ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 568 กลอนรัก
“ท่านแม่ทัพ ท่านดูสิ…” หูปู้กุยขุดแหวกดินทราย จัดการจำแนกแจกแจงซากโครงกระดูกภายใต้ต้นไม้อย่างละเอียดถี่ถ้วนถี่ ทันใดนั้นก็พบอะไรบางอย่าง จึงส่งเสียงดังออกมา
หลินหว่านหรงมองไปตามเสียง ภายใต้ดินทรายอันหนาทึบนั้นเผยให้เห็นโครงกระดูกอันสมบูรณ์สองโครงอยู่รําไร โครงกระดูกสองโครงนี้กอดแนบชิดกัน นิ้วมือทั้งสิบกุมประสานกันแน่น นอนอย่างสงบนิ่งอยู่บนพื้น เมื่อถูกสายลมและสายฝนมานานหลายปี กายเนื้อของพวกเขาจึกถูกย่อยสลายไปตั้งนานแล้ว หลงเหลืออยู่เพียงซากโครงกระดูกขาวเท่านั้น
อวี้เจียจ้องมองโครงกระดูกที่กอดกันแน่นนั้น ผ่านไปเนิ่นนานถึงพูดเบาๆ ออกมาว่า “เมื่อดูจากรูปร่างแล้วเหมือนจะเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี!”
“ไม่แน่ว่ายังเป็นคู่รักกันด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงมาตายอยู่ในทะเลทรายได้?!” หลินหว่านหรงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ สาวน้อยทูเจวี๋ยกลับคุกเข่าลงไป แหวกดินทรายที่อยู่ข้างกระดูกนั้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นเศษหนังแกะจำนวนหนึ่งออกมาให้เห็นรําไร หนังแกะนี้ถูกลมพัดแดดสาดส่องมานาน ดำทะมึนและแห้งกรอบมาก ยุ่ยสลายกลายเป็นชิ้นๆ ตั้งนานแล้ว ถึงกระนั้นอวี้เจียกลับอารมณ์ดี นางเช็ดดินทรายออกไปเบาๆ ต่อเศษแผ่นหนังแกะเข้าไปทีละชิ้นทีละชิ้น
บนหนังแกะผืนนี้เขียนอักษรภาษาจีนกับภาษาทูเจวี๋ยสองอย่าง ตัวอักษรแม้จะขาดหายไม่สมบูรณ์ ทว่าหลักใหญ่ใจความก็ยังอ่านได้ชัดเจน สาวน้อยทูเจวี๋ยจำแนกอย่างถ้วนถี่ สีหน้าค่อยๆ หนักอึ้ง นางถอนหายใจออกมาอย่างเลื่อนลอยในทันที ส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าผุดความอึดอัดคับข้องใจ
เมื่อเห็นว่าอวี้เจียปราศจากเจตนาขัดขวางตนเอง หลินหว่านหรงจึงประชิดใบหน้าเข้าไปพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “นี่คืออะไร?! เป็นแผนที่ขุมทรัพย์หรือเคล็ดวิชา?! เกิดเหตุการณ์ประหลาดทุกครั้งจะต้องเจอของดี ในนิยายก็เขียนกันแบบนี้ทั้งนั้น”
เจ้าคนนี้ดวงตานี่หาแต่เงินเสียจริง อวี้เจียถลึงตามองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “เหตุใดเรื่องราวอันสวยงาม พออยู่ในสายตาของเจ้าก็ต้องกลายเป็นเรื่องทุเรศต่ำตมขนาดนี้ด้วยนะ…เจ้าดูเองเถอะ”
ไม่รู้ว่าไปหาเรื่องผู้หญิงคนนี้ตรงที่ใดกันอีก สีหน้าของนางจึงเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ จ้องมองหลินหว่านหรง ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ
หลินหว่านหรงเข้าไปประชิดข้างหน้า จ้องหนังแกะแผ่นนั้นพร้อมจำแนกอย่างละเอียดคู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าก็กลับกลายเป็นแปลกประหลาด เขาอยากหัวเราะ ถึงกระนั้นก็รู้สึกกระดากใจขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าน้องหลินทำหน้าตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ สีหน้าแปลกประหลาดพิกล เกาฉิวจึงอดพูดสอดปากขึ้นมาไม่ได้ “น้องหลิน บนนี้เขียนเอาอะไรเอาไว้หรือ?”
หลินหว่านหรงถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ก็ไม่มีอะไร แค่จดหมายรักที่เก่าแก่โบราณมากฉบับหนึ่งเท่านั้นเอง”
“จดหมายรักเก่าแก่โบราณมาก?” หูปู้กุยหัวเราะ “นี่กลับแปลกแล้ว ในเมื่อเป็นจดหมายรัก เหตุใดต้องเขียนด้วยสองภาษาเล่า? หรือว่าก่อนตายพวกเขายังคิดที่จะแปลจดหมายรักของตัวเองให้กลายเป็นหลากหลายภาษาเผยแพร่ไปทั่วอีกหรือ” เกาฉิวผงกศีรษะส่งเสียงอืมออกมาคราหนึ่ง สนับสนุนความเห็นของหูปู้กุยอย่างชัดเจน
หลินหว่านหรงมองดูโครงกระดูกที่ตระกองกอดกันนั้น กล่าวเสียงทุ้มหนักออกมาว่า “สาเหตุที่เขียนด้วยสองภาษานั้นเป็นเพราะคู่รักคู่นี้เกิดจากชนชาติที่แตกต่างกัน ผู้ชายคนนี้เป็นชาวต้าหัวของเรา ส่วนผู้หญิงก็คือสตรีทูเจวี๋ย”
บุรุษต้าหัวกลับสตรีทูเจวี๋ย? หูปู้กุยเหล่าเกามองหน้ากัน หลายร้อยปีมานี้ต้าหัวกับทูเจวี๋ยอยู่ในสถานะที่เป็นศัตรูกันมาโดยตลอด ความรักของคนหนุ่มสาวสองชนชาติ นั่นถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่งของทั้งสองฝ่าย คิดไม่ถึงว่าในทะเลแห่งความตายแห่งนี้กลับฝังคู่ยวนยางต่างชนชาติคู่หนึ่งเอาไว้ด้วย
“ชายหนุ่มชาวต้าหัวนี้ถือกำเนิดในตระกูลผู้มีการศึกษา ต่อมาครอบครัวตกต่ำ ดังนั้นจึงละทิ้งเรื่องของอักษรมาทำการค้า ไปมาระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ย เขาบังเอิญได้รู้จักกับสตรีทูเจวี๋ยผู้นี้ ทั้งสองคนค่อยๆ บังเกิดความรักกันขึ้นมา ตกลงอยู่ร่วมกันตลอดชีวิต ทว่าเนื่องจากการศึกสงครามที่มีมานานหลายปีของสองแว่นแคว้น สั่งสมความแค้นเอาไว้อย่างล้ำลึกยิ่งนักความรักของพวกเขาถูกคัดค้านจากทุกคน สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้ถูกคนในเผ่าใช้ม้าจำนวนห้าสิบตัวมาเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน มอบให้กับผู้กล้าร่วมเผ่าพันธุ์คนหนึ่ง”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้หลินหว่านหรงก็ส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดต่อไปว่า “จะไม่วิจารณ์พวกเจ้าก็ไม่ได้แล้วจริงๆ…คนเราไม่ใช่สินค้า เหตุใดถึงค้าขายออกไปทั้งอย่างนี้ได้? ที่แท้พวกเจ้าเห็นสหายร่วมชาติของตัวเองเป็นอะไรกันแน่?!”
เขาใช้สายตาจ้องมองอวี้เจีย คำพูดนี้กล่าวให้ใครฟัง ทุกคนล้วนรู้ดี สาวน้อยทูเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกล่าวอย่างดื้อดึง “นิสัยของคนในเผ่าข้า ไหนเลยจะต้องให้ชาวต้าหัวอย่างพวกเจ้ามายุ่งด้วย?!”
“ไม่ให้พวกเรายุ่ง ดังนั้นเลยก่อเรื่องจนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้! หากไม่ใช่คนในเผ่าของเจ้าบีบบังคับแล้วพวกเขาจะตายหรือ?” หลินหว่านหรงชี้ไปยังโครงกระดูกที่อยู่บนพื้น พูดเสียงดังขึ้นอีกนิด กล่าวด้วยความเดือดดาล
อวี้เจียมองเขาหลายครั้ง กำหมัดน้อยแน่น กล่าวอย่างเย็นชาขึ้นมาว่า “เหตุใดถึงมาว่าแค่ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเรา? เหตุใดถึงไม่ต่อว่าชาวต้าหัวของพวกเจ้า? การคัดค้านเรื่องมงคลนี้ พวกเจ้าก็มีส่วนด้วย! หากบอกว่าบีบพวกเขาให้ตาย ก็มีความผิดของพวกเจ้าด้วยเช่นกัน!”
มองดูสองคนทะเลาะเบาะแว้งพุ่งเป้ากันไปมา เหล่าเกาเหล่าหูต่างสบตากัน รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เดิมทีสองคนนี้ประชันปัญญาประชันความกล้าก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทุกประโยคตอบโต้กันกลับไปกลับมาเช่นในวันนี้กลับเห็นได้น้อยมาก ดูท่าว่าอวี้เจียคงหาเรื่องอะไรท่านแม่ทัพหลินแล้วจริงๆ
เหล่าเกาหัวเราะอึกอักสองครา “น้องหลิน เรื่องยังเล่าไม่จบเลย ในเมื่อสตรีผู้นั้นถูกมอบให้ผู้อื่นไปแล้ว แล้วเหตุใดถึงมาอยู่กับคนรักของนาง มายังหล้วปู้ปั๋วแห่งนี้ได้อีกเล่า?”
“หนีตามกันมาน่ะสิ ยังจะมีวิธีไหนอีก” หลินหว่านหรงส่ายหน้า กล่าวด้วยความอับจนปัญญา “พวกเขาหลบหนีออกมาในคืนก่อนงานวิวาห์ ทว่ากลับถูกคนในเผ่าของผู้หญิงพบเห็น ถูกไล่ตามจนหมดสิ้นหนทาง ทั้งสองคนกัดฟันกรอด มุดเข้ามาในทะเลแห่งความตายที่ปราศจากผู้คนแห่งนี้ พวกเขาพบขบวนพ่อค้าขบวนนี้โดยบังเอิญ เพ้อฝันเอาว่าจะติดตามพวกเขาเดินผ่านเส้นทางสายไหม แสวงหาโลกของตนเอง เรื่องหลังจากนั้น ข้าไม่เล่าพวกท่านก็รู้แล้ว พวกเขาเดินเข้ามาในทะเลแห่งความตาย กลับไม่อาจเดินออกไปได้อีก การกลายเป็นกองกระดูกขาวโพลนกองหนึ่งอยู่ในทะเลทราย ไม่พรากจากกันอีกทุกชาติทุกภพ…นิ้วมือเรียวงามดวงพักตร์เปล่งประกาย กึ่งหนึ่งคือฝุ่นดินกึ่งหนึ่งดินทราย ข้าขอให้สวรรค์เบิกเนตร ลำบากเยี่ยงนี้เหตุใดถึงทอดทิ้งเรา! เฮ้อ กลอนดีๆ สหายผู้ล่วงลับท่านนี้ ไม่เพียงแค่เขียนกลอนได้ดี ความสง่างามนี้เหมือนข้าในสมัยก่อนยิ่งนัก”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง พวกของหูปู้กุยสองคนฟังแล้วก็ทอดถอนใจ เมื่อครู่ได้ฟังน้องหลินเล่านิทานเรื่องผมขาวทรายสีเงินนี้ คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วพริบตาก็มีของจริงมาแสดงให้เห็น
อวี้เจียฟังเขาร่ายกลอน นิ่งงันเหม่อลอยอยู่นาน จากนั้นถึงส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ “กลอนเป็นกลอนดี คนก็มั่นคงในรัก มิน่าถึงทำให้สตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเราเทใจให้ เทียบกับโจรที่ไร้ความรู้ทำอะไรไม่เป็นหลอกลวงผู้อื่นพวกนั้นยังดีกว่าเป็นร้อยเท่า”
นังหนูคนนี้มาประชดข้าอีกแล้วหรือ? หากพูดถึงการแต่งกลอน มั่นคงในรัก ข้าดีกว่าพี่ชายคนนี้เป็นร้อยเท่า หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เล็กน้อย แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของนาง ประชิดมาเบื้องหน้าอวี้เจีย “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ จดหมายรักของสตรีทูเจวี๋ยของพวกเจ้าเขียนว่าอะไร พอจะให้ข้าลองอ่านด้วยได้หรือไม่?”
“เจ้าอ่านออกหรือ?” สาวน้อยทูเจวี๋ยมองค้อนคราหนึ่ง ถือหนังแกะที่อยู่ในมือแน่นด้วยความระมัดระวัง
หากเอ่ยถึงภาษาทูเจวี๋ย หลินหว่านหรงก็อ่อนด้อยตื้นเขินจริงๆ เขาหัวเราะด้วยความอับจนปัญญาเล็กน้อย ส่งเสียงฮิฮะแล้วพูดว่า “มีภาษาบางอย่างที่ใช้รวมกันทั่วแผ่นดิน ถ้าไม่เรียนก็อ่านออก คุณหนูอวี้เจีย เจ้าจะอ่านจดหมายรักฉบับนี้ให้ฟังได้หรือไม่? สตรีทูเจวี๋ยจะเขียนจดหมายรักออกมาเช่นไร ข้าก็อยากรู้มากจริงๆ”
มองดูใบหน้ายิ้มทะเล้นของเขา ท่าทางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น อวี้เจียก็หน้าแดงเล็กน้อย นางจ้องหนังแกะที่อยู่ในมือนั้น ก้มหน้าลงพร้อมอ่านเสียงเบา “…ข้าเป็นปลาที่อยู่ในทะเลทรายตัวหนึ่ง น้ำตาไหลรินยามคะนึงหา กลายเป็นสายธารที่ไม่มีวันแห้งเหือดในชีวิตของข้า!”
หลินหว่านหรงเหม่อลอย ผ่านไปเนิ่นนานถึงถอนหายใจเราพูดว่า “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ นี่เป็นกลอนรักที่สตรีทูเจวี๋ยผู้นั้นทิ้งเอาไว้หรือ?”
อวี้เจียไม่เงยหน้า ส่งเสียงอืมเบาๆ ครั้งหนึ่ง “เขียนโดยสตรีทูเจวี๋ยของพวกเราจริงๆ”
“ไม่เลวๆ ที่แท้ชาวทูเจวี๋ยก็มียอดหญิงด้วย” หลินหว่านหรงปรบมือ “บุรุษชาวต้าหัวของพวกเราคนนี้ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ลักพาตัวยอดหญิงทูเจวี๋ยหลบหนี ตีให้ตายก็ไม่ยอมจำนน ความห้าวหาญเช่นนี้เสูสีกับข้าได้เลยจริงๆ นะ”
มองดูท่าทางหัวเราะต่ำช้าของคนผู้นี้แล้ว อวี้เจียก็อดแค่นเสียงออกมาคราหนึ่งไม่ได้ พูดอย่างมีน้ำโหเล็กน้อยออกมาว่า “ห้าวหาญอะไรกัน บุรุษต้าหัวผู้ชั่วช้าเช่นพวกเจ้าก็รู้จักแต่ล่อลวงสตรีทูเจวี๋ยอย่างพวกเรา!”
นี่จะโทษพวกข้าได้หรือ? หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แบมือทั้งสองข้างออกแล้วเลยว่า “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หลักการของเจ้าช่างแปลกประหลาดเสียจริง หากเป็นตามการวิเคราะห์ของเจ้า ข้าจะพูดแบบนี้เหมือนกันได้หรือไม่…สตรีทูเจวี๋ยผู้ชั่วช้า ชอบล่อลวงบุรุษต้าหัวอย่างพวกเรามากที่สุด!!”
“เจ้า!” อวี้เจียไหนเลยจะฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาไม่ออก เช่นนั้นจึงโมโหจนหน้าแดง หันหน้าไปอย่างเดือดดาล ไม่แยแสเขาอีกต่อไป
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ส่งเสียงถอนหายใจด้วยความทดท้อเป็นอย่างยิ่ง “เพียงแต่กลอนรักนี้แต่งได้ไม่เลวจริงๆ อย่างน้อยที่สุดข้าก็ชอบมาก!”
“ไม่ฟัง!” อวี้เจียปิดหูอย่างแง่งอน บางทีอาจเป็นเพราะร้อนเกินไป ใบหน้าของนางกลับแดงก่ำ
นอกจากคู่รักหนึ่งหญิงหนึ่งชายนี้แล้ว โครงกระดูกอื่นๆ ต่างปะปนอยู่ด้วยกัน ไม่อาจแยกออกจากกันได้อีก
หลินหว่านหรงพูดต่อไปว่า “ผู้บุกเบิกเส้นทางสายไหมเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชาวต้าหัวหรือว่าชาวชาวทูเจวี๋ย พวกเขาต่างเพียบพร้อมด้วยความกล้าและจิตใจที่ต้องการแสวงหา เป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าให้พวกเราเคารพนับถือ พี่หู เก็บรวบรวมโครงกระดูกของพวกเขา ฝังให้ดีๆ เถอะ”
โครงกระดูกขาวของผู้วายชนม์บนเส้นทางสายไหมนี้พิสูจน์ถึงความแล้งน้ำใจของทะเลแห่งความตาย พวกเขากับนายทหารห้าพันนายคือผู้ร่วมเส้นทางอย่างแท้จริง
บรรยากาศกดดันไปชั่วขณะ หูปู้กุยรับคำ ไปตามหานายทหารมาหลายคน ขุดหลุมขนาดใหญ่ ฝังโครงกระดูกขาวโพลนเหล่านั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บุรุษสตรีผู้มั่นคงในรักซึ่งเป็นตายร่วมกัน อยากจะพรากจากกันคู่นั้น ทุกคนใช้ทรายสร้างเป็นป้ายสุสานให้พวกเขาสองคนคนละหนึ่งป้าย แม้แต่หนังแกะที่เขียนกลอนรักอยู่เต็มไปหมดผืนนั้นก็ฝังลงไปพร้อมกัน
มองดูโครงกระดูกซึ่งค่อยๆ ถูกทรายกลบฝัง ไม่ว่าพวกเขาจะเคยสูงศักดิ์มั่งคั่งมากเพียงใด สุดท้ายก็กลายเป็นดิน ณ ช่วงเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นชาวต้าหัวหรือว่าชาวทูเจวี๋ย คล้ายไม่ได้สลักสำคัญเช่นนั้นอีกต่อไป
หลินหว่านหรงคุกเข่าลงไปก่อน โขกศีรษะให้แก่เหล่าวิญญาณของผู้บุกเบิกที่ล่วงลับอยู่บนเส้นทางสายไหม อวี้เจียเห็นเขาทำเช่นนี้แล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย นางละล้าละลังอยู่นาน แต่สุดท้ายก็กัดฟันกรอด คุกเข่าลงข้างกายเขาอย่างแช่มช้า
หลินหว่านหรงมองนางด้วยความประหลาดใจคราหนึ่ง กล่าวระคนหัวเราะออกมาว่า “นี่เจ้าคารวะใคร?”
“ต้องให้เจ้ายุ่งด้วยหรือ” อวี้เจียส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ “…แล้วเจ้าคารวะใคร?”
“คารวะผู้บุกเบิกซึ่งใช้สองเท้าเหยียบย่างเส้นทางสายไหมเหล่านี้”
อวี้เจียกัดฟันกรอด พูดออกมาเบาๆ “เช่นนั้นข้าก็คารวะพวกเขาเช่นกัน!”
หลินหว่านหรงสีหน้าเคร่งขรึมในบัดดล กล่าวเรียบๆ ออกมาว่า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าต้องคิดให้ดีนะ ผู้บุกเบิกเส้นทางเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ชาวทูเจวี๋ยของพวกเจ้า ทั้งยังมีชาวต้าหัวอย่างพวกเราด้วย เจ้าจะคารวะพวกเขาด้วยหรือ?!”
อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยน พูดจาอึกอัก “ข้า ข้า…”
“ช่างเถอะ ความเชื่อของแต่ละคนนั้นต่างกัน ข้าก็จะไม่บังคับเจ้าเช่นกัน” หลินหว่านหรงโบกมือเบาๆ พร้อมถอนหายใจอย่างเงียบงัน “เจ้าอยากคารวะใครก็คารวะคนนั้นเถอะ”
อวี้เจียเงียบงันอยู่นาน จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาทันที ชี้ไปยังสุสานของคู่รักคู่นั้นพร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ “ข้าขอคารวะพวกเขาคงได้สินะ ความซื่อสัตย์จงรักจงรักภักดีอยู่เคียงข้างกันของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนี้ทำให้ข้าซาบซึ้งใจ!”
นังหนูคนนี้กลับฉลาดเสียจริงนะ ทำให้สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้หยิ่งผยองกลายเป็นแบบนี้ได้ก็หายากยิ่งแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “ข้าซาบซึ้งมากเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็มาคารวะพร้อมกันเถอะ ต้าหัวของเรามีประเพณีแบบนี้!”
ประเพณีอะไรกัน! อวี้เจียแค่นเสียงคราหนึ่ง หน้าแดงระเรื่อ ขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว ทอดสายตามองสุสานที่ฝังร่างคู่รักคู่นั้น นางคารวะลงไปด้วยท่าทางแช่มช้อย ปากถอนหายใจพึมพำออกมาว่า “อยู่ไม่พรากจาก ตายไม่ทอดทิ้ง ร่วมเป็นร่วมตายกับคนรัก ไม่ใช่ความสุขอย่างหนึ่งหรอกหรือ?! ขอเทพแห่งทุ่งหญ้าโปรดคุ้มครอง อวี้เจียไม่อยากเห็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีกแล้ว! ขอให้คู่รักในแผ่นดินล้วนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข!”
นางประนมมือ คารวะด้วยความจริงใจ โขกศีรษะด้วยความเคารพนบนอบ
ไม่ต้องมองก็รู้ว่าแม่หนูคนนี้จะขอพรอะไร หลินหว่านหรงหลบแอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง
เมื่ออวี้เจียยืนขึ้น พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ตกแล้ว นั่งมองหลินหว่านหรง ทันใดนั้นก็หัวเราะเบาๆ ออกมา “อัวเหล่ากง ข้าอยากดื่มน้ำ เจ้ายังมีอีกหรือไม่?!”
ไม่อยากให้พูดเรื่องไหนก็พูดเรื่องนั้นจริงๆ นะ! เจ้าเอาน้ำสะอาดไปล้างหน้าแล้ว ยังกล้ามาขอน้ำจากข้าเพื่อดื่มอีก? หลินหว่านหรงสีหน้าแปรเปลี่ยน กล่าวด้วยความโมโหดุร้าย “หากเจ้ายังกล้าพูดคำว่าน้ำออกมาอีกสักคำหนึ่ง ข้าจะขอแลกกับเจ้าแล้ว”
มองดูริมฝีปากแตกแห้งผากของเขา อวี้เจียก็ส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเจ้าฉลาดมาก แต่บางครั้งก็ข้ารู้สึกว่าเจ้าก็โง่เหมือนลิง!”
“ขอร้องล่ะ ลิงน่ะฉลาดเข้าใจหรือไม่?!” หลินหว่านหรงพูดด้วยความไม่พอใจ
อวี้เจียยิ้มเล็กน้อยพลางผงกศีรษะ หัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ลิงฉลาด เจ้าดื่มน้ำแล้วหรือยัง?!”
หลินหว่านหรงกลืนน้ำลายลงไปในลำคอแห้งผาก “ต้องให้เจ้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยหรือ..เมื่อครู่ข้าเพิ่งดื่มไปหนึ่งร้อยกว่าอึก แน่นจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่มีเวลามาพูดไร้สาระกับเจ้า พี่หู สายแล้ว ขบวนออกเดินทาง!”
หูปู้กุยรับคำ ขี่ม้านำหน้า ทหารห้าพันนายเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ เมื่อหลินหว่านหรงหันกลับมา กลับไม่พบร่องรอยของสาวน้อยทูเจวี๋ยแล้ว
เกาฉิวส่งถุงผ้าที่มีผ้าไหมห่อหุ้มเอาไว้ให้เขาถุงนึง กะพริบตาด้วยความหมายกำกวม “น้องหลิน เยวี่ยหยาเอ๋อร์ให้ข้าเอาสิ่งนี้มอบให้เจ้า!”
ให้ข้า? อีกทั้งยังฝากเหล่าเกาเอามาให้อีก? หลินหว่านหรงเหลียวมองรอบด้าน กลับไม่รู้ว่าอวี้เจียมุดไปอยู่ท้ายขบวนไหนแล้ว
ถุงผ้าไหมนี้ให้สัมผัสอ่อนนุ่ม พอบีบแล้วก็มีเสียงขลุกขลิกเบาๆ ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรเอาไว้
เขาแกะถุงออกด้วยความสงสัย เพิ่งมองได้แวบเดียวก็นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
สิ่งที่อวี้เจียมอบให้กลับเป็นถุงน้ำที่บรรจุอยู่เต็มถุงหนึ่ง บริเวณปากถุงมีรอยประทับริมฝีปากหยักโค้งที่ถูกลมพัดจนแห้งคล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่รอยหนึ่ง ทั้งยังส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมาอีกด้วย…