ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 571 - 1 หลอกลวงและแค้นใจ
นังหนูคนนี้กลับยังร้ายกาจกว่าข้าอีกหรือ? ถูกนางเอะอะโวยวายใส่ หลินหว่านหรงกลับอึ้งไป อะไรคือห้ามหายไปแม้แต่หยดเดียว? แม่หนูนี่ออกจะวางอำนาจเกินไปแล้วกระมัง
ทะเลแห่งความตายเป็นสีเหลืองขมุกขมัวไปหมด เสียงสายลมขู่คำรามอย่างบ้าคลั่ง หินดินทรายปลิวว่อน เมื่อทอดสายตามองออกไปไกลก็เหมือนเมฆสีเหลืองซึ่งกำลังเคลื่อนที่พวยพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ลมพายุที่มีอยู่เต็มผืนฟ้าคำรามก้อง กวาดม้วนฝุ่นดินคละคลุ้ง เศษหินขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันปลิวลอยหมุนวนอยู่ในอากาศ กระแทกกับพื้นส่งเสียงดังเพียะๆ อยู่ใจกลางลมพายุ หลินหว่านหรงซึ่งแม้ปกติจะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งไร้เทียมทานก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนใบไม้แห้งใบนึง ถ่ายโอนเอนไปมาเกือบจะลอยล่องขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาใช้ร่างกายบังเศษหินดินที่กระจัดกระจาย ปกป้องอวี้เจียไว้ในอ้อมกอด
แสนยานุภาพของทะเลแห่งความตายอยู่เหนือจินตนาการของหลินหว่านหรงมากนัก สองคนรวมกัน น้ำหนักก็ต้องมีอย่างน้อยสองร้อยกว่าจิน แต่ในสายตาของลมพายุนี้กลับสู้ใบไม้ใบเดียวก็ยังไม่ได้ สายลมอันบ้าคลั่งโบกพัดกระทบอาภรณ์ ดินทรายใต้เท้าหมุนวนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างกายของคนทั้งสองเบาโหวงไม่หยุด เกือบจะหลุดออกจากพื้นดินแล้ว
“อัวเหล่ากง พวกเราจะตายหรือไม่?” สาวน้อยทูเจวี๋ยประชิดข้างใบหูเขาพร้อมพูดเสียงดัง ดวงตาสาดประกายอันแสนจะสลับซับซ้อนยากจะแยกแยะได้
“อย่าพูด แค่กๆ…มีข้าอยู่ เจ้าไม่ตายหรอกน่า!” หลินหว่านหรงคำรามเสียงดังหลายครั้งถึงจะอ้าปากออกมาได้ ดินทรายจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาในปากตามกระแสลม อัดอยู่เต็มช่องปากและโพรงจมูก ทำให้เขาต้องคายออกมาอย่างรุนแรง แม้แต่การหายใจก็รู้สึกเหมือนว่าขาดอากาศ
“มีเจ้าอยู่ ข้าก็จะไม่ตาย?!” อวี้เจียกัดริมฝีปากสีแดงสดแน่น ก้มหน้าลงเล็กน้อย นางเงียบงันอยู่นาน ทันใดนั้นก็พูดเสียงสั่นแผ่วเบาข้างใบหูเขา “อัวเหล่ากง หากเจ้าไม่ใช่ชาวต้าหัว นั่นจะดีสักเพียงใด!”
ไร้สาระ! พ่อแม่ข้าคลอดคนผิวเหลืองตาดำเช่นข้าออกมา เจ้าบอกให้เปลี่ยนก็จะเปลี่ยนได้หรือ? หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “หากเจ้าไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ย เช่นนั้นก็จะยิ่งดี ข้าจะได้จัดการเจ้าที่ต้าหัว!”
สายลมบ้าคลั่งดังครืนๆ พัดผ่าน กวาดม้วนคนทั้งสองขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับถอนต้นหอมบนพื้นดินแห้งผาก อวี้เจียรู้สึกเพียงว่าร่างกายลอยล่องเบาหวิว น้ำตาพลันคลอหน่วย นางพยายามพูดเสียงดังอย่างสุดกำลัง “อัวเหล่ากง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร…ข้าคือ…แค่กๆ กอดข้าแน่นๆ…”
สายลมรวดเร็วรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงชั่วพริบตาก็กำลังจะกวาดม้วนคนทั้งสองขึ้นไป หลินหว่านหรงถูกอวี้เจียกอดจนแน่น คิดจะขยับก็ยากราวกับขึ้นสวรรค์ เขาอดคำรามก้องออกมาคราหนึ่งไม่ได้ กอดร่างของสาวน้อยเอาไว้แล้วกลิ้งไปหลายตลบ สลัดหลุดออกไปหลายจั้ง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว สถานที่ที่ทั้งสองคนยืนอยู่เมื่อครู่ถูกทำให้ราบเป็นหน้ากลองภายในชั่วพริบตา สายสีเหลืองลอยคละคลุ้งอยู่เต็มท้องฟ้า
ระหว่างที่อวี้เจียเอ่ยวาจา ทรายก็เข้าไปในช่องปาก การกลิ้งรอบนี้จึงยิ่งทำให้ไอออกมาอย่างรุนแรง
หากชักช้าอีกสักหน่อยร่างก็คงต้องแหลกสลายไปแล้วจริงๆ หลินหว่านหรงหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นก็ยังไม่อาจไหลออกมาได้ มองดูสาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งกำลังไอน้ำหูน้ำตาไหล หลินหว่านหรงก็ราวกับสิงโตซึ่งถูกกระตุ้นโทสะ คำรามออกมาอย่างเร็วรี่ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร ตอนนี้เจ้าจงอยู่อย่างสงบนิ่งให้ข้า สงบนิ่ง! ได้ยินหรือไม่?!…มารดามัน! ไม่ถูกพายุทะเลทรายม้วนขึ้นไป ก็กลับเกือบถูกสาวน้อยเช่นเจ้าทำให้โมโหจนตาย!”
เขาตวาดต่อเนื่องหลายครั้ง กินทรายเข้าไปเต็มปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยทรายเหลืองฝุ่นดิน สารรูปดุร้ายน่ากลัวยิ่งนัก
สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาอย่างเหม่อลอย ฟันขาวขบริมฝีปากสีชาดแน่น น้ำตาไหลพรากลงมาทันที
“ห้ามเจ้าด่าข้า!” นางสะอื้นออกมาคราหนึ่ง มุดเข้าอ้อมกอดของเขาในบัดดล อ้าปากแล้วกัดไปที่หน้าอกเขา กำลังฟันของอวี้เจีย หลินหว่านหรงรับทราบมาหลายครั้งตั้งนานแล้ว การกัดครั้งนี้หน้าอกจึงประทับรอยฟันเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย
ท่านย่ามัน! ผู้หญิงทูเจวี๋ยคนนี้เป็นเสือดาวจริงๆ กัดจนปวดไปถึงใจเลยทีเดียว ลมทะเลทรายพัดผ่านเข้ามา หลินหว่านหรงทำได้เพียงคุ้มกันผู้หญิงดุร้ายป่าเถื่อนคนนี้เท่านั้น ข้างหน้ามีปากเสือดาว ข้างหลังมีทรายและหิน ได้รับความเจ็บปวดทั้งสองด้าน
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดสาวน้อยทูเจวี๋ยก็คลายปากออกไป เมื่อเห็นรอยฟันที่เป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมคราบเลือดบนหน้าอกเขา นางก็นิ่งเหม่อลอย สองตาเปียกชื้นทันที ก้มหน้าลงไปอย่างหมดแรง
“เกิดปีจอไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่กัดแล้วล่ะ?!” เจ็บโว้ย! หลินหว่านหรงสูดลมหายใจหนาวเหน็บไปครั้งหนึ่ง ส่งเสียงกังวานด้วยโทสะ
อวี้เจียไม่เอื้อนเอ่ยวาจา หยิบถุงน้ำที่นางใช้ชีวิตแลกมาแนบไปที่รอยฟันบนหน้าอกเขาเบาๆ จากนั้นจึงก้มหน้าลงไปอีก แนบใบหน้าลงบนถุงน้ำอย่างแช่มช้าและเงียบงัน แม้จะขวางกั้นด้วยถุงน้ำ ทว่าเสียงหัวใจเต้นรุนแรงของเจ้าโจรคนนั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจน นางหลับตาเบาๆ ถึงกระนั้นมุมปากกลับผุดรอยยิ้มหวานชื่นขึ้นมา
สาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งเมื่อครู่ยังทำท่าทางป่าเถื่อน ตอนนี้กลับว่านอนสอนง่ายราวกับแมวดาว สองตาปิดสนิท ขนตาอันเรียวยาวซึ่งชุ่มชื้นไปด้วยหยดน้ำกระเพื่อมไหวเล็กน้อย สองมือสองเท้าแนบชิดกัน ขดตัวแน่นอยู่ในอ้อมอกเขา ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย สภาพเช่นนี้กลับทำให้หลินหว่านหรงรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
อวี้เจียขดตัวอยู่ในอ้อมอกเขา กอดเขาแน่น แล้วค่อยๆ สงบนิ่งลง เมื่อปราศจากการโหวกเหวกโวยวายของสาวน้อยคนนี้ หลินหว่านหรงจิตใจสงบสุขขึ้นมาก ในทะเลทรายอันเวิ้งว้างนี้ ทั้งสองคนไม่เอื้อนเอ่ยวาจา สายลมบ้าคลั่งโบกพัดรุนแรง ส่งเสียงหวีดหวิว ณ ขอบฟ้า ทว่าที่นี่กลับเงียบสงัดอย่างหาที่เปรียบมิได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้สึกว่าอวี้เจียไม่เคยสงบนิ่งเช่นนี้มาก่อน ขณะที่หลินหว่านหรงก้มหน้าลงไปมอง กลับพบว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นั้นใบหน้าประดับรอยยิ้ม หายใจสมดุลเป็นจังหวะ กลับหลับสนิทไปแล้ว!
แบบนี้ก็หลับได้ด้วย? ผู้หญิงไม่อาจเอาเหตุผลปกติมาวัดได้เลยจริงๆ! หลินหว่านหรงแหงนหน้ากู่ร้องด้วยความโศกเศร้า ปวดใจยิ่งนัก
ในที่สุดพายุทะเลทรายอันน่าหวาดกลัวก็จากไปพร้อมกับเสียงลมหวีดหวิว ทิ้งไว้เพียงเศษซาก เศษหินเศษดินที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น สภาพเละเทะยุ่งเหยิงยิ่งนัก สองขาของหลินหว่านหรงจมลึกอยู่ในทรายสีเหลืองอันหนาเตอะสุมมาจนถึงโคนต้นขาเขา
“ตื่นได้แล้ว!” หลินหว่านหรงใช้ฝ่ามือฟาดก้นอันงามงอนของอวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยร้องอ๊ะด้วยความตกใจ กระเด้งขึ้นมาจากพื้น เห็นว่าตนนอนอยู่บนทะเลทรายโดยไม่สึกหรอแม้แต่น้อย กลับเป็นเจ้าโจรคนนี้ที่ถูกทรายกลบไปเกินครึ่งตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยทราย หายใจกระชั้นถี่ เหนื่อยล้าจนเหมือนกำลังจะล้มลง
“ต่ำช้า!” สาวน้อยทูเจวี๋ยส่งเสียงเบาๆ คราหนึ่ง ใบหน้าแดงโร่ นางรีบคุกเข่าลง ควักดาบทองอันล้ำค่านั้นออกมาจากอก เสียบลงไปในเนินทรายข้างหน้าเขาดังขวับ ออกแรงขุดอย่างเต็มที่ คิดจะช่วยเขาออกมา
เมื่อเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ออกแรงอย่างดุดันป่าเถื่อน ไม่แยแสดาบทองอันสูงค่านั้นแม้แต่น้อย เข้าใกล้โคนขาไปเรื่อยๆ ห่างไปอีกไม่กี่นิ้วก็จะถึงส่วนสำคัญแล้ว หลินหว่านหรงก็ตกใจจนหน้าซีด “ช้าหน่อยๆ น้องสาว ดาบทองอันล้ำค่าขนาดนี้ เอามาใช้ขุดดินออกจะสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว…ให้ข้าทำเองก็แล้วกันนะ!”
“ไม่ต้องให้เจ้ายุ่ง!” อวี้เจียร้องออกมาคราหนึ่ง ดาบทองในมือกลับส่งเสียงสวบๆ หลายครั้ง เร่งขุดมากยิ่งขึ้น
นี่จะเอาข้าถึงตายแล้วนะ! หลินหว่านหรงตกใจเป็นล้นพ้น รีบกดมือนางไว้ “น้องสาว ขอบใจเจตนาดีของเจ้า ดาบน้อยของเจ้าเล่มนี้สูงค่าเกินไป ข้ากลัวว่าอีกประเดี๋ยวไม่ทันระวังจะกระแทกของแข็งบางอย่างที่อยู่บนตัวข้าเข้า กระแทกจนดาบทองของเจ้าพังไป นั่นก็จะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นะ!”
กระแทกดาบทองจนพัง? อวี้เจียนิ่งงัน เมื่อดูตำแหน่งที่ดาบทองขุดลงไปนั้นกลับต้องร้องอ๊ะออกมาคราหนึ่งพร้อมรีบหดมือกลับ เบือนหน้าหนีด้วยสองแก้มแดงปลั่ง สุดท้ายแล้วผู้หญิงก็หน้าบางล่ะนะ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง
“หน้าไม่อาย!” อวี้เจียถลึงตามองเขา เสียบดาบทองเบาๆ ข้างกาย จากนั้นจึงใช้มือขุดทรายให้เขา
สองคนร่วมแรงร่วมใจ ขุดไปครู่หนึ่งถึงจัดการเนินทรายไปพอสมควร หลินหว่านหรงออกแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย กระเด้งออกมาจากกองทราย ถึงกระนั้นขากลับแดงเถือกเพราะถูกทรายกรีดจนเป็นแผล กางเกงก็ขาดวิ่น เหลือแค่ริ้วผ้าไม่กี่ริ้วที่ปลิวไสวไปตามสายลม โชคยังดีที่กางเกางในยังอยู่ ถึงไม่ได้อับอายขายขี้หน้ามากนัก
อวี้เจียมองดูสารรูปที่ดูไม่จืดของเขาก็กัดฟันกรอด อยากหัวเราะแต่จมูกกลับร้าวระบม
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนที่โดดเด่นเป็นสง่าอย่างข้านี้หรืออย่างไร?!” ถูกสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้จ้องมองมันก็ช่างรู้สึกกระดากใจอยู่บ้างจริงๆ หลินหว่านหรงร้องตะโกนด้วยความอายจนกลายเป็นความโมโห
อวี้เจียเบือนหน้าไป แค่นเสียงเบาๆ พร้อมพูดว่า “น่าเกลียดจะตายอยู่แล้ว! ใครมองเจ้ากัน?”
พายุทะเลทรายซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ ก่อให้เกิดเนินทรายขนาดมหึมาแห่งหนึ่งอยู่ห่างออกไปอีกหลายร้อยจั้ง พื้นที่ราวหลายสิบหมู่[1]ได้ พลานุภาพเป็นที่ประจักษ์ได้ รถม้าถูกกวาดม้วนขึ้นไปบนอากาศ ร่วงหล่นลงมาแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่กระทะใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่พ่อครัวของกองทัพใช้อยู่ก็ลอยปลิวออกไปหลายร้อยจั้ง จมอยู่ในหลุมทราย
——
[1] หมู่ หน่วยมาตราวัดของจีน โดย 1 หมู่ เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร