ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 565 “ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้”
เจ้าลู่ตงจ้านคนนี้ ฉลาดหลักแหลมจริงด้วย หากไม่ใช่ว่าสองแคว้นรบพุ่งกันแล้วล่ะก็ การคบหาเป็นสหายกันกลับเหมาะสมยิ่งนัก หลินหว่านหรงหัวเราะอย่างห้าวหาญ พูดเสียงดังขึ้นมาว่า “พี่ลู่กล่าวชมเชยไปแล้ว พูดกันตามความจริง ในบรรดาชาวทูเจวี๋ยผู้ที่ข้าชื่นชมมากที่สุดก็คือพี่ลู่ หากไม่ใช่ว่าทำสงครามกัน พวกเรามาร่วมดื่มสุราสังสรรค์นั่นถือเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง”
“ใต้เท้าหลิน คำพูดของท่านประโยคนี้ทำให้ลู่ตงจ้านภาคภูมิใจยิ่งนัก!” ใบหน้าของราชครูทูเจวี๋ยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความยินดี “หากต้องการดื่มสุราสังสรรค์ ลู่ตงจ้านย่อมอยู่เป็นเพื่อนแน่ ยิ่งไปกว่านั้นยังจะมอบความตื่นเต้นนอกเหนือความคาดหมายให้ท่านอีกด้วย! เพียงแต่ตอนนี้ใต้เท้าถอยกลับออกมาจากชายขอบทะเลทรายแห่งความตายก่อนจะดีกว่า ที่นั่นคือสถานที่ต้องห้ามที่แม้แต่ผู้กล้าทูเจวี๋ยที่กล้าหาญชาญชัยมากที่สุดก็ยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไป! ลู่ตงจ้านไม่อยากให้ผู้ที่ตนเองนับถือมากที่สุดต้องฝังร่างอยู่ในทะเลแห่งความตาย”
หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “ความหมายของพี่ลู่ก็คือให้ข้าถอยกลับออกมาจากทะเลแห่งความตาย จากนั้นก็รอให้ท่านมาจับตัวข้า? นี่คิดคำนวณได้ไม่เลวเชียวนะ!”
ลู่ตงจ้านรีบส่ายศีรษะ “ข้าจะจับตัวท่านได้อย่างไร ใต้เท้าเข้าใจผิดไปแล้ว ท่านคือผู้ที่ฉลาดเฉลียวมากที่สุดของต้าหัว ในกลุ่มชาวทูเจวี๋ยของพวกเราก็ไม่อาจหาผู้ที่เหนือกว่าท่านได้ พวกเราชาวทูเจวี๋ย สิ่งที่นับถือมากที่สุดก็คือผู้แข็งแกร่งกับผู้กล้า ท่านใช้ปฏิภาณไหวพริบ ความกล้าหาญ สติปัญญาและความสามารถของท่านพิสูจน์ความเป็นผู้กล้าอันแท้จริงของท่านไปแล้ว ขอเพียงท่านยินดีกลับออกมาจากชายขอบของทะเลแห่งความตาย ลู่ตงจ้านขอรับรองต่อท่านว่าทูเจวี๋ยเราจะดูแลท่านตามขนบธรรมเนียมของบ้านเมือง ท่านต้องการตำแหน่งขุนนางอันใด ท่านข่านผีเจียต้องประทานให้ท่านอย่างแน่นอน!”
ตำแหน่งขุนนางอันใดก็ประทานให้ได้? ชาวทูเจวี๋ยให้ความสำคัญข้ามากจริงนะ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “พี่ลู่ ข้าดำรงตำแหน่งขุนนางอะไรก็ได้จริงหรือ?!”
เมื่อเห็นเขาคล้ายบังเกิดความหวั่นไหว ลู่ตงจ้านจึงรีบผงกศีรษะด้วยความยินดี “ตำแหน่งอันใดก็ได้ ใต้เท้าโปรดเลือกมา!”
“พูดเช่นนี้หากข้าอยากเป็นท่านข่านทูเจวี๋ยของพวกท่าน อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา?!” หลินหว่านหรงกล่าวพลางหัวเราะร่วน
ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ แต่ละคนต่างมองเขาด้วยสายตาอันโกรธเกรี้ยว ด่าทอเสียงดังเซ็งแซ่ไม่หยุด
ลู่ตงจ้านโบกมือด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชา “ใต้เท้ากล่าวล้อเล่นแล้ว ตำแหน่งที่ต่ำกว่าท่านข่านลงไป ใต้เท้าเลือกได้ทั้งสิ้น”
หลินหว่านหรงเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น โบกมือแล้วตอบว่า “นี่ก็ไม่น่าสนใจแล้ว พี่ลู่ ท่านก็รู้สถานการณ์ของข้าที่ต้าหัว เมียทั้งสองของข้าคือองค์หญิง ท่านพ่อตาคือโอรสสวรรค์ในรัชกาลปัจจุบัน ขอเพียงข้ายินดี ใต้เท้าเช่นข้านี้ก็เดินกร่างในราชสำนักต้าหัวได้แล้ว ไหนเลยจะต้องให้ชาวทูเจวี๋ยมาควบคุมด้วยเล่า? หากท่านมีความจริงใจสักหน่อยก็ให้ข้าเป็นท่านข่าน ใต้เท้าเช่นข้ายังจะพอพิจารณาอยู่บ้าง ฮิฮิ”
สมกับเป็นชาวต้าหัวที่คิดเพ้อเจ้อเสียจริง รังแกกันเกินไปแล้ว! ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหลังลู่ตงจ้านร้องโวยวายเสียงดัง เดือดดาลจนยากจะสะกดกลั้น ราชครูทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด พูดเสียงดังว่า “ใต้เท้าหลิน สิ่งที่ท่านพูดมานี้ลู่ตงจ้านไม่อาจตัดสินใจได้ สิ่งเดียวที่ข้ารับรองได้ก็คือ ขอเพียงท่านมีความสามารถปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้นก็เป็นได้!”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าตอนนี้ข้าเป็นท่านข่านไม่ได้?!” หลินหว่านหรงส่ายศีรษะถอนหายใจ “น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ! พี่ลู่ ดูท่าว่าพวกเราคงได้แต่พบกันบนสนามรบเท่านั้นแล้ว!” ชาวต้าหัวชูดาบเหล็กที่อยู่ในมือด้วยความแข็งขัน สีหน้าหนักแน่นปรากฏให้เห็นเด่นชัด
ลู่ตงจ้านเห็นอยู่ในสายตา มันส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า “ใต้เท้า เหตุใดต้องทำเช่นนี้?! ข้างหลังท่านก็คือทะเลแห่งความตายที่ไปแล้วไม่มีวันหวนกลับ ส่วนข้างหน้าก็คือทหารม้าทูเจวี๋ยผู้ไร้เทียมทาน ท่านหมดหนทางไปแล้ว! หวังว่าใต้เท้าจะไตร่ตรองให้ดี!”
“ไม่ต้องไตร่ตรองแล้ว!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ไสม้าศึกให้เดินมาข้างหน้าหลายก้าวอย่างแช่มช้า “แม้นิสัยของคนแซ่หลินจะไม่ค่อยเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่ก็รู้ว่าสิ่งใดที่ทำได้สิ่งใดที่ทำไม่ได้ บุรุษต้าหัวเรายอมยืนตาย แต่ไม่ยอมคุกเข่าเพื่อมีชีวิต! พี่ลู่ ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกท่านไม่ใช่ว่าชอบในการสู้ตัดสินกันหรอกหรือ? เช่นนั้นก็ดี ข้าขอใช้พระนามของพระโพธิสัตว์กวนอิมผู้มีเมตตากรุณา ขอสู้ศึกตัดสินกับพี่ลู่ ท่านกล้ารับการท้ารบหรือไม่?!”
สู้ตัดสิน? มองดูหลินหว่านหรงที่อยู่กันอย่างเดียวดายสองคน จากนั้นก็มองทหารหาญนับหมื่นที่อยู่ข้างหลัง ลู่ตงจ้านเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นพร้อมเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลิน นอกจากสติปัญญาในการวางแผนการของท่านจะเหนือกว่าผู้คนแล้ว ความหนาของหนังหน้าก็ถือว่าล้ำเลิศด้วยเช่นกัน! ภายใต้สถานการณ์ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความตาย ศึกตัดสินยังจำเป็นอีกหรือ? ลู่ตงจ้านหาใช่คนโง่เช่นนั้น!”
“ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว พี่ลู่ ท่านคือคนฉลาดอย่างแท้จริง!” หลินหว่านหรงถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ “เพียงแต่ท่านบอกว่าข้าอยู่ในห้วงแห่งความตาย ข้ากลับไม่เห็นด้วย อย่างน้อยที่สุด ข้ายังมีหมากอันร้ายกาจตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้ใช้งานเลยนะ”
“หมากอันใด?!” เหมือนลู่ตงจ้านจะนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
หลินหว่านหรงควบม้ามาข้างหน้าสองก้าวพร้อมกล่าวระคนยิ้ม “ไม่มีอะไร ก็แค่ดาบทองเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งเท่านั้นเอง!…อ้อ พี่ลู่ ดาบทองนั่นท่านน่าจะได้รับแล้วกระมัง?!”
แววตาของลู่ตงจ้านกระจ่างวูบ ในมือปรากฏดาบโค้งอันวิจิตรงดงามเล่มหนึ่ง งดงามกะทัดรัด เปล่งประกายสีทองระยิบระยับ ซึ่งก็คือดาบทองที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ให้ความสำคัญเท่าชีวิตนั่นเอง “ใต้เท้าหลิน ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าของดาบทองนี้ ตอนนี้อยู่ที่ใด?!”
ลู่ตงจ้านดวงตาวาวโรจน์ สีหน้าเคร่งขรึม ไม่เห็นความผิดปกติอันใด หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เล็กน้อยแล้วตอบว่า “ตอนนี้นางอยู่ที่ใดข้าบอกท่านไม่ได้ นางน่าจะอยู่ดียิ่งกว่าข้า อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องเผชิญกับการโจมตีทั้งในที่ลับและในที่แจ้งมากมายขนาดนี้!”
“เช่นนั้นก็ดี!” ราชครูทูเจวี๋ยผงกศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใต้เท้าหลิน ลู่ตงจ้านยื่นข้อเสนอให้ท่านข้อหนึ่ง!”
“ข้อเสนออันใด?!” หลินหว่านหรงกะพริบตา
“ขอเพียงท่านยินยอมปล่อยตัวเจ้าของดาบทองเล่มนี้” ลู่ตงจ้านกล่าวด้วยท่าที่เคร่งขรึม “ขอสาบานในนามเทพแห่งทุ่งหญ้า พวกเราจะปล่อยให้ท่านออกไปจากทุ่งหญ้าอย่างปลอดภัย!”
ออกไปจากทุ่งหญ้าอย่างปลอดภัย? หลินหว่านหรงหวั่นไหว ลู่ตงจ้านจ่ายหนักขนาดนี้ ที่แท้อวี้เจียคนนี้มีสถานะอะไรกันแน่
“ว่าอย่างไร?!” เมื่อเห็นเขาก้มหน้าลงครุ่นคิดอย่างเงียบงัน ลู่ตงจ้านจึงรีบเอ่ยถามขึ้นอย่างรีบ
หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะแล้วตอบว่า “น่าสนใจอยู่บ้าง เพียงแต่พี่ลู่ท่านก็รู้ ข้าเป็นคนทำการค้า ไม่มีวันทำการค้าที่ขาดทุนแน่นอน คุณหนูอวี้เจียผู้นี้น่าจะไม่ได้ขายด้วยราคาเท่านี้กระมัง!”
คนทำการค้าตัวดี กลับเอาคุณหนูอวี้เจียมาค้าขายได้ เมื่อเห็นหลินหว่านหรงแอบหัวเราะด้วยหน้าตาทะเล้นเจ้าเล่ห์ ต่อให้ลู่ตงจ้านจะนิสัยดีอีกสักเท่าไหร่ก็อดมีน้ำโหขึ้นมาไม่ได้แล้ว “เช่นนั้นเจ้าจะเอาอย่างไร?”
“นี่ยังจะต้องถามอีกหรือ เพิ่มราคาสิ!” หลินหว่านหรงกล่าวไม่เร็วไม่ช้า “อย่างเช่น ทูเจวี๋ยของพวกท่านยอมแพ้สงคราม ลงนามในสัญญา สลายกองทหาร ตัดแบ่งดินแดนชดใช้ มอบบรรณาการทุกปี เปิดการค้าเสรีระหว่างสองแว่นแคว้น สอนภาษาต้าหัว อนุญาตให้สองแคว้นมีการโยกย้ายประชากร เชื่อมโยงทางการค้า เชื่อมโยงทางการแต่งงาน เชื่อมการส่งจดหมายข้าวของอย่างอิสระ…”
เขาพูดเงื่อนไขออกมาหลายสิบข้ออย่างต่อเนื่องเป็นชุดๆ รวดเดียว ลู่ตงจ้านโมโหจนหน้าซีด สะบัดมือแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหลิน เจ้าเพ้อฝันเกินไปแล้ว! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นลู่ตงจ้านก็ต้องล่วงเกินแล้ว หากจับตัวเจ้าได้ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะหาตัวเจ้าของดาบทองไม่พบ! ทหารทั้งหลาย ผู้จับเป็นหลินซานได้ ตกรางวัลเป็นวัวและแพะหนึ่งพันตัว ม้าเหงื่อโลหิตสามตัว อวยยศเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่ง!”
วัวและแพะหนึ่งพันตัว ม้าสามตัว? ที่แท้ข้าก็มีมูลค่าเท่ากับสัตว์เดรัจฉานที่ซื้อขายกัน! หลินหว่านหรงโมโหจนกระอักเลือด เจ้าลู่ตงจ้านคนนี้นี่ ออกจะไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว เขาไม่เข้าใจการตกรางวัลของชาวทูเจวี๋ย นึกเอาเองว่าเป็นการขายด้วยราคาของสัตว์เดรัจฉาน ถึงกระนั้นไหนเลยจะรู้ว่าวัวแพะสามพันตัว ม้าเหงื่อโลหิตสามตัวนี้มีค่าควรเมืองเพียงใด แทบจะเป็นของรางวัลที่มีมูลค่าสูงที่สุดของชาวทูเจวี๋ยแล้ว!
เนื่องจากตกรางวัลอย่างหนัก ฝุ่นดินจึงฟุ้งกระจาย ทหารม้าทูเจวี๋ยที่มีจำนวนนับพันนับหมื่นกรูเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง พุ่งทะยานเข้ามา ดาบม้าที่อยู่ในมือเปล่งประกายเจิดจ้าสีเงิน แผ่นดินสะเทือนขุนเขาสะท้าน
หลินหว่านหรงกับหูปู้กุยยืนอยู่หน้าเขตรอยต่อระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทราย มองดูชาวทูเจวี๋ยที่บุกโจมตีเข้ามาราวกับน้ำป่าไหลหลากตรงหน้านี้อย่างเย็นชา ใบหน้าอันบิดเบี้ยวแล้วสายตาอันป่าเถื่อนนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน เสียงฝีเท้าม้าอันสะเทือนเลื่อนลั่นกับแผ่นดินที่สั่นไหวแทบทำให้เยื่อแก้วหูทะลุ
ชาวทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นกว่าคนถูกกระโจมของเอ๋อจี้น่าตัดแบ่งเป็นสามส่วน เบียดเสียดยัดเยียดยิ่งนัก หลินหว่านหรงโบกมือพร้อมหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เผาค่าย! พี่หู ต้องดูฝีมือท่านแล้วล่ะ!”
“รับบัญชา!” หูปู้กุยคำรามเสียงดัง จุดไฟที่หัวธนู เขาค้อมร่างเล็กน้อย คันธนูขนาดมหึมาที่อยู่ในมือแอ่นชี้ฟ้า ธนูเพลิงอันลุกโชติช่วงแนบอยู่กับสาย
เมื่อเห็นธนูเพลิงและคันศรขนาดมหึมาที่อยู่ในมือหูปู้กุย ลู่ตงจ้านกะพริบตา หันกลับไปมองกระโจมที่เชื่อมต่อกันจนถึงขอบฟ้าของเอ๋อจี้น่ากับทหารม้าทูเจวี๋ยซึ่งกำลังเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ตรงกลางและกำลังเหยียบย่ำเข้ามาต่อเนื่องไม่ขาดสาย มันมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันทันที ใช้ภาษาทูเจวี๋ยตวาดเสียงดังออกมาว่า “รีบออกไปจากกระโจม พวกมันจะโจมตีด้วยเพลิง!”
“สายไปแล้ว!” หลินหว่านหรงเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น “พี่ลู่ ข้าจะจุดดอกไม้ไฟให้ท่านดูก็แล้วกันนะ!”
พูดยังไม่ทันจบ หูปู้กุยก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง ใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กายน้าวคันศร ธนูเพลิงที่ลุกโชติช่วงนั้นก็ยิงออกไปอย่างเร็วรี่ราวกับดาวตกที่มีดวงตางอกเงย ตกลงไปที่กระโจมหลังหนึ่งซึ่งอยู่กึ่งกลางเอ๋อจี้น่าพอดี
“พรึบ” เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา กระโจมที่ถูกสาดน้ำมันถูกอัคคีขนาดใหญ่กลืนกินภายในชั่วพริบตา หญ้าแห้งซึ่งอยู่ระหว่างกระโจมลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ทำให้เพลิงนี้แผ่ขยายออกไปทีละชั้นๆ ม้าทูเจวี๋ยซึ่งกำลังเบียดเสียดเข้ามาตกใจ ร้องโหยหวนเสียงยาว จากนั้นก็ไม่รับการควบคุมจากทหารมาอีก ชักเท้าวิ่งกระจัดกระจายออกไปรอบด้าน
หูปู้กุยยิงธนูเพลิงเสียงดังขวับๆ ออกไปอีกสองครั้ง กระโจมลุกไหม้แผดเผา เอ๋อจี้น่าตกอยู่ท่ามกลางแสงเพลิง ม้าทูเจวี๋ยวิ่งไปทั่วทุกสารทิศราวกับบ้าคลั่ง เนื่องจากเบียดเสียดกัน คนไถลม้าคว่ำ เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นไม่หยุด!
คิดไม่ถึงว่าชาวต้าหัวกลับเล่นลูกไม้ต่อหน้าต่อตาตัวเองได้ ลู่ตงจ้านใบหน้าแดงก่ำตวาดเสียงดัง กวัดแกว่งดาบม้า นำพาทหารม้าทูเจวี๋ยพุ่งตรงมายังพวกของหลินหว่านหรงทั้งสองคน
เสียงห่าธนูดังขวับๆ ถากผ่านข้างกายตนเองไป เร็วรี่ประหนึ่งสายลมแห่งทะเลทราย เมื่อเห็นว่าเอ๋อจี้น่ากลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว ชาวทูเจวี๋ยกำลังสาละวนวุ่นวายอยู่กับการเอาน้ำมาดับไฟ ทหารม้าชนเผ่านอกด่านที่กรูบุกกันเข้ามาราวกับเมฆสีดำ หลินหว่านหรงจึงหักหัวม้า มองดูใบหน้าอันแดงก่ำของลู่ตงจ้านพลางกล่าวระคนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “พี่ลู่ ไว้พบกันวันหลัง! พี่หู พวกเราไป!”
พวกเขาสองคนหวดแส้ม้าขึ้นพร้อมกัน ม้าชั้นยอดของทูเจวี๋ยแหงนใบหน้าขึ้นกู่ร้องคราหนึ่ง เท้าหน้ายกขึ้นแล้วกระโดดอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ข้ามผ่านทุ่งหญ้าวิ่งตรงไปยังทะเลทราย เสียงพายุทรายอันรวดเร็วและรุนแรงดังขึ้น ดังหวีดหวิวพร้อมกวาดม้วนร่างของพวกเขาเข้าไป เพียงชั่วพริบตาก็มองไม่เห็นแล้ว
“หยุด!” มาถึงชายขอบทะเลทราย ทหารม้าชาวทูเจวี๋ยก็หยุดลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าพวกมันปรากฏความหวาดกลัวอย่างยิ่ง กลับไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป ห่าธนูอันไร้สิ้นสุดแฝงเสียงลมหวีดหวิวยิงพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของทะเลทราย ทว่าลมทะเลทรายพัดรุนแรง ไหนเลยจะเห็นเงาร่างชาวต้าหัวได้อีก
ทะเลแห่งความตายแห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดเดินออกมาโดยรอดชีวิตมาก่อน และไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันเชื่อมต่อไปถึงที่ใด คิดไม่ถึงว่าชาวต้าหัวกลับมีความกล้าเช่นนี้ ไม่สนแม้แต่ความเป็นความตาย บุกเข้าไปอย่างห้าวหาญ
ลู่ตงจ้านหยุดรั้งอยู่หน้าชายขอบของทะเลทราย พลันผงกศีรษะ หยิบลูกศรขนาดใหญ่ข้างกายมา จากนั้นจึงมัดวัตถุที่อยู่ในมือกับลูกธนูจนแน่น เสียงหวีดหวิวดังฟิ้ว หัวธนูนั้นหมุนวนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ยิงเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลทราย…
เสียงฉึกดังขึ้นครั้งหนึ่ง หัวธนูปักลงบนพื้นทะเลทรายอย่างแรง ทำให้หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยง หูปู้กุยรั้งสายตากลับมาจากร่างของชนเผ่านอกด่านที่อยู่ริมขอบทะเลทราย มองลูกธนูนั้นพร้อมกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ บนนั้นมีของอยู่ด้วย?!”
ลมทะเลทรายรุนแรงยิ่งนัก บนตัวลูกธนูมีทรายเหลืองเกาะบาง ๆ ภายในชั่วพริบตา หลินหว่านหรงกระโดดลงจากม้า เก็บลูกธนูนั้นขึ้นมา
ลูกธนูหนักนี้ชาวทูเจวี๋ยใช้เพื่อทำลายชุดเกราะโดยเฉพาะ ตัวธนูกว้างใหญ่และมีน้ำหนักมาก ถืออยู่ในมือรู้สึกหนักอึ้งยิ่งนัก เมื่อเช็ดฝุ่นออกไปก็เห็นว่าบนธนูนั้นใช้ด้ายสีทองมัดกล่องขนาดเล็กกล่องหนึ่งเอาไว้
เมื่อเปิดกล่องนั้นออกก็มีแสงประกายสีทองปะทะเข้ามา กลับทำให้หลินหว่านหรงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
หูปู้กุยถามด้วยความตกใจ “นี่ไม่ใช่ดาบทองของอวี้เจียหรอกหรือ? ชนเผ่านอกด่านคืนให้พวกเราอีกทำไมหรือขอรับ?!”
หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็งุนงงเช่นกัน เห็นชัดว่าดาบทองเล่มนี้เป็นสิ่งของแทนใจที่อวี้เจียมอบให้กับชายคนรัก เพื่อมันแล้วชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนไม่แยแสแม้แต่ชีวิต แล้วเหตุใดลู่ตงจ้านถึงส่งมันกลับคืนมาเล่า?
เหล่าหูหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ดีไม่ดีอวี้เจียคนนี้ก็คือลูกสาวของลู่ตงจ้าน ราชครูทูเจวี๋ยถูกใจท่าน อยากให้อวี้เจียมอบดาบทองเล่มนี้ให้ท่าน รับท่านเป็นลูกเขยก็ได้นะขอรับ!”
หลินหว่านหรงวิเคราะห์ดาบทองเล่มนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนถี่ ไม่พบว่าลู่ตงจ้านเล่นตุกติก ดังนั้นจึงเก็บดาบเล่มเล็กนั้นเข้าไปในอก หัวเราะแล้วพูดว่า “อวี้เจียเป็นลูกสาวของลู่ตงจ้าน?! ต้นไผ่แย่งออกหน่อไม้ดี?! พี่หู ท่านก็ช่างคาดเดาเก่งเสียเหลือเกิน! เจ้าไม่สู้บอกว่านางก็คือท่านข่านทูเจวี๋ย ต้องการให้ข้าเป็นสามีจะดีกว่า อย่างนั้นข้ายังจะรู้สึกดีกว่าเล็กน้อยใส่อีกนะ ฮ่าๆ!”
หูปู้กุยหัวเราะพรวดออกมาเช่นกัน บอกว่าเขาพูดจาเหลวไหล แม่ทัพหลินกลับเหลวไหลยิ่งกว่าข้าเสียอีก เขามีสายตาดียิ่งนัก สายตาไปอยู่บนกล่องที่เกือบจะถูกทรายกลบกล่องนั้น เห็นว่ามีชายผ้าโผล่มามุมหนึ่งแวบๆ เหล่าหูร้องด้วยความตกใจทันที “ท่านแม่ทัพ เหมือนยังมีจดหมายอยู่นะขอรับ!”
เมื่อครู่สนใจแค่ดูดาบทอง กลับไม่ได้สังเกตว่าภายในกล่องยังมีจดหมายผ้าอยู่อีกด้วย หลินหว่านหรงปัดฝุ่นทรายบนฝากล่อง ดึงผ้าผืนนั้นออกมาจากนั้นจึงกวาดสายตามองโดยอาศัยแสงจันทร์
ผ้าผืนนั้นอ่อนนุ่มเรียบลื่นๆ เขียนตัวอักษรบูดเบี้ยวอยู่หกพยางค์ “ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้!”