ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 570 - 2 พายุ
“ทำอะไรน่ะ” อวี้เจียมีโทสะแล้ว ออกแล้วโบกมือ “ของที่ถูกเจ้าทำให้สกปรก ข้าไม่เอาหรอกนะ!”
หลินหว่านหรงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าขอสาบานด้วยชื่อเสียงอันสูงส่งของข้า น้ำนี้ข้าไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย!”
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ได้แตะต้อง?!” สาวน้อยกัดฟันกรอดด้วยท่าทีอันแข็งกร้าว “พวกเราชาวทูเจวี๋ย ของที่ให้ออกไปแล้วจะไม่มีวันรับกลับคืนมาอีก นี่คือสิ่งที่ข้าคืนให้เจ้า มันเป็นของเจ้า หากเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นก็เทมันทิ้งลงไปในทะเลทรายก็พอแล้ว”
คนโง่น่ะสิถึงจะเทน้ำสะอาดลงไปในทะเลทราย มองดูอวี้เจียเดินหน้าไปด้วยท่าทีอันแข็งกร้าว หลินหว่านหรงก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดีเหมือนกัน ตอนนี้พวกเขามีสถานะเป็นศัตรูกัน แล้วทำไมกลับต้องผลักไสกันไปมาเพราะเรื่องถุงน้ำด้วยนะ พอคิดถึงเรื่องนี้ หลินหว่านหรงก็รู้สึกแปลกๆ
ทั้งสองคนโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง ทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นจึงสงบไป
ทะเลทรายเป็นสีแดงฉาน อาทิตย์อัสดงประหนึ่งโลหิต ทัศนียภาพอันงดงามเช่นนี้กลับมีความงดงามเฉพาะตัวยิ่งนัก อวี้เจียทอดสายตามองออกไปไกลด้วยท่าทีอันสงบนิ่ง ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงด้วยความตกใจออกมาว่า “นั่น นั่นคืออะไร!”
หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ช้อนสายตามองดู เห็นเพียงว่าบนเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ นั้น มีไอหมอกปกคลุม ค่อยๆ ปรากฏป่าทึบสีเขียวชอุ่มโผล่ออกมาอย่างน่าประหลาด ภายในป่ามีตัวเมืองอันยิ่งใหญ่อลังการตั้งตระหง่านอยู่แห่งหนึ่ง ธงชักขึ้นสูงโบกพลิ้วไสว หอคอย กำแพงเมือง รถม้า จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ล้อมรอบเมืองนั้นคือแม่น้ำใสสะอาดที่ไหลอย่างแช่มช้า ม้าวัวแพะเดินหาอาหารอย่างสบายอารมณ์ บุรุษละสตรีหนุ่มสาวรื่นเริงมีความสุข เดินเลี้ยงม้าร้องรำทำเพลง
เมืองซึ่งโผล่อย่างกะทันหันบนเส้นขอบฟ้านี้ราวกับเมืองบนสรวงสวรรค์ มองเห็นอย่างชัดเจน ราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม โดยเฉพาะสายน้ำที่ไหลรินนั้น สำหรับคนที่อยู่ในทะเลทรายแล้วก็ยิ่งยั่วยวนใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่ใช่แค่หลินหว่านหรงกับอวี้เจีย แม้แต่นายทหารทุกคนก็มองจนเหม่อลอย
“นะ…นี่มันคือที่ไหนกันแน่ เป็นสวรรค์อย่างนั้นหรือ?!” อวี้เจียมองอย่างลุ่มหลงยิ่งนัก กล่าวพึมพำกับตัวเอง
สวรรค์?! ห้วงสมองของหลินหว่านหรงกระจ่างวูบ กระเด้งขึ้นมาทันที หัวเราะเสียงดังพร้อมพูดว่า “ข้ารู้แล้วเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น[1] นี่คือเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น!”
“เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น?!”อวี้เจียอวี้เจียขมวดคิ้วเล็กน้อย ใช้สายตากระหายใคร่รู้มองดูเขา “อะไรคือเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น?”
สาวน้อยคนนี้เติบโตบนทุ่งหญ้า แต่กลับไม่เคยเห็นภาพลวงตา ช่างน่าเสียดายเสียจริง หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “ต้าหัวเรามีกลอนกล่าวไว้ว่า ริมห้วงมหรรณพเซิ่นปล่อยไอกลายเป็นตึกและหอ ยิ่งใหญ่ไพศาลดั่งเวียงวัง เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นที่ว่านี้อันที่จริงแล้วก็คือภาพที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงหักเหกับพื้นดิน สะท้อนภาพที่อยู่ห่างไกลออกไป ดังนั้นพวกเราจึงเห็นตลาด ตัวเมือง ขุนเขาสายน้ำ ตัวคน มิหนำซ้ำยังกำลังขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีกด้วย ทุกอย่างมีชีวิตชีวาราวกับของจริง เซิ่นคือมังกรโบราณของต้าหัวชนิดหนึ่ง ตามตำนานเล่าว่ามันพ่นไอออกมาเป็นหอคอยและเมือง ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น”
เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น จากความหมายของชื่อ โดยหลักแล้วจะปรากฏบนผิวทะเล จะปรากฏในทะเลทรายเป็นบางครั้งเช่นกัน แต่พบไม่มากมายนัก อวี้เจียไม่เคยเห็นกลับพอให้อภัยได้
อวี้เจียร้องอ้อออกมาครั้งหนึ่ง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น ชื่อนี้กลับมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก ไม่เหมือนแต่งขึ้นมา เจ้าโจร ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยมาทะเลทราย แล้วเหตุใดถึงรู้ที่มาของเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นได้?!”
“เพราะข้าใฝ่รู้พากเพียรพยายาม อ่านตำรามากมายน่ะสิ” หลินหว่านหรงโม้โดยไม่แม้แต่กะพริบตา
“ข้าไม่เชื่อหรอก!” อวี้เจียหัวเราะ ทอดสายตามองทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ห่างไกลออกไป ภายในดวงเนตรอันงดงามเปล่งประกาย “สวรรค์ก็มีเมืองเช่นนี้ ซ้ำยังเรียกว่าเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น! หากข้าไปดูได้ นั่นจะดีมากเพียงใดนะ!”
ดูผายลมน่ะสิ! ภาพที่แท้จริงของเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นนี้ อย่างน้อยก็ห่างออกไปพันลี้ แล้วเจ้าจะไปตามหาที่ไหนได้? หลินหว่านหรงหัวเราะ “อย่าเลยดีกว่า ไม่แน่ว่าภาพของพวกเราทางนี้ก็สะท้อนขึ้นไปบนฟ้า กลายเป็นเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นในสายตาของผู้อื่นที่อยู่ไกลห่างออกไปก็เป็นได้!”
“จริงหรือ? พวกเราก็เป็นเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นด้วย?!” อวี้เจียยินดีเป็นล้นพ้น หันกลับมามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดีและความมุ่งหวัง
ผู้หญิงช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่หลอกให้ดีใจง่ายที่สุดในใต้หล้าเสียจริง! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครั้ง “น่าจะไม่ผิด เจ้ามองทิวทัศน์บนสะพาน ผู้ที่ชมทิวทัศน์มองเจ้าอยู่บนตึก พูดแล้วก็ไม่ใช่หลักการเช่นนี้หรอกหรือ?”
สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาคราหนึ่ง ก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเบาๆ ออกมาว่า “อัวเหล่ากง เห็นเจ้าท่าทางเหมือนคนไม่ได้เรียนตำรับตำรา เหตุใดถึงพูดจามีหลักการออกมาได้?!”
ข้าไม่ได้เรียนตำรับตำรา?! เจ้าเห็นด้วยตาข้างไหน! สมุดภาพที่เกาฉิวให้ข้า ข้าพลิกดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะออกมาคราหนึ่ง กล่าวโดยยิ้มแต่เปลือกนอก “อันธพาลมีอารยะ สตรีต่างหวาดกลัว! คุณหนูอวี้เจียเจ้าต้องระวังนะ!”
สาวน้อยนิ่งงัน จากนั้นก็หัวเราะคิกคักในทันที “หากอันธพาลในใต้หล้ามีมาตรฐานเช่นเดียวกับเจ้า เช่นนั้นสตรีอย่างพวกเราก็ไม่ต้องกลัวแล้ว!”
นี่คือการดูถูก ดูถูกกันเห็นๆ หลินหว่านหรงโมโหจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน! อวี้เจียส่ายหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า “คิดไม่ถึงว่าในทะเลแห่งความตายกลับมีภาพอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วย ผู้อื่นเป็นเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นในสายตาเรา พวกเราก็เป็นเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นในสายตาผู้อื่นด้วยเช่นกัน อัวเหล่ากง คำพูดนี้ของเจ้ากลับบอกเล่าถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสารพัดอย่างบนโลกมนุษย์จนหมดสิ้น”
หรือว่าข้าจะเป็นคนมีตรรกะอันล้ำลึกขนาดนี้จริงๆ? ตัวของหลินหว่านหรงยังรู้สึกประหลาดใจจนต้องหัวเราะออกมา!
ภาพของเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นนี้ปรากฏอยู่ในสายตาของนายทหารทุกคน เมื่อคิดเชื่อมโยงไปถึงการฟื้นขึ้นมาของหลี่อู่หลิงในวันนี้ก็พลันบังเกิดเป็นศุภมงคลจากสรวงสวรรค์ หมายถึงทัพของเราจะโชคดีมีชัย
ผ่านไปไม่นานเมืองบนสวรรค์นั้นก็ค่อยๆ มลายหายไป ในที่สุดเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นก็กลายเป็นไอลอยล่อง ไม่หวนคืนอีก อวี้เจียมองอย่างเหม่อลอย พูดพึมพำว่า “เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น ที่แท้ก็เป็นความฝันตื่นหนึ่ง หาใช่ความจริง!”
ไอหมอกสลายหายไป ลมทะเลทรายทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หินและทรายกระทบใบหน้าจนเจ็บ ทะเลแห่งความตายราวกับพิโรธอย่างเฉียบพลัน บริเวณที่เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นหายไปนั้นผุดเมฆสีเหลืองเข้มกลุ่มหนึ่ง เคลื่อนที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ในหูก็ได้ยินยินเสียงกึกก้องของมัน
“นี่คืออะไร?!” หลินหว่านหรงถามด้วยความประหลาดใจ
อวี้เจียมองอย่างถ้วนถี่คราหนึ่ง หน้าซีดขึ้นมาทันที “พายุทะเลทราย!”
นึกว่าจะช้าไป แต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด นางเพิ่งพูดจบ ทะเลแห่งความตายซึ่งเมื่อครู่ยังอ่อนโยนอยู่พลันเปลี่ยนสีหน้า หินและดินทรายปลิวว่อน สายลมบ้าคลั่ง เมฆเหลืองอันเร็วรี่กลุ่มนั้นแฝงเสียงหวีดหวิว พุ่งเข้ามาหาภายในชั่วพริบตา ฟ้าดินกลายเป็นสีเหลืองหม่นภายในชั่วพริบตา เพียงห่างออกไปไม่กี่จั้งก็มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนแล้ว
“ลมพายุมาแล้ว ทุกคนรีบคุกเข่าลง จับมือให้แน่น ให้ช่วยเหลือกันและกัน…” หูปู้กุยซึ่งมีประสบการณ์ในทะเลทรายมากที่สุดใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย ตะโกนเสียงดังลั่นแข่งกับเสียงลม เกาฉิวกับสวี่เจิ้นที่อยู่อีกด้านหามหลี่อู่หลิงลงจากรถม้า ใช้ร่างกายของทั้งสองคนบังกันเขาเอาไว้
ช่วงหลายวันนี้ประสบพายุทะเลทรายมาหลายครั้ง เพียงแต่เสียงนั้น ขนาดนั้น กลับคนละเรื่องกับคราวนี้โดยสิ้นเชิง
เสียงลมหวีดหวิวดังลั่นข้างใบหู เมฆสีเหลืองซึ่งเคลื่อนที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วนั้นค่อยๆ เผยโฉมหน้าอันบิดเบี้ยวออกมา ราวกับลูกข่างขนาดมหึมาที่กำลังหมุนอย่างเร็วรี่ซึ่งกำลังปะทะเข้ามาพร้อมเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว ระหว่างทางที่เข้ามาหายังคงหมุนวนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วไม่หยุด พัดพาจนหินดินทรายกระจัดกระจาย ประหนึ่งคมดาบอันแหลมคม
เนินทรายที่อยู่ใต้เท้าโยกคลอนราวกับจะโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า คนไม่อาจยืนตรงได้อีก ทรายที่มีอยู่เต็มใบหน้าเข้าไปในปากและจมูก ทำให้หายใจติดขัดขึ้นมาทันที
“รีบไปเร็ว!” หลินหว่านหรงตวาดเสียงดัง จับมืออวี้เจียหมุนกายแล้ววิ่งลงไปจากเนินทราย เสียงลมหวีดหวิวดังอยู่ข้างหลัง ประหนึ่งมีน้ำหนักนับหมื่นจินกดทับลงมา ทั้งสองสิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย สายลมพัดหมุนวน ใต้เท้ากลับเบามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะหลุดจากผิวพื้นดินเยี่ยงนั้น
หนีไปได้แค่ไม่กี่ก้าว เนินทรายที่อยู่ข้างหลังก็ส่งเสียงถล่มดังครืน ถูกพายุทรายนั้นกวาดม้วนทั้งลูก ปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้าเป้นวงขนาดมหึมา ทรายซึ่งโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งนั้นรวมกันเป็นกลุ่มเดียว กลายเป็นพายุทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น รุนแรงมากยิ่งขึ้น พุ่งเข้าหาทุกคน
“คุกเข่า รีบคุกเข่าลง!” ท่ามกลางสายลมอันบ้าคลั่ง หลินหว่านหรงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงตัวเอง ทุกครั้งที่อ้าปากก็จะมีพายุทรายขนาดม**มากรอกเข้าลำคอ แสบจนเขาต้องไอและหอบออกมาอย่างรุนแรง เขาจับมืออวี้เจียไว้แน่น ตะโกนเสียงดังโดยใช้พลังทั่วทั้งร่าง
สาวน้อยทูเจวี๋ยคล้ายได้ยินเสียงตะโกนของเขา งอขาทั้งสองข้างลงในบัดดล มือจับเขาแน่น ดึงเขาให้คุกเขาลงไปด้วย
พายุทะเลทรายที่กำลังหมุนวนอยู่ข้างหลังดังหวีดหวิว แฝงพลานุภาพในการขุดรากถอนโคน หมุนวนข้างกายคนทั้งสองไม่หยุดหย่อน หลินหว่านหรงรู้สึกเพียงว่าร่างกายตนเบาหวิว ร่างกายที่มีน้ำหนักหนึ่งร้อยสี่ซ้าห้าสิบจิน[2] คล้ายจะกระเด้งขึ้นไปในอากาศ กลายร่างเป็นเม็ดทรายในทะเลทรายเม็ดหนึ่ง
หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด หากถูกกวาดม้วนขึ้นไปในอากาศ นั่นก็เท่ากับมุดเข้าไปในเครื่องปั่น สิ่งที่รอคอยเขาอยู่ก็คือร่างที่แหลกสลายป่นปี้! เขาคำรามดังอ๊ากออกมาคราหนึ่ง สองขาจมลงไปในทรายอย่างแรงเพื่อเพิ่มแรงต้านทาน ยับยั้งไม่ให้ร่างกายปลิวหมุนขึ้นฟ้า
“พรึบ!” เสียงทึบๆ ดังท่ามกลางสายลมคราหนึ่ง แม้จะเบา แต่หลินหว่านหรงกลับได้ยินอย่างชัดเจน
อวี้เจีย!
เขารีบจับมือของสาวน้อยแน่น ฝืนลืมตาท่ามกลางลมทะเลทราย เห็นว่าร่างของสาวน้อยทูเจวี๋ยเป็นเหมือนต้นหลิวที่กำลังเอียงล้ม สองขาแกว่งไกวไปมาท่ามกลางสายลม เห็นว่ากำลังจะถูกกวาดม้วนเข้าไป เพียงแต่นางมีสีหน้าดื้อดึง ต่อให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมขอร้อง!
ผู้หญิงที่ดื้อด้านคนนี้นี่! หลินหว่านหรงโมโหจนคำรามด้วยโทสะ สองขาดีดขึ้นอย่าเร็วรี่ทันที สะบัดแขนออกไปแล้วกอดนางไว้ในอ้อมอกแน่น
อวี้เจียตัวสั่น ทว่ากลับไม่สนใจความเป็นความตาย ประหนึ่งม้าป่าที่ไม่ยอมสยบตัวหนึ่ง ดิ้นรนอย่างรุนแรงภายในอ้อมอกเขา
“เจ้าทำอะไร อยากตายอย่างนั้นหรือ?” หลินหว่านหรงระเบิดโทสะ ตวาดอย่างรุนแรงข้างใบหูนางด้วยกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด ประหนึ่งหมาป่าที่น่ากริ่งเกรงตัวหนึ่งท่ามกลางลมพายุทะเลทรายอันรุนแรงนี้
ร่างของอวี้เจียชะงักงัน พยายามออกแรงลืมตาขึ้นมองเขาอย่างเต็มที่ ท่าทางตวาดดุดันรุนแรงของเจ้าโจรคนนี้ราวกับเทพสวรรค์ที่กำลังเดือดดาล ดวงตาของสาวน้อยทูเจวี๋ยสาดประกายหลายหลาก แปรผันมากหลายออกมาภายในชั่วพริบตา สลับซับซ้อนยิ่งนัก
ครั้นเห็นนางไม่ขัดขืนต่อไป หลินหว่านหรงถึงผ่อนลมหายใจยาว ผู้หญิงทูเจวี๋ยคนนี้ยังป่าเถื่อนยิ่งกว่าเสือดาวเสียอีก ไม่โหดสักหน่อย ก็คุมนางไม่อยู่แล้วจริงๆ
สายลมบ้าคลั่งรุนแรง สองคนกอดกัน ได้ยินเพียงเสียงลมดังข้างใบหู ร่างกายเป็นเหมือนเรือน้อยที่ขยับขึ้นลงเป็นระยะตามระลอกขึ้นบนห้วงมหรรณพ
เสียงดังแคว่กคราหนึ่ง กลับเป็นชุดที่อยู่ทางด้านหลังของหลินหว่านหรงถูกหินที่ปลิวอยู่กรีดจนขาด ชุดนั้นถูกสายลมอันบ้าคลั่งฉีกขาดปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางสายลมรุนแรง
“ถุงน้ำ!” อวี้เจียอ้าแขนทั้งสองข้างออก ร้องเสียงดังออกมา นางขดตัวอยู่ในอ้อมอกหลินหว่านหรง ดังนั้นจึงมองเห็นชัดเจน ถุงน้ำซึ่งแขวนอยู่ที่เอวของหลินหว่านหรงปลิวหมุนวนไปกับสายลมตามชุดที่ขาดวิ่นนั้น จากนั้นจึงร่วงหล่นห่างจากตัวไปไม่กี่จั้ง
น้ำดั่งชีวิต! หลินหว่านหรงปวดใจ ทว่ากลับไม่อาจสนใจอะไรได้มากนัก น้ำหมดสิ้นก็ยังหาใหม่อีกได้ คนหมดสิ้น เช่นนั้นก็เท่ากับสลายเป็นอากาศธาตุของจริงแล้ว
ยังคิดไม่จบก็รู้สึกหน้าอกเบาโหวง อวี้เจียคนนั้นกลับพุ่งปราดออกไปราวกับแม่เสือดาวอันปราดเปรียวว่องไว เมื่อดูจากทิศทางนั้นแล้วกลับพุ่งตรงไปยังถุงน้ำ
สายลมบ้าคลั่งดังหวีดหวิว หมุนวนโอบล้อมร่างกายนาง กำลังจะดึงร่างนางให้ลอยขึ้น สาวน้อยทูเจวี๋ยโผลล้มลงกับพื้น เพียงยื่นมือออกไปเท่านั้น
ร่างกายของนางต้านลม นิ้วมืออยู่ห่างจากถุงน้ำแค่ไม่กี่นิ้ว ถึงกระนั้นจนแล้วจนรอดก็คว้าไม่ถึง สาวน้อยกัดริมฝีปากจนหลั่งโลหิต สองขาดีดให้ไปข้างหน้าอย่างแรง สายลมบ้าคลั่งรุนแรง ค่อยๆ พัดพาร่างนางขึ้น ส่วนถุงน้ำนั้นก็หมุนวนไม่หยุด ตั้งแต่ต้นนิ้วมือก็อยู่ห่างจากถุงน้ำเพียงน้อยนิด ถึงกระนั้นก็ยากจะเข้าใกล้ได้อยู่ดี
เมื่อเห็นว่าสายลมอันบ้าคั่ลงกำลังจะพัดาร่างนางให้ลอยขึ้น อวี้เจียก็หลับตา น้ำตาสองหยดไหลริน ขณะที่กำลังจะทำใจจากไปตามสายลมนั้นเอง กลับรู้สึกว่าร่างกายถูกดึงกลับมาอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
เสียงซึ่งเกือบจะเหมือนการขู่คำรามเสียงหนึ่งดังข้างใบหูนาง “ผู้หญิงโง่ เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ?!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยน้ำตาไหลพราก นางยื่นมือออกไปคว้าถุงน้ำกลับมาอย่างรวดเร็ว กอดไว้ในอกแน่น
หลินหว่านหรงใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นทราย สองขาย่ำอยู่บนพื้นทราย คุกเข่ากอดร่างเยวี่ยหยาเอ๋อร์เอาไว้ ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นเขาที่รีบรุดเข้ามาโดยไม่สนชีวิต เพียงแต่เพลิงโทสะที่มีอยู่ในใจกลับไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้แล้ว “เจ้าจะทำอะไรกันแน่? เจ้าไม่อยากอยู่ แต่ข้ายังอยากอยู่นะ ถูกเจ้าทำให้โมโหจะตายอยู่แล้ว!”
“ไม่ได้ทำอะไร” สาวน้อยตวาดด้วยโทสะออกมาทันที เสียงดังกว่าเขาหลายเท่านัก คล้ายเสือดาวน้อยที่กำลังเดือดดาลตัวหนึ่ง “น้ำที่ข้าให้เจ้า ห้ามหายไปแม้แต่หยดเดียว ฟังเข้าใจหรือไม่? ก็แค่นี้ล่ะ!”
พอพูดจบนางก็กอดถุงน้ำนั้นแน่น มุดขวับเข้าไปในอ้อมอกหลินหว่านหรง ซุกใบหน้าเข้ากับหน้าอกเขา ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีกต่อไป!
——
[1] เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น หมายถึง ภาพลวงตา
[2] จิน เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของ โดยหนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม