด้วยความประหลาดใจอีกครั้งหนึ่ง “แม่ทัพหลิน ท่านไม่ให้พวกเราเผากระโจม ทั้งยังเอาน้ำมันสนมาตั้งมากมายขนาดนี้ หรือว่าจะผิงไฟขอรับ?!”
“ผิงไฟจริงๆ เพียงแต่ให้ชนเผ่านอกด่านมันผิงไฟนะ” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “พี่หู ท่านไปหาพี่น้องมาสักหลายร้อยคน เอาน้ำมันสนพวกนี้สาดลงบนกระโจมของชนเผ่านอกด่าน จำเอาไว้ว่าแต่ละกระโจมอย่างน้อยก็ต้องราดน้ำมันไปสักจำนวนหนึ่ง ระหว่างกระโจมให้ปูหญ้าแห้ง จากนั้นค่อยสาดน้ำมันอีกครั้งหนึ่ง พวกเราจะเล่นเผาค่ายกับชนเผ่านอกด่าน!”
ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง หูปู้กุยร้องอ้อ ใกล้เข้าสู่ทะเลทรายแล้วยังไม่ลืมสร้างความคับแค้นใจให้ชนเผ่านอกด่านอีก น้องหลินช่างเป็นยอดคนเสียจริงนะ
แสงจันทร์เย็นเยียบสาดส่องทุ่งหญ้าและทะเลทราย ขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลร้านบังเกิดหมอกควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา เสียงดังครืนๆ เสียงฝีเท้าม้าหนักทึบดังอสนีบาตยามวสันต์เข้าสู่ใบหู พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาโดยพลัน ยังอยู่ห่างไปอีกหลายสิบปีลี้ก็มีขนาดและพลังขนาดนี้แล้ว ทหารม้าของชนเผ่านอกด่านช่างสมคำร่ำลือ
หูปู้กุยตั้งสติฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ชนเผ่านอกด่านช่างให้เกียรติพวกเราแล้วนะขอรับ ดูจากท่าทางการเคลื่อนไหวนี้ เกรงว่าคงมีทหารมาไม่ต่ำกว่า สองหมื่นนายแน่”
หลินหว่านหรงยิ้มเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ใช่พวกมันให้เกียรติเรา แต่เป็นเพราะหลังจากสูญเสียฮาเอ่อร์เหอหลิน พวกมันก็วิเคราะห์ออกว่าเป้าหมายต่อไปของพวกเราต้องเป็นเอ๋อจี้น่าที่อยู่ติดกัน ดังนั้นถึงรวบรวมกำลังหนักไล่ตามมาทางนี้ ในหมู่ชาวทูเจวี๋ย มีผู้สูงส่งอยู่จริงด้วย”
เขาโบกมืออย่างแรง ทหารห้าพันนายพลิกตัวขึ้นม้า จัดระเบียบถุงเสบียงและอาหารแห้งที่อยู่บนร่าง จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทราย
เพิ่งเข้าใกล้ทะเลทรายก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวแฝงลมอันแปลกประหลาดดังวูบวาบอยู่ข้างใบหู ทุกคนหดคอลงไปโดยไม่รู้ตัว ฝังใบหน้าอยู่ในเสื้อ
เสียงลมทะเลทรายเย็นเหยียบพัดผ่านไปหลายครั้ง ตีกระทบปากและใบหน้าของหลินหว่านหรง เขารีบถุยๆ ออกมาสองครั้ง กล่าวยังมีน้ำโหว่า “สาวแห่งทะเลทรายนี้ยังไม่ทันบ้วนปากกลับกล้ามาจูบข้าแล้ว! ช่างไร้เหตุผลเสียเหลือเกิน!” ทุกคนหัวเราะเสียงดัง บรรยากาศอันกดดันก่อนเข้าใกล้ทะเลแห่งความตายนั้นพลันผ่อนคลายลงไปมาก
ยืนนิ่งอยู่ริมขอบทะเลทราย หลินหว่านหรงโบกมือไปทางเหล่าเกา “สวี่เจิ้น พี่เกา สองคนพาพี่น้องเข้าทะเลทรายทันที…”
พวกของสวี่เจิ้นตกใจพร้อมกัน “แล้วท่านล่ะ?!”
หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “ข้ากับพี่หูคุมหลัง จะเล่นการละเล่นเผาค่ายกับชนเผ่านอกด่านพรุ่งนี้เสียหน่อย”
เผาค่าย? แม้พวกเขาสองคนจะไม่รู้ว่าหลินหว่านหรงกำลังพูดอะไรอยู่ แต่เมื่อร่วมเป็นร่วมตายกันมานานมากขนาดนี้ จึงสร้างความเชื่อใจอันไร้ขอบเขตขึ้นมาตั้งแต่แรก
สวี่เจิ้นส่งเสียงอืมคราหนึ่งอย่างแน่วแน่ ประสานมือคารวะ “ข้าน้อยรับบัญชา!” เขาหักหัวม้า โบกมือเล็กน้อย ทหารห้าพันนายจึงเหยียบย่ำเข้าไปในทะเลทรายอันเวิ้งว้างนั้นราวกับฝูงปลาที่กรูกันเข้าไป
ความเชื่อใจซึ่งเกิดจากการร่วมเป็นร่วมตายกันมาทำให้คนซาบซึ้งใจมากที่สุด เมื่อเห็นทหารห้าพันนายเชื่อใจตนมากขนาดนี้ หลินหว่านหรงจึงกำหมัดแน่น ร้องคำรามเสียงต่ำสองครั้ง สร้างพลังให้ตัวเอง
“ท่านแม่ทัพ ชนเผ่านอกด่านมาแล้ว!” หูปู้กุยโบกมือชี้ ท่ามกลางฝุ่นดินที่ลอยฟุ้งอยู่เต็มท้องฟ้า ธงหมาป่าหลายสิบธงยกขึ้นสูงพลิ้วไสว ทหารม้าชนเผ่านอกด่านดำทะมึนก่อให้เกิดฝุ่นดินอันไร้ขอบเขตราวกับลมสลาตัน ตัดผ่านกระโจมของเอ๋อจี้น่า มุ่งตรงมายังชายขอบทะเลทราย
เป็นเช่นที่หูปู้กุยว่าเอาไว้จริง ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ตรงหน้ามีไม่ต่ำกว่าสองหมื่น ขบวนนำหน้าของพวกมันตัดผ่านกระโจมของอ๋อจี้น่า ทหารม้าที่ติดตามอยู่ข้างหลังกลับยังรอคอยอยู่นอกกระโจมเพื่อรอคอยการบุก ทิวแถวเหยียดยาว ทอดสายตามองออกไปมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ชนเผ่านอกด่านที่เป็นผู้นำผู้นั้น เมื่อมุ่งหน้ามาแล้วยังอยู่ห่างจากขอบทะเลทรายอีกหลายร้อยจั้ง ทันใดนั้นก็ออกแรงโบกมือ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหลังเขายืนตรงพร้อมเพรียงกัน ทั่วทั้งสนามรบนอกจากเสียงลมหายใจฟืดฟาดของม้าศึกแล้ว กลับไม่มีเสียงสิ่งอื่นใดอีก เงียบสงัดยิ่งนัก
ณ สถานที่อันห่างไกล บริเวณรอยต่อระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทราย มีม้าศึกยืนสงบนิ่งอยู่สองตัว ชาวต้าหัวนั่งสง่างามอยู่บนหลังม้าสองคน คนหนึ่งมือถือดาบ คนหนึ่งถือคันธนู ล้วนหน้าดำผิวเหลือง ท่าทางเย็นชา
“ฮี้!” จู่ๆ ม้าศึกของชาวต้าหัวก็แหงนหน้ากู่ร้อง เชิดหัวกระโดด คนผู้นั้นจับบังเ**ยนแน่น ขยับขึ้นลงตามม้า แสงจันทร์ตกกระทบลงต่ำ ราวกับตกลงบนแผ่นหลังของเขาพอดี ลมทะเลทรายคละคลุ้งพัดเสื้อคลุมตัวยาวกับผมเขาให้ปลิวขึ้น ฝุ่นทรายคละคลุ้งตกกระทบแผ่นหลังและใบหน้าเขา อ้างว้างเย็นชา กลับมีไอสังหารอย่างยากจะบรรยายได้อย่างหนึ่ง
“หลินซานแห่งต้าหัวอยู่ที่นี่แล้ว ใครกล้ามาสู้กับข้าบ้าง?!” ชาวต้าหัวหน้าดำผู้นั้นคำรามเสียงดัง เสียงตัดทะลุผ่านทุ่งหญ้าและทะเลทราย ด้วยใบหน้าและดวงตาอันเย็นชา เปรียบดังเทพสังหารสีนิลซึ่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์สุกสกาว ทำให้คนเห็นแล้วบังเกิดความหวาดกลัว
เสียงของเขาพุ่งตรงออกไปไกล ชนเผ่านอกด่านที่ตามมายังคงกรุตัดผ่านกระโจมของเอ๋อจี้น่าอย่างเอาเป็นเอาตาย สองฝ่ายที่ประจำกันอยู่ข้างหน้ากลับเงียบสงัด
ชนเผ่านอกด่านพี่เป็นหัวหน้าค่อยๆ ถอดหมวกเกราะ เคยเห็นเบ้าตาลึก กระดูกกรามที่ปูดโปนขึ้นมา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสาดกะพริบเล็กน้อย เขาประสานมือคารวะให้หลินหว่านหรงอยู่ไกลๆ พูดตะโกนด้วยสำเนียงต้าหัวที่แข็งกระด้างอยู่บ้าง “ใต้เท้าหลิน ไม่ได้พบกันนาน! ลู่ตงจ้านอยู่ที่นี่ ยินดีต้อนรับการมาเยือนทุ่งหญ้าของใต้เท้า!”
เป็นลู่ตงจ้านราชครูทูเจวี๋ยจริงด้วย! มันกลับย้อนกลับมาที่ทุ่งหญ้าจากอู่หยวน มิน่าถึงได้มีสติปัญญาวางแผนเช่นนี้!
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ประสานมือคารวะ “คนแซ่หลินมีคุณธรรมและความสามารถอันใด กลับต้องรบกวนใต้เท้าราชครูให้ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง น่าละอายๆ! ไม่ได้พบกันนาน พี่ลู่ดูคึกคักกว่าแต่ก่อน ช่างน่ายินดีเสียจริง!”
ลู่ตงจ้านควบม้าขึ้นมาข้างหน้า ทอดสายตามองหลินหว่านหรง ชูนิ้วโป้งแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ “ใต้เท้าหลิน ท่านเข้าสู่ทุ่งหญ้า ตัดแหล่งเสบียงที่มอบชีวิตให้กับทูเจวี๋ยของข้า ช่วยให้เฮ่อหลานซานพ้นจากอันตราย เมื่อพูดจากมุมมองของศัตรู ข้าควรแค้นท่าน แต่หากพูดจากการวางแผนการและความกล้าหาญ ท่านคือชาวต้าหัวที่ฉลาดมากที่สุด และยิ่งเป็นผู้ที่ข้าลู่ตงจ้านนับถือมากที่สุด!