ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 571 - 2 หลอกลวงและแค้นใจ
“น้องหลิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เป็นอะไรนะ?!” เกาฉิวรีบวิ่งเข้ามาถามไถ่โดยไม่สนใจที่จะเช็ดฝุ่นทรายบนใบหน้า
หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม “ข้าไม่เป็นอะไร ก็แค่หลังจากนี้ต้องสวมกางเกงเปิดเป้าเดินทางเท่านั้นเอง แต่แบบนี้ก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตในช่วงวัยเจริญพันธุ์ของข้าแล้วล่ะ!”
คำเดียวเลย แกร่ง! เกาฉิวฟังแล้วก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ นับถือน้องหลินอย่างศิโรราบ!
“เสี่ยวหลี่จื่อเป็นอย่างไรบ้าง?” หลินหว่านหรงถามด้วยสีหน้าจริงจัง
เหล่าเกาตบอกพร้อมตอบว่า “มีข้าอยู่ เจ้าวางใจเถอะ รับรองว่าเจ้าหนุ่มนี้ไม่เป็นอะไรสักนิดเดียว เมื่อครู่นี้ข้ายังป้อนน้ำให้เขาดื่มด้วยนะ!”
หลินหว่านหรงผงกศีรษะ เดินตัดผ่านกลุ่มไพร่พลพร้อมกับหูปู้กุย ตรวจนับความเสียหายอย่างถ้วนถี่
พายุทะเลทรายขนาดยักษ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ แม้แต่หูปู้กุยที่คุ้นชินกับลักษณะของทะเลทรายก็ยังไม่เคยพบเช่นกัน ความตกใจที่ได้รับจึงยากจะหลีกเลี่ยง โชคยังดีที่หนทางก่อนหน้านี้เคยประสบพายุทะเลทรายมาหลายครั้งแล้ว ทุกคนมีประสบการณ์มาบ้าง ต่างกอดกันแน่น ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปรับตัวอย่างเหมาะสม ขบวนเสียหายน้อยยิ่งนัก หลินหว่านหรงก็ชื่นชมยินดีมากเช่นกัน
แน่นอนว่ามีจุดที่รู้สึกเสียดายด้วย เศษหินคมซึ่งถูกกระแสของทรายพัดขึ้นมานั้นกรีดถุงน้ำขาดไปสองถุง ทำให้ทรัพยากรน้ำซึ่งแต่เดิมมีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วทวีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก ทุกคนต่างรู้สึกปวดใจเป็นล้นพ้น
“เอ๊ะ” หูปู้กุยติดตามอยู่ข้างหลังหลินหว่านหรง จู่ๆ ก็ส่งเสียงด้วยความตกใจ “ท่านแม่ทัพ ถุงน้ำของท่านล่ะ เหตุใดถึงไม่เห็นขอรับ?”
เหล่าหูตะโกนเช่นนี้ เกาฉิวจึงรีบหันกลับมาเช่นกัน ยามนี้น้ำสะอาดยังมีค่ายิ่งกว่าทองคำ
ถุงน้ำ? หลินหว่านหรงคลำช่วงเอวโดยไม่รู้ตัว ดวงหน้าอันงดงามของอวี้เจียพลันผุดขึ้นตรงหน้า ช่วงที่พายุทะเลทรายรุนแรงมากที่สุด เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ที่เอาตัวเข้าเสี่ยง พยายามเอาถุงน้ำที่บรรจุน้ำอยู่เต็มถุงนั้นกลับมาอย่างเอาเป็นเอาตาย หลินหว่านหรงยังด่าทอนางด้วยโทสะเพราะเรื่องนี้อีกด้วย ตอนนี้พอมาคิดดู การกระทำของนางครั้งนี้อาจช่วยชีวิตที่กระหายน้ำได้อีกหลายสิบชีวิต
หลินหว่านหรงยังไม่ทันได้พูด เกาฉิวก็มองไปไกลๆ คราหนึ่ง จากนั้นก็ร้องอ้อยาวๆ ออกมาทันที หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “ที่แท้ก็อยู่ตรงนี้นี่เอง!”
ทุกคนมองไปตามสายตาเขา เห็นว่าอวี้เจียกำลังนั่งขี่อยู่บนม้าน้อยตัวหนึ่ง ขอริมฝีปากสีแดงชาด ทว่ามือทั้งสองกลับประคองถุงน้ำที่บรรจุอยู่เต็ม กอดแนบแน่นอยู่กับหน้าอก
เมื่อเห็นสายตาของทุกคนเหลือบมองมา สาวน้อยทูเจวี๋ยก็แค่นเสียงเบาๆ ซ่อนถุงน้ำนั้นไว้ข้างหลัง
การกระทำที่เหมือนกับเด็กนี้ทำให้ทุกคนหัวร่อเสียงดังลั่น บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก เหล่าเกากล่าวพลางยักคิ้วหลิ่วตา “เจ้าถุงน้ำนี่นะ มีแค่น้องหลินที่เอามาได้ ทุกคนรอชมดูก็พอแล้ว”
คำพูดเขาตีความได้สองแบบ ทุกคนไหนเลยจะฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงหัวเราะอย่างรุนแรงขึ้นมาทันที อวี้เจียอยู่ไกลมาก ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะอะไรอยู่ ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย
เจ้าคนลามกเหล่าเกาคนนี้นี่ อะไรก็กล้าคิดนะ หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญา โบกไม้โบกมือ ขบวนไพร่พลมุ่งหน้าต่อไป
เมื่อประสบกับเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นและพายุทะเลทรายในหลัวปู้ปั๋ว ทุกคนจึงปราศจากความหวาดกลัวแล้ว ขอเพียงไม่หลงทาง น้ำและอาหารประทังต่อไปได้ ทะเลแห่งความตายก็จะถูกสยบ
เดินทางมุ่งหน้าเช่นนี้ต่อไป ประสบพายุทะเลทรายขนาดใหญ่หลายครั้ง ทุกคนค่อยๆ เคยชินจนเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่ประหวั่นลนลานเช่นนั้นอีกต่อไป ลักษณะเฉพาะอันชัดเจนมากที่สุดบนเส้นทางสายไหมแห่งนี้ก็คือโครงกระดูกขาวจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งฝังอยู่ใต้ทรายอันหนาเตอะ พวกเขาเก็บโครงกระดูกของผู้ที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนตลอดเส้นทาง กลับกลายเป็นสัญลักษณ์บอกทางที่ชี้นำให้พวกเขามุ่งหน้าไปด้วยเช่นกัน
อาการบาดเจ็บของหลี่อู่หลิงค่อยๆ ดีขึ้น เหมือนที่หมอกำมะลอเกาฉิววิเคราะห์เอาไว้ เขาลงเดินเหินได้แล้ว ข่าวดีนี้ทำให้ทุกคนสงบจิตใจลงได้เสียที การสร้างขวัญและกำลังใจของเรื่องนี้ช่างมหาศาลนัก
ช่วยชีวิตเสี่ยวหลี่จื่อกลับมาได้ ผู้ที่มีผลงานใหญ่มากที่สุดก็คือเยวี่ยหยาเอ๋อร์ แต่นางดันเป็นชาวทูเจวี๋ย เรื่องนี้ช่างยากจะตัดสินได้จริงๆ เพียงแต่เมื่อผ่านพายุทะเลทรายครั้งนั้นไปแล้ว อวี้เจียกลับไม่รู้เป็นเช่นไร ค่อยๆ เงียบงันลงไปเรื่อยๆ สายตาบางครั้งร้อนแรง บางครั้งหมองหม่น บางครั้งมีความสุข บางครั้งเศร้าเสียใจ บางครั้งยังเผยความหวาดกลัวตื่นตระหนกอย่างน่าประหลาดออกมาอีกด้วย ทำให้คนคาดเดาไม่ออก
น้ำกับเสบียงลดน้อยลงไปทุกวัน ยิ่งเดินทางย้อนหลังทะเลทรายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความจำเป็นจึงทำได้เพียงเลือกฆ่าม้าศึกที่มีกำลังอ่อนแรงไปจำนวนหนึ่ง แม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเดินทางได้อีกหลายสิบวัน น้ำก็หมดสิ้น ทหารห้าพันนายพลันตกอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง
“น้องหลิน วันนั้นไม่ใช่เจ้าบอกว่าเดินทางไปอีกเจ็ดวันก็จะออกจากหลัวปู้ปั๋วแล้วไม่ใช่หรือ?” เหล่าเกาประคองร่างอยู่บนหลังม้า เอ่ยถามพลางหอบหายใจหนักๆ “ตอนนี้ไม่ใช่แค่เจ็ดวันมาสองครั้งแล้ว เหตุใดพวกเราถึงยังเดินวนอยู่ในทะเลทรายอีก?”
วันนั้นพูดโม้เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจของทหาร ถูกเหล่าเกาพูดเปิดโปงจนหมดสิ้น น้ำที่มีอยู่ใช้จนหมดสิ้นตั้งแต่เมื่อวาน ภายในสามวันหากเดินออกจากทะเลทรายไม่ได้ พวกเขาก็จะเป็นเหมือนผู้อาวุโสบนเส้นทางสายไหม ฝังกระดูกอยู่ในทะเลแห่งความตายนี้ไปตลอดกาล
หลินหว่านหรงร้อนใจดั่งไฟสุม เลียริมฝีปากอันแห้งผาก กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “พี่เกาอย่าร้อนใจไป หากข้าเดาไม่ผิด ทางออกของหลัวปู้ปั๋วน่าจะอยู่ละแวกนี้แล้ว บางทีพรุ่งนี้ ไม่สิ บางทีคืนนี้พวกเราอาจได้ว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบอันกระจ่างใสก็เป็นได้”
อยู่ในทะเลทรายมายี่สิบกว่าวัน อย่าว่าแต่อาบน้ำเลย แม้แต่ดื่มน้ำก็ต้องควบคุมจำกัดทีละหยด แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าน้องหลินกำลังสร้างวิมานในอากาศ แต่เหล่าเกาก็ยังอดเลียริมฝีปาก นัยน์เต็มไปด้วยความมุ่งหวังไม่ได้
เดินทางมาจนถึงตอนนี้ ลมทะเลทรายค่อยๆ เบาลง อากาศก็ไม่ได้แห้งแล้งขนาดนั้นแล้ว มิหนำซ้ำยังไม่ได้ประสบพายุทะเลทรายมาสี่ห้าวันติด สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์เมื่อมาถึงริมชายขอบทะเลทราย เพียงแต่ที่แท้ทางออกของหลัวปู้ปั๋วอยู่ที่ใดกันแน่ กลับไม่ได้หาง่ายดายขนาดนั้น
ขณะที่กำลังมองประเมินไปทั่วทุกสารทิศ ทันใดนั้นแขนเสื้อก็รัดแน่น มีคนดึงชุดเขาจากด้านข้างเบาๆ เมื่อหันหน้าไปก็เห็นดวงหน้าอันงดงามของสาวน้อยทูเจวี๋ย เนื่องจากขาดน้ำ ริมฝีปากสีแดงสดใสของนางจึงสูญเสียความเปล่งประกายอย่างที่เคยมีมา ทว่านัยน์ตาทั้งสองข้างกลับเปล่งประกายระยิบระยับ มองเขาด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น
อวี้เจียไม่ได้สนทนากับเขามาหลายวันแล้ว วันนี้กลับเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาเขาก่อน กลับทำให้หลินหว่านหรงประหลาดใจมาก
“เจ้าตามข้ามา!” สาวน้อยพาเขาไปที่มุมหนึ่ง กัดฟันกรอด ควักของชิ้นหนึ่งออกมาจากอก “นี่ ให้เจ้า!” สัมผัสมือเรียบลื่นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ กลับเป็นขวดแก้วขนาดเท่าฝ่ามือเด็กขวดหนึ่ง ภายในขวดเหลือน้ำสะอาดอยู่ไม่กี่หยด อยู่ตรงก้นพอดี
“นี่เอามาจากไหนกัน?” หลินหว่านหรงตกใจอย่างยิ่ง หลายวันนี้น้ำดื่มของทุกคนถูกควบคุมแบ่งสรรกันตามกฎระเบียบ แม้น้ำสะอาดที่เหลือแค่ก้นขวดนี้จะมีปริมาณน้อย ถึงกระนั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันในการแบ่งสัน
“ข้าแอบขโมย!” สาวน้อยมองเขาอย่างเย็นชา เบือนหน้าหนีไป
คำพูดนี้จะเชื่อได้อย่างไรกัน? หลินหว่านหรงถามด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด “เจ้าเก็บน้ำเอาไว้…สองวันนี้เจ้าไม่ได้ดื่มน้ำเลยหรือ?!”
“พูดเหลวไหล ข้าดื่มแล้ว” อวี้เจียกล่าวอย่างดื้อดึง “ใครใช้ให้เจ้าไม่ค้นตัว? นี่ข้าแอบเก็บมาจากถุงน้ำของเจ้า!”
หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด “น้ำนี้เจ้าเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง ที่เหลือเอาให้เสี่ยวหลี่จื่อ!”
“เจ้ากล้า?!” อวี้เจียโมโหขึ้นมาทันที แย่งขวดแก้วที่อยู่ในมือเขา พูดอย่างเย็นชาออกมาว่า “นั่นคือพี่น้องของเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับข้า หากเจ้าจะเอาน้ำหยดสุดท้ายนี้ให้ผู้อื่น ข้ายอมให้มันไหลซึมเข้าไปในทะเลทราย!”
นางเปิดจุกขวด กำลังจะรินรดลงบนพื้น
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!” หลินหว่านหรงรีบชิงขวดเล็กกลับมา มองดูสาวน้อยผู้ดื้อดึงคนนี้ เขาถอนหายใจอย่างหมดแรง “เอาเถอะ ถือว่าข้าติดค้างเจ้า ครึ่งหนึ่งเก็บให้เจ้า ครึ่งหนึ่งเก็บให้ข้า เช่นนี้ก็ได้แล้วสินะ เจ้าไม่ต้องส่ายหน้า ข้าคนนี้มีหลักการอยู่เช่นกัน อยากมากก็ต่างคนต่างแยกย้าย ปล่อยให้มันไหลซึมลงไปในทะเลทราย ข้านับหนึ่งสองสาม อ้าปาก!”
อวี้เจียตะลึงงัน ยังไม่ทันได้สติกลับมา น้ำสะอาดสายหนึ่งก็ไหลเข้าลำคอผ่านริมฝีปาก นาสูดตามสัญชาตญาณคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เจ้าโจรนี้กลับไม่หยุดมือ หยดน้ำภายในชวดนั้นกรอกใส่ปากนางจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
มองดูขวดน้อยที่ว่างเปล่านั้น นางก็เหม่อลอย จู่ๆ ก็เปล่งเสียงร้องไห้จ้าออกมา “อัวเหล่ากง เจ้าคนต่ำช้านี่ เจ้ากล้าหลอกข้า?! ข้าแค้นเจ้า ข้าแค้นเจ้าตายแล้ว ข้าไม่อยากเห็นเจ้าอีกแล้ว!”
นางขึ้นคร่อมม้า หวดแส้ลงบนหลังม้า อาชาตัวนั้นก็สะบัดเท้าวิ่งห้อตะบึงไป
นี่มันอะไรกันอีกละนี่? หลินหว่านหรงยังคงนิ่งอึ้งเป็นบื้อใบ้ ทันใดนั้นก็ได้ยินหูปู้กุยที่อยู่ข้างหลังร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นยินดี “ท่านแม่ทัพ รีบดูเร็ว!”