ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 567 - 1 ผมขาวทรายสีเงิน
เกาฉิวกับหูปู้กุยกำลังพูดจาสรวลเสเฮฮากันอยู่ เมื่อเห็นหลินหว่านหรงกระโดดลงมาจากรถม้าของหลี่อู่หลิง ตาถลน หน้าดำราวกับถ่าน กำลังเดินมุ่งตรงมาทางนี้
“นี่เป็นอะไรไปน่ะ?!” พวกของเหล่าเกาสองคนต่างสบตากัน ในใจเต็มไปด้วยคำถาม
หูปู้กุยหยิบถุงใส่น้ำที่แขวนอยู่ตรงเอวขึ้นมาแล้วส่งให้หลินหว่านหรง “อากาศร้อนจริงๆ! แม่ทัพหลิน เร็ว ดื่มน้ำขอรับ!!”
หลินหว่านหรงเช็ดเหงื่อ โบกไม้โบกมือแล้วดันถุงน้ำกลับไป “พี่หูท่านดื่มเถอะ ข้าเพิ่งดื่มไปเมื่อครู่นี้”
มองดูริมฝีปากอันแห้งผากของเขาแล้ว หูปู้กุยก็ขมวดคิ้ว พูดส่งเสียงทุ้มต่ำออกมา “ดื่มไปแล้วอะไรกัน ท่านแม่ทัพอย่ามาหลอกข้าเลย! เมื่อคืนท่านเอาน้ำในถุงน้ำของท่านกรอกใส่ถุงน้ำของเสี่ยวหลี่จื่อไปแล้ว แล้วจะดื่มน้ำไปตอนไหนกัน?! ท่านแม่ทัพมีจิตใจรักใคร่พี่น้อง แต่ก็ต้องดูแลเอาใจใส่ร่างกายด้วยนะขอรับ”
เหล่าหูกลับเป็นคนเอาใจใส่ หลินหว่านหรงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “พี่หู วางใจเถอะ ตอนข้ากระหายน้ำแล้วจริงๆ จะมาหาท่าน จะไปเกรงใจท่านทำไมกันเล่า ฮ่าๆ!”
เห็นท่าทางหัวเราะเฮฮาของหลินหว่านหรงก็รู้ว่าโน้มน้าวไปก็ไร้ประโยชน์ หูปู้กุยจึงทำได้แค่เก็บถุงน้ำกลับไปเท่านั้น
“น้องหลิน นี่คือเส้นทางสายไหมที่เจ้าพูดอะไรนั่นใช่หรือไม่…” เกาฉิวเหลียวมองรอบด้าน เสียงลมหวีดหวิว ทรายเหลืองเต็มไปหมด แม้ม่านราตรีจะค่อยๆ เคลื่อนคล้อยลงมาแล้วก็ตาม ทว่าความร้อนที่ทรายแผ่ออกมาก็ยังลวกฝ่าเท้าดั่งไฟแผดเผาอยู่ดี ทรมานยิ่งนัก
การเดินทัพในทะเลทรายต่างจากที่ราบ เพื่อไม่ให้พระอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาจนสิ้นเปลืองพลังกายและปริมาณน้ำโดยเปล่าประโยชน์ ทุกคนจึงพักช่วงกลางวันและออกเดินทางช่วงกลางคืน ยามที่ดวงตะวันร้อนแรงถึงขีดสุดก็ตั้งค่ายเพื่อพักผ่อน ยามสายัณห์ออกเดินทางมุ่งไปข้างหน้า เดินทัพกันทั้งคืน ต่อให้เป็นเช่นนี้พลานุภาพของทะเลทรายก็ยังเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ไกลโข ไม่อาจไม่หยุดพักผ่อนได้
“…ทั้งไม่มีผ้าไหม ทั้งไม่เห็นเส้นทาง เจ้าชื่อนี้ตั้งขึ้นมาออกจะไม่เข้ากับความจริงเกินไปแล้วกระมัง!” เหล่าเกาหน้าร้อนจนแดงก่ำ ถอนหายใจพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“นี่คือเส้นทางสายไหมนั้นไม่ผิด แต่เส้นทางสายไหมไม่ใช่เส้นทางที่ปูด้วยผ้าไหมตลอดทางอย่างเช่นท่านจินตนาการเยี่ยงนั้น…” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางส่ายศีรษะ “พูดให้ง่ายสักหน่อยก็คือ เส้นทางสายไหมนี้เป็นเส้นทางแลกเปลี่ยนทางการค้าซึ่งเชื่อมไปยังอีกทวีปหนึ่งของต้าหัวเรา เนื่องจากผ้าไหมของต้าหัวเราเรียบลื่นงดงาม ใครเห็นใครก็รัก พ่อค้าซึ่งเดินทางไปมาระหว่างทวีปเอเชียและยุโรปชอบเอาผ้าไหมวางอยู่บนหลังม้าหลังอูฐ นำไปขายยังอีกฝั่งหนึ่งของโลก ด้วยเหตุนี้เส้นทางนี้ถึงมีชื่ออันงดงาม เรียกว่าเส้นทางสายไหม”
เหล่าเกาเหล่าหูสองคนได้ฟังแล้วก็วิงเวียน ไม่เข้าใจว่าอีกฝั่งหนึ่งของโลก ทวีปเอเชียและยุโรปนั่นคือสถานที่เช่นไรกันแน่ เพียงแต่เมื่อได้ฟังน้องหลินเล่าเรื่องเส้นทางสายไหมแห่งนี้แล้วกลับเป็นเรื่องน่าสนุกเรื่องหนึ่งระหว่างเดินทาง เขาสองคนผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง หัวเราะฮ่าๆ ออกมา
บางทียิ่งรู้น้อยก็ยิ่งมีความสุขกระมัง เห็นรอยยิ้มใสซื่อจริงใจของพวกหูปู้กุยสองคน หลินหว่านหรงพลันรู้สึกอิจฉาพวกเขาขึ้นมาทันที…ความเรียบง่ายไม่จำเป็นว่าจะไม่ใช่วาสนา!
ขณะที่กำลังสัพยอกกับพวกเขาสักสองสามประโยค ที่ข้างกายกลับมีเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยดังขึ้นมา “ฝั่งหนึ่งของโลก ทวีปเอเชียและยุโรป นั่นคือที่ใดกัน?! แล้วนี่เจ้าจะไปที่ใดกันอีก?”
หลินหว่านหรงหันกลับไปก็พลันเห็นใบหน้างดงามหมดจดดวงหน้าหนึ่งกำลังมองมาที่ตนเองอย่างสงบนิ่ง กลับเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์สาวน้อยทูเจวี๋ยนั่นเอง ไม่รู้ว่านางมายืนอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไร ฝีเท้าแผ่วเบาราวกับแมวเยี่ยงนั้น
ในทะเลแห่งความตายอันเวิ้งว้างแห่งนี้ มีแต่ทรายสีเหลืองและตะวันอันร้อนแรง หญ้าไม่งอกเงยแม้แต่นิ้วเดียว กระโดดเข้าทะเลทรายเพียงลำพังย่อมเท่ากับขุดหลุมฝังให้ตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความฉลาดหลักแหลมของสาวน้อยทูเจวี๋ย นางไม่มีวันกระทำเรื่องอันโง่งมเช่นนี้ออกมาได้แน่ ดังนั้นหลินหว่านหรงรู้สึกคร้านที่จะมัดนางเสียด้วยซ้ำ มอบอิสระให้นางอย่างเต็มที่ หากมีปัญญาก็ลองหนีให้ข้าดูสิ!
อวี้เจียเบิกตากว้าง ขบริมฝีปากสีชาดเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์และความกระหายใคร่รู้ กำลังรอคอยคำตอบของเขาอยู่
หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ไม่สนใจนาง กวักมือไปทางหูปู้กุยสองคน “พี่ชายทั้งสอง พวกเรามาเปลี่ยนเรื่องคุยกันเถอะ ที่นี่มีคนล้างจนสะอาด ข้าเห็นแล้วรู้สึกไม่ชิน”
แม้พวกของเหล่าหูสองคนจะไม่เข้าใจความหมายประชดที่มีอยู่ในคำพูดของเขา แต่เมื่อดูจากท่าทีนั้นก็รู้ว่าชักสีหน้าใส่เยวี่ยหยาเอ๋อร์
อวี้เจียย่อมเข้าใจเจตนาของเขา นางอดมองเขาด้วยความโมโหและขบขันไม่ได้ เบือนหน้าไปพร้อมแค่นเสียง “บุรุษขี้งก บุรุษที่โง่จะตายอยู่แล้ว!”
สีหน้าท่าทางของสองคนนี้แปลกประหลาดพิกล เหล่าเกามองดูตาปริบๆ ตัดสินใจไม่ไปแล้ว นั่งกระแทกก้นลงกับพื้น หัวเราะแล้วพูดว่า “ในเมื่อพักผ่อน เช่นนั้นทุกคนก็นั่งลงเถอะ ฟังน้องหลินเล่าเรื่องน่าสนุกกัน!”
ก้นเขาเพิ่งจะสัมผัสพื้นกลับต้องร้องโอ๊ย กระเด้งขึ้นมาพร้อมแยกเขี้ยว หูปู้กุยหัวเราะ “น้องเกา ช่างกล้าเสียจริงนะ ทรายระอุขนาดนี้เจ้าก็กล้านั่งลงไปด้วย”
“ไม่เกี่ยวกับทราย ที่พื้นมีของ!” เหล่าเกาด่าทออย่างเคียดแค้น เตะพื้นที่เพิ่งนั่งลงไปเมื่อครู่ เสียงดังปังคราหนึ่ง คนทั้งหลายต่างเบิกตาโพลงขึ้นทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เหล่าเกาไม่ได้หลอกลวง ที่ใต้พื้นทรายกลับมีของอยู่จริงๆ
หลินหว่านหรงนั่งยองๆ ลงไป ไม่สนใจว่าจะร้อนลวกมือ เขารีบคุ้ยแหวกทรายออกไป ทุกคนจดจ้องการเคลื่อนไหวของเขาตาไม่กะพริบ
ทรายนั้นถูกแหวกออกเป็นชั้นๆ กลับมีต้นไม้แห้งอยู่ต้นหนึ่ง ต้นไม้นี้เดิมทีมีก้านอันหนาอวบอยู่สองก้าน เพียงแต่สูญเสียน้ำจนค่อยๆ โรยราไป หดจนเหลือขนาดเท่าไม่กี่ฝ่ามือ หดจนเหมือนกับหัวไชเท้าแห้ง!
“นี่มันต้นอะไร เหตุใดถึงโตอยู่ในทะเลแห่งความตายได้?!” ยังเป็นอวี้เจียที่เอ่ยปากก่อน ไม่รู้ว่าถามใครเช่นกัน…นางค่อยๆ นั่งยองๆ ลงไป อยู่ข้างหลินหว่านหรงพร้อมเอื้อมมือ ค่อยๆ ลูบต้นไม้แห้งนั้น
หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจยาว “เจ้านี่เรียกต้นหูหยาง เป็นต้นไม้ที่มีพลังชีวิตกล้าแกร่งมากที่สุดบนโลกชนิดหนึ่ง ต้าหัวเรามีชนรุ่นก่อนเคยชื่นชมมันว่า ‘เกิดแต่ไม่ตายหนึ่งพันปี ตายแต่ไม่ล้มหนึ่งพันปี ล้มแต่ไม่แห้งหนึ่งพันปี’ ความหมายก็คือความแข็งแกร่งของพลังชีวิต ไม่มีผู้ใดเทียมเทียบ”
“ต้นไม้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด?!” อวี้เจียถูลำต้นแห้งเ**่ยวนั้นเบาๆ ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจออกมาน้อยๆ “เกิดแต่ไม่ตาย ตายแต่ไม่ล้ม ล้มแต่ไม่แห้ง ชีวิตสามพันปี ถึงกระนั้นกลับไม่อาจสู้ทะเลแห่งความตายหลัวปู้เน่าเอ่อร์นี้ได้ น่าสงสาร น่าเวทนา”
“นางพูดว่าหลัวปู้เน่าเอ่อร์…อยากถามว่าหลัวปู้เน่าเอ่อร์นี่มันที่ไหนกัน?” เกาฉิวถามน้องหลินเสียงเบา
“หลัวปู้เน่าเอ่อร์? อ๋อ อาจจะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กของทูเจวี๋ยก็ได้ ไม่นับว่าโด่งดังอะไรมากนัก” หลินหว่านหรงลูบจมูก อธิบายอย่างลวกๆ
“ไม่รู้เรื่อง” อวี้เจียถลึงตามองเขา แค่นเสียงแล้วกล่าวว่า “หลัวปู้เน่าเอ่อร์ก็คือหลัวปู้ปั๋วที่พวกเจ้าพูดนั่นล่ะ ในภาษาทูเจวี๋ยของพวกเรา หลัวปู้ปั๋วเรียกว่าหลัวปู้เน่าเอ่อร์ ความหมายก็คือทะเลสาบอันงดงามที่มีน้ำมานับพันปี…หึ ที่แท้หลัวปู้ปั๋วก็คือหมู่บ้านเล็กๆ ในสายตาของอัวเหล่ากง ยังนับว่าไม่โด่งดังมาก…อวี้เจียกลับได้รับรู้ความรู้ของเจ้าแล้ว”
หลินหว่านหรงหน้าร้อน หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ภาษาทูเจวี๋ยน่ะหรือ ไม่เพราะแถมจำยาก ข้าลืมไปชั่วขณะก็ให้อภัยได้”
หูปู้กุยหัวเราะ “ทะเลสาบอันงดงามที่มีน้ำมานับพันปีอะไรกัน น่าขันยิ่งนัก ทรายที่มีอยู่เต็มไปหมดนี้ กระต่ายยังไม่ฉี่ ไหนเลยจะมีทะเลสาบได้”
เกาฉิวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างเห็นด้วยเช่นกัน อวี้เจียส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวอย่างดูแคลนออกมาว่า “ชาวต้าหัวอย่างพวกเจ้า ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ของตัวเองแม้แต่น้อย แล้วจะไม่ถูกผู้อื่นรังแกได้อย่างไร? เมื่อหนึ่งพันปีก่อนหลัวปู้ปั๋วคือทะเลสาบขนาดมหึมา ในซานไห่จิง[1] ซึ่งบันทึกสถานที่ก่อนยุคฉินของพวกเจ้า ขนานนามหลัวปู้ปั๋วว่าโยว่เจ๋อ เคยมีสถานที่กว้างใหญ่สามร้อยลี้ ที่แห่งนั้นมีแหล่งน้ำ คิมหันต์เหมันต์ไม่เคยขาด ต่อมาก็มีชื่อเรียกขานจำนวนมาก อย่างเช่น ข่งเชวี่ยไห่ (ทะเลนกยูง) ลั่วผู่ฉือ (สระลั่วผู่) แต่ละชื่อล้วนไม่พ้นคำทะเลสาบ เป็นชาวต้าหัว แต่กลับไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยเช่นข้านี้ยังต้องเหงื่อตกแทนพวกเจ้า”
เหล่าหูเหล่าเกาเล่นดาบทวนมาตั้งแต่เล็ก ที่ชอบอ่านมากที่สุดคือตำราภาพ ไหนเลยจะเคยศึกษาซานไห่จิงอะไรนั่น เมื่อถูกสาวน้อยทูเจวี๋ยกล่าววาจาต่อว่ามาสองสามประโยคก็รู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจทันที ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “ศาสตร์ทั้งหลายย่อมมีการศึกษาโดยเฉพาะ การเข้าใจประวัติศาสตร์หาใช่ให้พวกเราจดจำเรื่องราวน้อยใหญ่ได้ทุกเรื่องอย่างละเอียด หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นทุกคนก็คงกลายเป็นนักประวัติศาสตร์ไปแล้ว หากพูดอย่างไม่เกรงใจสักหน่อย คุณหนูอวี้เจีย แม้เจ้าจะขนานนามตัวเองว่ารู้เรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะรู้เรื่องราวน้อยใหญ่ภายในทูเจวี๋ยทุกสิ่ง!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ขอเพียงเป็นประวัติศาสตร์ทูเจวี๋ยที่แท้จริง อวี้เจียไม่มีทางไม่รู้”
“ร้ายกาจขนาดนี้เชียว?” หลินหว่านหรงกลอกตา หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอสุ่มถามก็แล้วกัน ขอเรียนถามคุณหนูอวี้เจียว่า ข่านองค์แรกของทูเจวี๋ยมีสนมทั้งหมดกี่คน?”
——
[1] ซานไห่จิง หรือคัมภีร์ภูเขาและท้องทะเล เป็นคัมภีร์อายุกว่า 2000 ปี บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำ ทะเล ภูเขา พืชพันธุ์และสัตว์นานาชนิด รวมไปถึงตำนานเทพต่างๆ