ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 567 - 2 ผมขาวทรายสีเงิน
“สตรีที่ท่านข้านทูเจวี๋ยเราแต่งตั้งมีทั้งหมดแปดสิบเก้าคน” อวี้เจียกล่าวดูแคลน “เจ้ามาถามเรื่องพวกนี้ด้วยเหตุใด ข้าหลอกเจ้า เจ้าก็ใช่ว่าจะรู้อยู่ดี”
“เขามีผู้หญิงมากขนาดนี้เลยนะ นั่นเยอะกว่าพ่อพันธุ์ม้าอย่างข้ามากเลย” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านข่างองค์แรกของพวกเจ้ามองสตรีเหล่านี้ที่ส่วนใดเป็นอันดับแรก?!”
คำถามพรรค์นี้ก็ถามออกมาได้! ต่ำช้าลามกมารดามันเกินไปแล้ว แต่ข้าชอบมาก! หูปู้กุยกับเกาฉิวจ้องหน้ากัน ประกายลามกวูบวาบอยู่ในดวงตา เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ดวงหน้าน้อยของอวี้เจียแดงก่ำ กล่าวอย่างมีน้ำโห “เจ้า เจ้ามันต่ำช้าลามก!”
“ข้าต่ำช้าลามก?! เป็นเจ้าคิดเหลวไหลถึงจะถูก” หลินหว่านหรงหัวเราะร่า “ให้ข้าสอนประวัติศาสตร์ทูเจวี๋ยแก่เจ้าสักครั้งก็แล้วกัน การมองสตรีครั้งแรก สิ่งที่มองย่อมเป็นใบหน้าของสตรี มิเช่นนั้นเจ้านึกว่าจะเป็นที่ใดได้ มองขามองก้น นั่นเห็นหรือ?! นั่นคือต่ำช้าลามก!”
อวี้เจียอึ้ง จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมาในทันที เจ้าโจรนี่กำลังเล่นคำ แม้แต่ท่านข้าก็ถูกเขาด่าไปยกหนึ่ง
เกาฉิวปรบมือหัวเราะอย่างต่ำช้า “ดูคนต้องดูหน้าจริงๆ ช่างเป็นคำพูดที่เอ่ยถึงสันดานของบุรุษได้ในประโยคเดียว สูงส่ง ช่างสูงส่งเสียจริง!”
มองท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของหลินหว่านหรงแล้ว สาวน้อยทูเจวี๋ยก็ทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห อยากเข้าไปต่อยเขาสักสองหมัดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ผ่านไปเนิ่นนานนางถึงกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “เห็นชัดๆ ว่าเจ้าหลอกล่อให้ข้าคิดเหลวไหล เจ้าคนนี้ ชอบก่อกวนไร้เหตุผล!”
หลินหว่านหรงส่ายศีรษะ ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ช่างสมกับที่ว่าหากคิดเพิ่มโทษย่อมไม่ลำบากในการหาถ้อยคำเสียจริง น้องสาว เจ้านี่ออกจะร้ายกาจเหลือเกินนะ ใช้ปากระราน ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นคนถูก นี่ยังจะให้คนมีชีวิตได้อีกหรือ?”
โทษของ ‘อวี้เจีย’ ย่อมไม่ลำบากในการหาถ้อยคำ[1]? ขาจงใจใช้คำพ้องมาประชดตนเอง สาวน้อยทูเจวี๋ยฉลาดหลักแหลม ไหนเลยจะฟังไม่ออก เพียงแต่นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เห็นอยู่ว่าเป็นเรื่องที่ตนเองได้เปรียบ แล้วเหตุใดพอเจ้าโจรนี่พูดไปไม่กี่คำ กลับเปลี่ยนทิศโดยสิ้นเชิงได้ เขามีความสามารถอันใดกันแน่?
“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าต้องการพูดถึงที่มาของหลัวปู้ปั๋วนี้ เช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องราวอันแสนจะงดงามให้เรื่องหนึ่ง” หลินหว่านหรงหัวเราะ กล่าวอย่างแช่มช้าออกมาว่า “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหนุ่มน้อยซึ่งเป็นราชนิกุลอยู่คนหนึ่งชื่อหลัวปู้เน่าเอ่อร์ เขาหล่อเหลาสง่างาม หน้าตาไม่ค่อยต่างจากข้า หลัวปู้เน่าเอ่อร์ไม่ยอมรับสืบทอดตำแหน่งราชา เขาต้องการเดินทางผ่านทะเลทรายไปที่ชิวฉือเพื่อศึกษาการดนตรีและการร่ายรำ ขณะเดินทางผ่านถ่าหลี่มู่เผินเขาก็หลงทาง ความกระหายน้ำและความเหน็ดเหนื่อยทำให้เขาหมดสติไปกับพื้น กลับถูกหมี่หลานบุตรสาวของเทพแห่งสายลมช่วยเอาไว้ แม่นางหมี่หลานผู้นี้ซื่อบริสุทธิ์น่ารัก สะสวยจิตใจดีงาม ทั้งสองบังเกิดรักแรกพบ ทุ่มเทใจให้ความรัก ยากพรากยากจาก เทพแห่งสายลมพอพบว่าบุตรสาวรักกับคนธรรมดา ด้วยความพิโรธอย่างยิ่งจึงควักดวงตาของหลัวปู้เน่าเอ่อร์ หักขาทั้งสองของหมี่หลาน จากนั้นก็เป่าพวกเขาแยกไปยังทะเลทรายอันนกน้างทางตะวันตกและตะวันออกสองฝั่ง ลงโทษให้พวกเขาไม่อาจพบหน้ากันชั่วชีวิต”
เมื่อเขาเล่ามาถึงตรงนี้ก็หยุดลง ทว่าอวี้เจียฟังจนรู้สึกสนใจ รีบถามขึ้นมาว่า “จากนั้นล่ะ จากนั้นพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
ขอเพียงเป็นผู้หญิงก็ต่างชอบฟังเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก จะต้องถามตอนจบออกมาให้ได้ นี่คือกฎเหล็กที่ไม่อาจโยกคลอน หลินหว่านหรงลอบหัวร่อกับตัวเอง ส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจ “ทั้งสองต่างถูกแยกกันละฟากฟ้า ไม่อาจพอกันได้ ดั่งเช่นห้วงคำนึงเฉกเช่นดาบ แต่ละดาบเร่งให้คนแก่ชรา หมี่หลานสาวน้อยผู้งดงาม ทุกวันที่คิดถึงคนรัก ภายในคืนเดียวเส้นผมก็หงอกขาว น้ำตาที่ไหลรินรวมตัวจนกลายเป็นท้องธาร กลายเป็นทะเลสาบกระจ่างใสแห่งหนึ่ง นี่คือหลัวปู้ปั๋วในตำนาน หลัวปู้ปั๋วเมื่อโบราณกาล ทะเลสาบเปล่งประกายงดงาม น้ำมรกตท้องฟ้าสีคราม แม่น้ำหลายสายไหลรวม เฉกเช่นไข่มุกที่ร่วงหล่นลงมาทีละเม็ด ว่ากันว่านั่นคือหยาดน้ำตาของสาวน้อยผู้มากด้วยความรัก”
“ต่อมาแม่นางหมี่หลานคิดถึงจนสิ้นชีวา ดวงวิญญาณกลับสู่สรวงสวรรค์ เพียงชั่วข้ามคืน ฟ้าเปลี่ยนสี ทะเลสาบแห้งเหือด หลัวปู้ปั๋วอันงดงามนับแต่นั้นก็หายไปตลอดกาล คงเหลือเพียงทรายสีเงินที่มีอยู่เต็มพื้นที่ ว่ากันว่าทรายสีเงินซึ่งมีอยู่เต็มไปหมดนี้เกิดจากเส้นผมขาวของสาวน้อย เรื่องเล่าที่เป็นตำนานนี้มีชื่อว่า หลั่งน้ำตาเช่นหมี่หลาน ผมขาวทรายสีเงิน”
หากเอ่ยถึงความสามารถในการเล่าเรื่อง คนแซ่หลินยอมรับเป็นที่สอง ใต้หล้าก็ไม่มีใครกล้ายอมเป็นที่หนึ่งแล้ว เขาวาจาเป็นเลิศ เมื่อเทียบกับการร่ายกลอนโบราณอันจืดชืดของอวี้เจีย เขากลับตรงไปตรงมา เข้าใจโดยง่าย เล่าประวัติของหลัวปู้ปั๋วนี้อย่างน่าซาบซึ้งตราตรึงใจ เข้าใจได้ทุกวัย แม้แต่ชายฉกรรจ์คนหยาบเช่นเหล่าเกากับหูปู้กุยนี้ก็ยังฟังอย่างลุ่มหลง
“หลั่งน้ำตาเช่นหมี่หลาน ผมขาวทรายสีเงิน!” อวี้เจียอดก้มหน้าลงไปไม่ได้ พูดพึมพำกับตัวเองเบาๆ ดวงตาเปล่งประกายมุ่งหวังอย่างแปลกประหลาด เจ้าโจรคนนี้เหมือนเป็นนักเล่านิทาน ก่อนหน้านี้ใช้ปริศนาคำทายมาหลอกให้ตนเองติดกับจนหงุดหงิด ต่อมานิทานเรื่องนี้กลับทำให้คนจดจำฝังใจ หนึ่งดาษๆ หนึ่งสูงส่ง เกิดการเปรียบเทียบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะ ‘หลั่งน้ำตาเช่นหมี่หลาน ผมขาวทรายสีเงิน’ สองประโยคนี้ แม้รู้ทั้งรู้ว่าเขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา ทว่ากลับทำให้คนจดจำฝังใจ ไม่มีทางลืมเลือนตลอดกาล
หลินหว่านหรงหัวเราะ “เป็นอย่างไร เรื่องนี้สนุกมากล่ะสิ? เทียบกับซานไห่จิงที่เจ้าเอาออกมาเล่าเป็นอย่างไรบ้าง?!”
“เรื่องแต่งทั้งนั้น ข้าไม่เชื่อหรอกน่า” อวี้เจียก้มหน้าลูบไล้ต้นหูหยางเบาๆ กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง
เกาฉิวชูนิ้วโป้ง เอ่ยด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง “น้องหลิน ข้าพบว่าข้าชอบเจ้าเล่านิทานมากขึ้นเรื่อยๆ มิน่าคุณหนูและองค์หญิงถึงชอบเจ้าตั้งมากมายเช่นนี้! การเดินทัพครั้งนี้แห้งเ**่ยวอับเฉาน่าเบื่อ เจ้าพอจะเล่าเรื่องให้พวกเราฟังทุกครึ่งชั่วยามได้หรือไม่?”
เจ้าคนบ้าคนนี้ เห็นข้าเป็นเจ้านิทานหลอกเด็กหรืออย่างไร? หลินหว่านหรงอืมคราหนึ่ง อยากจะถีบเจ้าแก่คนนี้ให้กระเด็นไปเสียรู้แล้วรู้รอด
สนทนากันไปหลายประโยค หูปู้กุยก็ย้ายต้นหูหยางออกไป ทันใดนั้นก็เห็นลำแสงสีขาวกระจ่างวูบ อวี้เจียร้องอ๊ะขึ้นด้วยความตกใจ กอดแขนหลินหว่านหรงไว้แน่น
ครั้นช้อนดวงตามองไป ใต้ต้นไม้นั้นกลับมีกระดูกสีขาวอันเย็นเยียบโผล่ออกมา อวี้เจียตกใจจนหน้าซีด กอดแขนหลินหว่านหรง ไม่กล้าปล่อยแม้สักชั่วเสี้ยวนาที
สตรีช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเสียจริง พวกนางสามารถฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา ทว่ากลับไม่อาจเงยหน้าเมื่ออยู่เบื้องหน้ามดแมลงและแมลงสาบได้เช่นกัน หลินหว่านหรงถอนหายใจ ขุดย้ายต้นหูกับเหล่าเกาสองคนออกไปจนหมด ทว่าข้างใต้กลับแน่นขนัด มีกระดูกขาวอยู่ทุกแห่งหน
โครงกระดูกกองระเกะระกะ สภาพยุ่งเหยิงสะเปะสะปะ มีทั้งกระดูกม้าและกระดูกคน ลองนับขั้นต้น ดูท่าทางอย่างน้อยก็มียี่สิบสามสิบคนได้ ไม่รู้ว่าตายมานานเท่าใดแล้ว
“น้องหลิน ทำ…ทำไมถึงมีคนตายอยู่ตรงนี้ได้?!” เหล่าเกาฆ่าคนฆ่ามามากมาย แต่ในทะเลทรายอันไร้ขอบเขตแห่งนี้ จู่ๆ ได้เห็นโครงกระดูกกองพะเนินเช่นนี้ กลับรู้สึกหวาดกลัว
หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว “เส้นทางสายไหม ไม่เพียงแค่มีผ้าไหมอันงดงามเท่านั้น ยังมีกระดูกขาวโพลนกองอยู่มากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้บุกเบิกของพวกเรา”
นี่คือขบวนพ่อค้าขบวนหนึ่งบนเส้นทางสายไหม มีม้วนผ้าไหมหลายสิบพับที่เกือบจะแห้งกรอบนั้นเป็นหลักฐาน อาจเพราะขาดอาหารเสบียง สุดท้ายจึงฝังร่างอยู่ในทะเลทราย
ข้างกระดูกสีขาวโพลนนั้นยังมีเศษอะไรบางอย่างอยู่ คล้ายเป็นหนังแกะแห้ง อวี้เจียไม่เอื้อนเอ่ยสักคำเดียว จัดระเบียบอย่างถ้วนถี่
หูปู้กุยมองหลายรอบ กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เหมือนจะมีตัวอักษรอยู่! มีภาษาต้าหัว แถมยังมีภาษาทูเจวี๋ยอีกด้วย! น่าแปลก เหตุใดชาวต้าหัวเรากับชนเผ่านอกด่านถึงมาผสมปนเปอยู่ที่หลัวปู้ปั๋วนี่ได้ล่ะ?!”
นี่ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกเลย หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “เส้นทางสายไหม ไม่ได้เป็นของพวกเราเท่านั้น แต่เป็นของชนชาติอื่นด้วย เป็นเส้นทางที่ใช้ร่วมกันของทุกชนชาติ พ่อค้าบนเส้นทางสายไหม ไม่แบ่งแยกต้าหัวกับทูเจวี๋ย ต่างเป็นผู้บุกเบิกที่กล้าหาญ เป็นผู้อาวุโสของพวกเรา แม้จะเป็นชนชาติที่แตกต่างกันสองชนชาติ แต่พวกเขาก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้”
อวี้เจียเงยหน้ามองเขา คล้ายกำลังขบคิดพิจารณาความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดเขา นางครุ่นคิดเล็กน้อย สายตาค่อยๆ เลื่อนลอย เงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา…
เรื่องเกี่ยวกับหลัวปู้ปั๋ว โคลงกลอนและเรื่องเล่าในบทนี้ส่วนใหญ่คือเรื่องจริง เรื่องของหมี่หลานก็นำมาจากเนื้อหาที่มีอยู่จริง ทว่าบทนี้มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย หลั่งน้ำตาเช่นหมี่หลาน ผมขาวทรายสีเงินเป็นการแต่งเรื่องของพี่ซานล้วนๆ นักประวัติศาสตร์นักภูมิศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านอย่าถือเป็นเรื่องจริง
——
[1] โทษของ ‘อวี้เจีย’ ย่อมไม่ลำบากในการหาถ้อยคำ มาจากสำนวนเดิมที่ว่า อวี้เจียจือจุ้ย เหอฮ่วนอู๋ฉือ (欲加之罪,何患无辞) โดยผู้เขียนต้องการเล่นคำว่า อวี้เจีย (玉伽) ชื่อของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ กับคำว่า อวี้เจีย (欲加)