ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 566 เจ้าคนซื่อบื้อ
ตัวอักษรที่อยู่บนผืนผ้านั้นบิดเบี้ยวโย้ไปเย้มา แม้แต่ลายมือของเด็กน้อยชาวต้าหัวก็ยังสู้ไม่ได้ คิดว่าน่าจะเป็นจดหมายของลู่ตงจ้าน มันคืนดาบทองมาให้ ทั้งยังเขียนประโยคนี้มาอีก ที่แท้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้?! คำพูดนี้เหตุใดถึงฟังดูคุ้นหูขนาดนี้นะ ลู่ตงจ้านคิดจะโฆษณาให้ใคร?
คิดไปคิดมา ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงไม่สนใจมันไปเลย นำดาบทองกับจดหมายยัดเข้าไปในอก หัวเราะพร้อมพูดกับหูปู้กุยว่า “ภาษาต้าหัวของเจ้าลู่ตงจ้านคนนี้กลับแค่พอถูไถ เหตุใดแค่เขียนตัวหนังสือก็ยังสู้ข้าไม่ได้เลย น่าเสียดายๆ!”
“น่าเสียดายมากขอรับ” หูปู้กุยกล่าวระคนหัวเราะ “เพียงแต่หากเอ่ยถึงการเขียนตัวอักษรต้าหัวของชาวทูเจวี๋ย ข้าว่าคุณหนูเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ สตรีผู้นี้ไม่เพียงแค่หน้าตางดงาม มิหนำซ้ำยังเชี่ยวชาญวัฒนธรรมต้าหัวอีกด้วย สติปัญญาและบุคลิกภาพทางสูงส่งกว่าผู้คนทั่วไป ลู่ตงจ้านยอมปล่อยพวกเรา แต่ก็ต้องรับรองความปลอดภัยของนาง สตรีผู้นี้จะต้องเป็นชนชั้นสูงแน่นอน!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “แต่ละชนชาติล้วนมีผู้โดดเด่นมีความสามารถ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด สิ่งที่สำคัญก็คือต้องดูว่าผู้มีความสามารถพวกนี้จะเอาความฉลาดและสติปัญญาไปใช้กับเรื่องอะไร ทั้งวันเอาแต่คิดเรื่องแย่งชิงผู้อื่นเพื่อทำให้ชีวิตของคนในเผ่าดีขึ้นเช่นอวี้เจียแบบนั้น ผลลัพธ์ของมันก็มีแต่ตรงข้ามเท่านั้น”
หูปู้กุยผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง สนับสนุนคำพูดของหลินหว่านหรงยิ่งนัก
จันทร์อร่ามฟ้าดวงดารามีเพียงน้อยนิด ลมทะเลทรายรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ใต้ท้องนภายามราตรี ทะเลทรายขาวกระจ่างใสประดุจหิมะ แม้แต่ท้องฟ้ายามราตรีก็ยังเป็นสีขาวจางๆ บนผืนทรายสีเงิน ประทับรอยกีบเท้าม้าตื้นๆ ไปทั่ว ค่อยๆ แผ่ขยายไปยังส่วนลึกของทะเลทราย
ลมทะเลทรายพัดจนทำให้คนยากจะลืมตา ทั้งสองคนวิ่งห้อตะบึงไปตามรอยกีบเท้าม้าตื้นๆ ในทะเลทรายไปสักระยะหนึ่ง เกือบครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นก็มองเห็นเงาของขบวนไพร่พลขนาดใหญ่
เกาฉิวคุมอยู่ท้ายขบวน หันกลับมามองเป็นระยะ เมื่อเห็นเงาร่างของทั้งสองคนก็โบกมือด้วยความตื่นเต้นอย่างต่อเนื่องทันที “น้องหลิน เหล่าหู พวกเราอยู่ตรงนี้!”
ครั้นเห็นว่าหลินหว่านหรงกับหูปู้กุยกลับมาอย่างปลอดภัย ทหารห้าพันนายก็โห่ร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น เสียงแห่งความยินดีดังไปทั่ว บรรยากาศแห่งความสุขนั้นกลบลมทะเลทรายในบัดดล
ทะเลแห่งความตายหลัวปู้ปั๋วเริ่มจากเทือกเขาฉีเหลียน แผ่ขยายขึ้นไปทางเหนือจากตุนหวงกานซู่ ไปจนถึงเกาชางและตีนเขาเทียนซาน ทิศเหนือติดกับเทือกเขาเทียนซาน ทางใต้ติดกับช่วงตีนเขาทางเหนือของภูเขาอาเอ่อร์จินและหัวมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาเขาคุนหลุน ตะวันออกเชื่อมต่อกับตุนหวง ตะวันตกเชื่อมต่อกับทะเลทรายถ่าเค่อลาหม่าก้าน ในทะเลแห่งความตาย มีเนินทรายทรงพีระมิดอยู่เต็มไปหมด ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นราบ สูงถึงหลายร้อยจั้ง สายลมอันบ้าคลั่งของทะเลทรายพัดพาจนก่อให้เกิดกำแพงทรายเหล่านี้ ความสูงสูงขึ้นได้อีกหลายเท่า ประหนึ่งภูเขาใหญ่ล้มถล่มลงมา น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
หลัวปู้ปั๋วอากาศแห้งแล้งตลอดทั้งปี แทบจะไม่มีฝนตกเลย ด้วยสภาพเช่นนี้จึงมีพืชและสัตว์ที่มีชีวิตรอดน้อยยิ่งนัก จึงได้รับการขนานนามว่า ‘ทะเลแห่งความตาย’
เข้าหลัวปู้ปั๋วจากอี้อู๋ก็เป็นระยะทางครึ่งหลังของทะเลแห่งความตายแล้ว เดินทางอย่างต่อเนื่องภายในทะเลทรายอันเวิ้งว้างว่างเปล่านี้มาสามวัน เมื่อทอดสายมองตาออกไปก็ยังเป็นทรายเหลืองซึ่งปลิวฟุ้งกระจายอยู่เต็มท้องฟ้าอยู่ดี มองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน และยิ่งมองไม่เห็นสีเขียวใดๆ ทั้งสิ้น หากไม่ใช่หูปู้กุยซึ่งเป็นคนนำทางใช้เข็มทิศเพื่อบ่งบอกทิศทางไม่หยุด หลินหว่านหรงก็แทบจะสงสัยว่าตัวเองเดินผิดทางเสียแล้ว
“มารดามัน! สมกับเป็นทะเลแห่งความตาย” ความร้อนระอุที่ทรายแผ่ออกมาทำให้ทหารทุกคนเหงื่อไหลรินแผ่นหลังเปียกชุ่ม หลายคนถอดเสื้อตัวบนออก เดินทางโดยเปลือยแขน เหล่าเกาเช็ดเหงื่อที่ไหลรินอยู่บนหน้าผาก เปิดถุงใส่น้ำแล้วเลีย จากนั้นจึงแขวนถุงน้ำซึ่งหวงแหนราวกับชีวิตไว้ที่เอวอย่างระมัดระวัง แลบลิ้นพลางหอบหายใจ “เดินทางมาตั้งหลายวันหลายคืนแล้ว นอกจากทรายก็คือทราย กระต่ายยังไม่ฉี่ ขนนกก็ยิ่งมองไม่เห็นสักเส้นเดียว เส้นทางนี้ให้คนเดินที่ไหนกันเล่า?!”
หูปู้กุยเก็บเข็มทิศกลับเข้าไปในถุงสัมภาระ หัวเราะพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “น้องเกา เดินทางในทะเลทรายเป็นครั้งแรก จะรู้สึกแบบนี้ก็ไม่แปลก อย่าว่าแต่เจ้าเลย หลายปีมานี้ข้าเหล่าหูเดินทางในทะเลทรายกลับไปกลับมาไม่ต่ำกว่าหมื่นลี้ นึกว่าตัวเองมองทะเลทรายขาดตั้งแต่แรก แต่พอเข้ามาในหลัวปู้ปั๋วข้าถึงเข้าใจว่าเส้นทางพวกที่เคยใช้ก่อนหน้านี้นั้นถือว่าปกติแล้วจริงๆ! เข้ามาในหลัวปู้ปั๋ว อย่าว่าแต่ขนนกเลย ที่มีขางอกเงย ที่มีขนแหลมงอกเงยก็ไม่เห็นเหมือนกัน ทะเลแห่งความตายนี้ช่างสมคำร่ำลือเสียจริง”
เขาพูดไปหลายประโยคในปากจึงแห้งผาก เลียขอบถุงใส่น้ำเลียนแบบเหล่าเกาเช่นนั้นเหมือนกัน นับตั้งแต่เข้าทะเลทรายมา หลินหว่านหรงก็ออกคำสั่งเด็ดขาด ทัพใหญ่ทุกวันนี้มีอาหารแค่สองมื้อเท่านั้น อาหารแต่ละมื้อก็จำกัดเพียงอาหารแห้งปริมาณน้อยเท่านั้น ส่วนน้ำดื่มก็ยิ่งจำกัดอย่างเข้มงวด ไม่ถึงเวลา ไม่ถึงสถานที่เป้าหมาย ห้ามดื่มน้ำเองโดยพลการ การป้อนหญ้าและน้ำให้ม้าศึกก็ใช้วิธีการเดียวกัน
เคลื่อนทัพอยู่ในทะเลทราย ความสำคัญของน้ำและอาหารไม่ต้องเอ่ยถึง ทหารห้าพันนายทำตามกฎทหารอย่างเคร่งครัด มีคำสั่งถึงทำ เมื่อห้ามก็หยุด เมื่อทำตามคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัด สามวันผ่านไปกลับไม่มีผู้ใดฝ่าฝืนเลย
ตอนนี้ถึงเวลาอาหารอีกแล้ว ทัพใหญ่จึงหยุดขบวน หูปู้กุยเหลียวมองรอบด้านหลายครั้ง ทว่ากลับไม่เห็นเงาของหลินหว่านหรง เกาฉิวดึงตัวเขาเอาไว้ ชี้ไปที่รถม้าหนึ่งเดียวที่อยู่กลางขบวน หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหาแล้ว อยู่ตรงนั้น!”
“คุณหนูอวี้เจีย พี่น้องของข้าเป็นเช่นไรแล้ว?!” มองดูใบหน้าขาวซีดของหลี่อู่หลิง หลินหว่านหรงก็ขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาฉายแววกังวลอย่างยิ่ง เข้าทะเลทรายมาสามวันแล้ว อาหารยิ่งขัดสนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนสภาพของหลี่อู่หลิงกลับไม่ได้ดีขึ้นมาตลอด นี่ทำให้คนกลุ้มใจตายแล้วจริงๆ
สาวน้อยทูเจวี๋ยพลิกเปลือกตาหลี่อู่หลิง ตรวจชีพจรให้เขาอีกครั้ง จากนั้นถึงเอ่ยปากอย่างเย็นชาออกมาว่า “เหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วยล่ะ?”
เคลื่อนทัพอย่างรีบร้อนมาหลายวัน เนื่องจากขาดน้ำ ริมฝีปากสีแดงสดของนางจึงแห้งเล็กน้อย ถึงแม้ใบหน้าจะซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ผิวพรรณกลับยังกระจ่างใสชุ่มชื้น ปราศจากมลทิน ทำให้หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ต้องทอดถอนด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าแม่หนูคนนี้โตมาด้วยการแช่น้ำนมมาตั้งแต่เล็กหรือไม่
ไม่บอกข้า? หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตามหาดาบเล็กสีทองอร่ามออกมาจากอก กวัดแกว่งอยู่ตรงหน้านาง จากนั้นก็เก็บกลับเข้าไปในอกอย่างรวดเร็ว
อวี้เจียตกใจ จากนั้นจึงโผเข้ามาด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น “ดาบทองของข้า?! อัวเหล่ากง เจ้ารีบคืนให้ข้าเร็ว!”
เนื่องจากสาวน้อยทูเจวี๋ยโผเข้ามาอย่างเร็วรี่ ดังนั้นจึงมุดเข้าสู่อ้อมอกของเขาพอดี สองมือดึงทึ้งเสื้อของเขา
แม่หนูนี่บ้าไปแล้วหรือ?! เรื่องถอดเสื้อผ้าผู้ชายก็ทำออกมาได้ สาวน้อยทูเจวี๋ยช่างห้าวหาญเสียจริงนะ หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี รีบจับเสื้อผ้าของตัวเองไว้ พูดออกมาว่า “จะ…เจ้าทำอะไรน่ะ? ตอนนี้เป็นกลางวันแสกๆ บุรุษข่มขืนได้ ลบหลู่ไม่ได้!”
อวี้เจียทั้งอายทั้งโมโห จับเสื้อของเขาพร้อมออกแรงดึงเบาๆ ทันที “จะ เจ้าเอาดาบทองคืนให้ข้า!”
เสียงดังกิ๊งคมชัด เนื่องจากนางออกแรงดึงกระชาก ชุดบริเวณหน้าอกของหลินหว่านหรงจึงคลายออก ไม่รู้ว่ามีอะไรร่วงหล่นลงมา กลิ้งแกว่งไกวไปมาบนพื้นรถออกไปไกลลิบ
“อาวุธลับของข้า!” หลินหว่านหรงร้องเสียงดัง ขณะที่กำลังจะไปแย่งคืนกลับมานั้น ของชิ้นนั้นก็ไปอยู่ใต้เท้าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ อวี้เจียมือไวตาไว คว้าใส่มือทันที เมื่อเพ่งมอง สิ่งที่กุมอยู่ในมือนั้นกลับเป็นเหรียญทองแดงขนาดเล็กเหรียญหนึ่ง นางกวาดตามองคราหนึ่งจากนั้นก็นิ่งอึ้งไป
หลินหว่านหรงเข้ามาเพื่อจะชิงไปจากมือนาง พูดอย่างมีน้ำโหว่า “กล้ามาแย่งเงินกับคนจนหรือ? เจ้าอยากตายแล้วหรือไร รีบคืนเงินมาให้ข้า!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด ถือเหรียญทองแดงเหรียญนั้นอยู่ในมือแน่น สองมือกุมเอาไว้ถึงตายก็ไม่ยอมปล่อย
อวี้เจียคนนี้ช่างดื้อด้านเสียจริงนะ! สองมือสองเท้าของหลินหว่านหรงพุ่งเข้าหาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หน้าผากมีเหงื่อไหลรินไม่หยุด สูญเสียแรงไปทั้งร่าง แต่ก็ไม่อาจแกะฝ่ามือของนางได้ ทั้งสองคนเจ้าแย่งข้าทึ้ง จ้องหน้ากันอย่างมีโทสะ อยู่ใกล้กันยิ่งนัก ได้ยินเสียงหายใจกระชั้นถี่ของอีกฝ่ายได้
ครั้นเห็นใบหน้าที่อยู่ใกล้กันแค่คืบของแต่ละฝ่ายนั้นอย่างชัดเจน ทั้งสองก็อดชะงักพร้อมกันไม่ได้ การเคลื่อนไหวของมือเชื่องช้าลง
มุมปากอันงดงามของอวี้เจียหยักยกอย่างดื้อดึง น้ำตากระจ่างใสคลอเบ้า หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็หงุดหงิดยิ่งนัก เขาคลายมือแล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ให้เจ้าก็ได้! ท่านย่ามัน วันนี้ดวงซวย เสียเงินหนึ่งอีแปะไปเปล่าๆ ข้าต้องปวดใจไปหลายปีแน่เลย!”
“พรืด” อวี้เจียป้องปากหัวเราะเบาๆ นำเหรียญทองแดงเหรียญนั้นไปไว้ที่ริมฝีปาก ทันใดนั้นนางก็เหมือนรู้สึกว่าท่าทางไม่ถูกต้อง เพราะอย่างนั้นจึงรีบทำสีหน้าเย็นชาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ข้าไม่เชื่อว่าจะควบคุมเจ้าไม่ได้! หลินหว่านหรงเช็ดเหงื่อที่อยู่บนมือ ควักดาบทองที่อยู่ในอกออกมาแล้วแกว่งไปมา หัวเราะฮิฮะพลางกล่าวว่า “น้องสาว นี่ เจ้ายังจะเอาอีกหรือไม่?!”
อวี้เจียเห็นแล้วก็ร้อนใจยิ่งนัก “เจ้า…เจ้าเอาดาบทองคืนมาให้ข้า!”
“คืนเจ้า?! ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้นะ!” หลินหว่านหรงหัวเราะหน้าทะเล้น “พอพี่น้องของข้าฟื้นขึ้นมา ดาบทองก็จะเป็นของเจ้าแล้ว ควรทำอย่างไร เจ้าก็คิดเอาเองเถิด”
เมื่อเห็นเจ้าโจรผู้นี้หัวเราะเจ้าเล่ห์ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง อวี้เจียก็กัดฟันกรอดแค่นเสียงฮึ่มๆ พูดเสียงเบาออกมาว่า “ต่ำช้า รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าจะต้องเสนอเงื่อนไขไร้ยางอายหนีออกมา!”
“สมญานามต่ำช้าไร้ยางอายข้าก็แบกรับมานานหลายปีแล้ว ไม่สนใจหรอกว่าจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกสักหนสองหน” หลินหว่านหรงพูดพร้อมหัวเราะฮิฮะ “ตรงไปตรงมาหน่อย ประโยคเดียว เจ้าจะรับปากหรือไม่รับปาก?!”
นี่ยังจะไม่รับปากได้อีกหรือ?! เจ้าโจรนี่กุมข้าอยู่ในมือแล้ว! อวี้เจียหงุดหงิดอยู่บ้าง ถึงกระนั้นก็รู้สึกอับจนปัญญา นางเงียบงันอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยปาก “เมื่อผู้ป่วยคนนี้ฟื้นขึ้นมา เจ้าจะคืนดาบทองให้ข้า…คำพูดเจ้าเชื่อถือได้?!”
“หากคำพูดข้าเชื่อถือไม่ได้ ขอให้ลงโทษว่าทั้งชาตินี้ข้าต้องถูกเมียขี่เป็นม้า!” หลินหว่านหรงชูมือขวาขึ้นสูง สาบานด้วยท่าทีอันหนักแน่น
เจ้าโจรไร้ยางอาย! อวี้เจียหน้าแดง กัดฟันกรอด “เช่นนั้นก็ดี ภายในสามวันข้าจะทำให้เจ้าคืนดาบทอง”
“อาศัยอะไร?!” หลินหว่านหรงอืมคราหนึ่ง ย้อนถามอย่างไม่ไว้หน้า
เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “ถามข้า?…ตัวเจ้าไม่มีสมองหรืออย่างไร”
หลินหว่านหรงกระเด้งขวับขึ้นมาจนเกือบทะลุยอดหลังคารถ “เจ้า…เจ้าหมายความว่า ภายในสามวันเสี่ยวหลี่จื่อก็จะฟื้นขึ้นมา?! คุณหนูอวี้เจีย เจ้าพูดอีกครั้งได้หรือไม่ เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินไม่ชัด!”
“ขี้เกียจจะพูดกับเจ้าแล้ว!” อวี้เจียเดินหน้าไปพร้อมแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง ไม่สนใจเขาอีก
สามวัน! สามวันหลังจากนี้เสี่ยวหลี่จื่อก็จะฟื้นขึ้นมา! มองดูใบหน้าขาวซีดของหลี่อู่หลิง ฟังเสียงหายใจแช่มช้าของเขา หลินหว่านหรงก็ตื่นเต้นจนยากจะควบคุมตัวเอง ลำคอแห้งผาก เขาหยิบถุงน้ำจากเอวด้วยอาการสั่นเทา สะบัดมือไปมา ถุงน้ำว่างเปล่า เหลือแค่ตรงก้นแล้ว
เพิ่งยกถุงน้ำไปถึงริมฝีปาก ขณะที่กำลังจะดูดเข้าไปหลายคำ กลับเห็นอวี้เจียจ้องมองเขาด้วยท่าทางแปลกๆ แววตาระยิบระยับ มองดูริมฝีปากที่ปลิออกเล็กน้อยของสาวน้อยทูเจวี๋ย น่าจะไม่ได้ดื่มน้ำมาสองวันแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะร่วนพลางส่งถุงน้ำไปให้ “น้องสาว เจ้าช่วยพี่น้องของข้า น้ำดื่มสะอาดนี้เป็นสิ่งที่ข้าขอบคุณเจ้า รีบดื่มเถอะ!”
ดวงหน้างามของอวี้เจียร้อนเล็กน้อย รีบร้องเหอะออกมา แล้วผลักถุงน้ำกลับคืนไป “ข้าไม่ต้องการของของเจ้า สกปรกจะตาย”
ก่อนเข้าทะเลทราย แต่ละคนต่างเติมน้ำแล้ว อวี้เจียคนนี้ก็ปราศจากข้อยกเว้น ทั้งยังเป็นหลินหว่านหรงที่เติมถุงน้ำให้นางจนเต็มด้วยตัวเองอีกด้วย เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ดูจากท่าทางของเจ้า น่าจะไม่ได้ดื่มน้ำมาสองวันแล้วกระมัง ถึงแม้น้ำในทะเลทรายจะมีค่าดั่งทองคำ แต่ก็ไม่อาจเสียดายจนไม่ยอมดื่มได้หรอกนะ ชีวิตสำคัญกว่าอยู่ดี”
“ต้องให้เจ้ายุ่งด้วยหรือ?!” อวี้เจียส่ายหน้าอย่างดูแคลน ยื่นมือน้อยๆ นุ่มนิ่มนวลเนียนมาโบกอยู่ข้างหน้าเขา
มือน้อยนั้นกลมกลึงชุ่มชื่น ขาวนุ่มนิ่มเรียบลื่น หลินหว่านหรงกำลังมองดูอย่างลุ่มหลง จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ขึ้นมาทันที ลุกขึ้นพร้อมตวาดด้วยโทสะ “เจ้า…เจ้าเอาน้ำสะอาดล้างมือ?!”
“นั่นแล้วจะทำไม?” อวี้เจียพูดอย่างเย็นชา “ไม่ใช่แค่ล้างมือ ข้ายังล้างหน้าด้วย!”
“เจ้า เจ้า…” หลินหว่านหรงโมโหจนหน้าดำคล้ำเขียว ในทะเลทรายที่หยดน้ำมีค่าดั่งทองคำ ผู้หญิงคนนี้กลับเอาน้ำช่วยชีวิตมาล้างมือล้างหน้า ยังจะมีเหตุผลอีกหรือไม่ ยังจะมีกฎหมายอีกหรือไม่?!
เมื่อเห็นว่าเจ้าโจรคนนี้สั่นไปทั้งตัว โมโหจนพูดไม่ออก อวี้เจียกลับยิ้มเล็กน้อย “สตรีรักสวยรักงามถือว่าเป็นนิสัยตามธรรมชาติ ข้าใช้ถุงน้ำของตัวเองมาล้างหน้าล้างมือ ต่อให้ต้องตายอยู่ในทะเลทราย ก็เป็นเรื่องของข้าเอง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด! ต้องให้เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?!”
“ข้าเชื่อเจ้าแล้วจริงๆ! ผู้หญิงที่ไร้เหตุผล!” เขาแหวกผ้าม่านเสียงดังขวับแล้วกระโดดลงจากรถม้าไป เสียงด่าทอด้วยความเดือดดาลของเจ้าโจรคนนั้นดังเข้าหูไม่หยุด อวี้เจียหลุบดวงตาคู่งามลงต่ำ เงียบงันไม่เอ่ยวาจา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ นั้นเอง ผ้าม่านกลับเลิกขึ้นราวกับสายลมพัดมาอีกครั้งหนึ่ง โจรหน้าดำยื่นหน้าเข้ามาจากนอกตัวรถ มือชูถุงน้ำอันว่างเปล่านั้นของเขา พูดด้วยท่าทางดุร้ายออกมาว่า “อ้าปาก…”
“ทำไม?! ”อวี้เจียส่ายหน้าอย่างดื้อดึง
ด้วยความเดือดดาล หลินหว่านหรงจึงบีบคอขาวสะอาดของนางไว้ อวี้เจียถูกบังคับให้อ้าปาก “เจ้าจะตายหรือไม่ตายก็ไม่เป็นไร แต่พี่น้องของข้าตายไม่ได้! เจ้าต้องอยู่ต่อไปให้ข้าอีกสามวัน ดื่มเร็ว!”
ภายในถุงน้ำเหลือแค่น้ำสะอาดเพียงไม่กี่คำ ไหลเข้าไปในปากอวี้เจียอย่างแช่มช้า นางไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวันแล้ว ความรู้สึกที่น้ำสะอาดเข้าไปในปากช่างหวานชื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ สาวน้อยทูเจวี๋ยไอเพราะสำลัก น้ำตาไหลทันที
“มีอะไรให้ร้องกัน!” มองดูถุงน้ำที่ว่างเปล่า หลินหว่านหรงก็ปล่อยอวี้เจีย ทำเสียงอย่างมีน้ำโหคราหนึ่ง “ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไม่เชื่อฟังขนาดนี้มาก่อนเลย! เสียเงินแล้วยังต้องเสียน้ำอีก…นับตั้งแต่ผานกู่เบิกฟ้าและแผ่นดิน การค้าที่ขาดทุนเช่นนี้ ข้าคนแซ่หลินเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก!”
ขี้เกียจจะมองน้ำตาของสาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้ เขาหมุนกายแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ถุงน้ำมันว่างเปล่าที่ห้อยอยู่ตรงเอวแกว่งไกวไปมา เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนลูกน้ำเต้าที่ลอยน้ำอยู่
อวี้เจียมองเอาหลังของเขา ร้องไห้ไปร้องไห้มาจู่ๆ ก็หัวเราะพรวดออกมาคราหนึ่ง ปิดหน้าพร้อมพูดเบาๆ ว่า “เจ้าคนซื่อบื้อ!”
มุมปากนางยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาสีฟ้าเปล่งประกายระยิบระยับ หัวเราะไปหัวเราะมากลับร้องไห้ออกมาอีกครั้งหนึ่ง