ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 573 - 2 การละเล่นที่แสนอันตราย
เคยเห็นความงามของอวี้เจียมาแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่เพิงชำระล้างร่างกายจะยิ่งเป็นเหมือนวิญญาณภูตพรายที่ลงมาจากสวรรค์สู่ทุ่งหญ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนอันดิบเถื่อน หลินหว่านหรงมองจนเหม่อลอย อ้าปากกว้างจนไม่อาจหุบได้
“เจ้ามองอะไร!” อวี้เจียเมื่อชำระล้างร่างกายแล้วเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาก นางเอนคอลูบไล้เส้นผมที่เปียกชุ่มของนางเบาๆ ปล่อยให้หยดน้ำกระจ่างใสหยดลงพื้น ใบหน้านางซับสีแดงระเรื่อบางๆ น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
หลินหว่านหรงถอนหายใจยาวราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ชูนิ้วโป้งแล้วพูดว่า “แม้ข้าจะชื่นชมบุปผามานับไม่ถ้วน แต่ข้าไม่อาจไม่ยอมรับเช่นกัน คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเป็นหนึ่งในสตรีที่งดงามมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา! จริงนะ ข้าคนนี้ไม่เคยพูดโกหกมาก่อน!”
อวี้เจียขมวดคิ้วพลางแค่นเสียง “เหตุใดถึงหนึ่งใน? หรือว่ายังมีผู้อื่นที่งามกว่าข้าอีกหรือ!”
“แน่นอนล่ะ!” หลินหว่านหรงยกนิ้วขึ้นมานับ “นอกจากบรรดาเมียของข้าอย่างชิงเสวียน นางเซียน พี่สาวอัน หนิงเอ๋อร์ เฉี่ยวเฉี่ยว และคุณหนูใหญ่แล้ว ก็มีคุณหนูอวี้เจียเช่นเจ้าที่งดงามมากที่สุด ดังนั้นจึงพูดว่าหนึ่งใน!”
อวี้เจียเบือนหน้าหนีไปด้วยความหงุดหงิดโมโห “เจ้ามีฮูหยินมากขนาดนั้นเลยหรือ? หึ ข้ากลับอยากจะรับทราบสักหน่อยว่า สตรีเหล่านั้นที่ปากเจ้าว่างดงามมากที่สุดจะมีรูปร่างหน้าตาเช่นไรกันแน่”
หลินหว่านหรงกล่าวไม่เร็วไม่ช้า “พวกนางไม่เพียงรูปโฉมงดงาม จิตใจยังยิ่งงดงามกว่า ข้ากลัวว่าหลังจากเจ้ารับทราบไปแล้วจะนอนไม่หลับทั้งคืน!”
“เจ้า!” ใบหน้าของอวี้เจียแดงก่ำ ในมือไม่รู้เพิ่มดาบทองขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ฟันหินที่อยู่ข้างกายเสียงดังขวับคราหนึ่งจนก่อเป็นสะเก็ดไฟสว่างวาบหลายดวง
บนดาบทองเล่มนั้นยังประดับด้วยหยดน้ำ เปล่งประกายวาววับ หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็เหงื่อแตก แม่หนูนี่ตอนอาบน้ำก็พกดาบทองด้วย เอามาป้องกันข้าหรือ? โชคยังดีที่ตอนข้าอาบน้ำก็พกปืนด้วยเหมือนกัน!
อวี้เจียเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา ภายใต้แสงจันทร์ บนดวงหน้าอันงดงามของนางเปล่งประกายระยิบระยับ สาวน้อยลูบเรือนผมที่เปียกชุ่ม ยิ้มงามยวนเย้า “เจ้าอย่าเอาคำพูดพวกนี้มาหลอกข้าเลย อวี้เจียมั่นใจในตัวเอง หากเอ่ยถึงรูปโฉม ข้าไม่มีวันแพ้สตรีอื่นใดในใต้หล้าแน่ ส่วนความงามในจิตใจที่เจ้าว่า…”
นางหยุดเล็กน้อย มองเขาเบาๆ หลายครั้ง จากนั้นจึงคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าไม่เห็นจิตใจข้า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าจิตใจข้าไม่งดงาม?”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ หากพูดกันอย่างจริงจัง ที่จริงแล้วคนที่จิตใจอัปลักษณ์มากที่สุดก็คือข้า”
“ยังถือว่าเจ้าพอรู้ตัวอยู่บ้าง!” อวี้เจียหัวเราะพรวดออกมาเบาๆ เนตรงามเหลือบมองคราหนึ่ง ดวงหน้าอันงามยวนเย้าราวกับดอกกุหลาบซึ่งเบ่งบานเต็มที่ใต้แสงจันทร์
หลินหว่านหรงเหม่อลอย เขาเบือนหน้าไปแล้วพูดว่า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าอย่ามาใช้วิชามารกับข้า เจ้าก็รู้ว่าข้าคนนี้เป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่มาตลอด!”
“อย่างนั้นหรือ” ดวงตาสาวน้อยทูเจวี๋ยปรากฏเปลวเพลิงกระจ่างวูบ พูดประชดอย่างเย็นชา “คนที่มีจิตใจแน่วแน่อย่างเจ้านี้เห็นได้น้อยมากจริงๆ หึ ข้าไม่เชื่อหรอก!” สองประโยคที่นางพูดมานี้ต่างมีความหมาย ส่วนความนัยที่แท้จริงนั้นก็คงมีแค่นางที่รู้แล้ว
หลินหว่านหรงถอนหายใจ “อันที่จริงข้าไม่ใช่ว่าจะไม่คิดถึงประสบการณ์ที่อยู่ในทะเลแห่งความตายหรอกนะ!”
อวี้เจียก้มหน้าลง ใบหน้าแดงเล็กน้อย นางพูดออกมาเบาๆ ว่า “เจ้าคิดถึงสิ่งใด?”
“คิดถึงชีวิตที่ไม่ต้องวางแผนสู้ชิงไหวชิงพริบกัน!” หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงแฝงความทอดถอนใจ ทำให้อวี้เจียรู้สึกหม่นหมองลงไปบ้างเช่นกัน เขาพูดไม่ผิด ในทะเลทราย เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างมิตรกับศัตรูกลายเป็นรางเลือนไปได้ แต่เมื่อออกมาจากทะเลทรายแล้วทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
“ตอนนี้ไม่ต้องวางแผนสู้ชิงไหวชิงพริบก็ได้เหมือนกันนี่นา!” อวี้เจียพูดพึมพำ ทว่าน้ำเสียงกลับแผ่วเบายิ่งนัก หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ออกมาเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ ตอนที่พวกเรากำลังจะเดินออกจากทะเลทรายนั้นเจ้าเคยพูดอะไรกับข้าไว้?”
“จำไม่ได้แล้ว!” สาวน้อยเบือนหน้าไป นางเคยพูดว่าไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก แต่เรื่องผ่านมาไม่กี่ชั่วยามทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ใบหูของนางร้อนลวก รีบอุดหูแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องบอกข้า ข้าลืมไปหมดแล้ว”
“อืม ควรลืม!” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ สาวน้อยทูเจวี๋ยกลับสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง รีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าลืมได้ แต่เจ้าห้ามลืม! ลืมแล้วข้าจะแค้นเจ้าไปทั้งชาติ เจ้าจำเอาไว้!”
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างใส นางเบ้าตาชื้นเล็กน้อย มองเขาด้วยท่าทางดื้อดึง
บุรุษต้าหัวที่เปลือยร่างท่อนบนคนหนึ่ง สตรีทูเจวี๋ยซึ่งสวมอาภรณ์หรูหราและหน้าตางดงามคนหนึ่ง ทั้งสองต่างจ้องหน้ากัน สีหน้าแปรเปลี่ยนสารพัดสารพัน สถานการณ์แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
หลินหว่านหรงพลันหัวเราะออกมา “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าความสัมพันธ์ในตอนนี้ของพวกเรามันช่างแปลกประหลาดมากจริงๆ”
“มีอะไรน่าประหลาด?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์เบ้ปากพูด
หลินหว่านหรงแบมือทั้งสองข้างออกพร้อมกล่าวด้วยความจนใจ “จะบอกว่าเป็นศัตรู พวกเราก็ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในทะเลแห่งความตาย บอกว่าเป็นสหาย เจ้าเป็นชาวทูเจวี๋ย ข้าเป็นชาวต้าหัว อยู่ในฐานะราษฎรของสองแคว้นที่เป็นศัตรูกัน ต้องมีสักวันที่พวกเราได้พบกันในสนามรบ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษของข้า บางทีเจ้ายังคิดที่จะเปลี่ยนให้ข้ากลายเป็นนักโทษของเจ้าเสียด้วยซ้ำ เจ้าว่า ความสัมพันธ์นี้มันซับซ้อนมากหรือไม่ล่ะ?!”
ดวงตาของอวี้เจียกระจ่างวูบ ใบหน้าประดับด้วยสีแดงระเรื่องามสดใสสองสาย นางก้มหน้าลงพร้อมพูดเสียงแผ่วเบา “หากเจ้าไม่ต้องการจะสลับซับซ้อนเยี่ยงนี้ ก็เป็นเป็นเรื่องที่ง่ายดายเรื่องหนึ่ง”
ความเอียงอายปรากฏเต็มใบหน้านาง ลำคอเรียวยาวขาวสะอาดราวกับหงส์ฟ้าเป็นสีชมพูระเรื่อ งามยิ่งนัก น่าลุ่มหลงยิ่งนัก
หลินหว่านหรงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ส่ายหน้าอย่างแช่มช้าแล้วพูดว่า “คุณหนูอวี้เจีย มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้า ก่อนออกจากทะเลทราย คำพูดเหล่านั้นที่เจ้าพูดกับข้า ข้าเกรงว่าจะจำไม่ได้ บางที เจ้าควรแค้นข้าไปทั้งชาติแล้วจริงๆ!”
“เพราะเหตุใด?!” สีหน้าของอวี้เจียแปรเปลี่ยนทันที น้ำตาคลอเบ้าภายในพริบตา
“เพราะข้ามีลางสังหรณ์บางอย่าง” หลินหว่านหรงจ้องมองนางพลางยิ้มบาง กล่าวไม่เร็วไม่ช้าออกมาว่า “บางทีอาจมีคนคิดเล่นการละเล่นกับข้า! การละเล่นที่แสนอันตรายอย่างหนึ่ง…การละเล่นของนายพรานและจิ้งจอก!”
“เจ้าพูดอะไร?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์รีบก้มหน้าลง ขบกรามแน่น สายตาพลันแปรเปลี่ยนนับไม่ถ้วน “การละเล่นอะไร นายพรานกับจิ้งจอกอะไร?! ข้าฟังไม่เข้าใจ!”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “ฟังไม่เข้าใจก็ยิ่งดี การละเล่นนี้ไม่น่าสนุกแม้แต่น้อยจริงๆ เจ้าลองคิดดู รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีแผนการ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเสแสร้ง แต่ตัวเองกลับซาบซึ้งจนแทบน้ำตาไหล ฟังคำพูดของเขาแล้วไม่เคยรู้ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จ…การละเล่นเช่นนี้อันตรายมาก จะทำให้ตายได้!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์กระเด้งขึ้นมาอย่างเดือดดาล น้ำตาไหลพรากไม่หยุด “เจ้า…เจ้าน่ะสิถึงเสแสร้ง!”
หลินหว่านหรงถอนหายใจคราหนึ่งพร้อมจ้องมองนาง “ถ้าไม่ใช่กำลังเสแสร้ง หรือว่าเป็นความจริง?!”
“ไม่ใช่เรื่องจริง! ไม่ใช่เรื่องจริง!” อวี้เจียอุดหู ตวาดเสียงเจื้อยแจ้ว ขู่คำรามออกมา น้ำตาดั่งสายฝน ชั่วพริบตานั้นเอง ความลนลาน ความเศร้าเสียใจ ความลังเล หลากหลายจำนวนนับไม่ถ้วนต่างกระจ่างวูบภายในดวงตาของนาง โศกาอาดูรยิ่งนัก สลับซับซ้อนยิ่งนัก
หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความจนใจ “คุณหนูอวี้เจีย ที่จริงเจ้ามีความกลัดกลุ้มเช่นเดียวกับข้า นั่นก็คือเป็นคนฉลาดเกินไป ดื้อดึงเกินไป เวลาเล่นการละเล่นชอบเลือกสิ่งที่เสี่ยงมากที่สุด นี่ไม่ใช่เรื่องดี!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์สายตาแปรเปลี่ยนสารพัน นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างเงียบงัน ดวงหน้างามแปดเปื้อนด้วยน้ำตา ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างใสราวกับน้ำค้างยามรุ่งอรุณ นางมองเขาคราหนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันกรอดทันที “ดึกแล้ว อวี้เจียเหนื่อยแล้ว ข้าอยากไปพักผ่อน!”
“อย่างนั้นข้าไปก่อนจะดีกว่า” หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่าเงียบงัน ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าเคยรับปากเจ้า เมื่อทำงานเสร็จก็จะไป ตอนนี้ได้เวลาแล้ว!”
พอพูดจบเขาก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้าจริงๆ สีหน้าท่าทางแน่วแน่ อวี้เจียมองเงาหลังเขา หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน มุมปากขมุบขมิบหลายครั้ง ทันใดนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “อัวเหล่ากง…”
หลินหว่านหรงร่างชะงักงัน ค่อย ๆ หันร่างกลับมา “คุณหนูอวี้เจีย มีอะไร?!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา อ้าริมฝีปาก คิดจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าอย่างดื้อดึง “เจ้ารีบไปเถอะ!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ “น้องสาว มีเรื่องนึ่งที่ลืมบอกเจ้าไป!”
“อะไร?” อวี้เจียถาม
หยิบของสิ่งหนึ่งมาจากเอวแล้วมาแกว่งข้างหน้าเบาๆ เขาถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถุงน้ำของเจ้า…เป็นรูแล้ว!”
อวี้เจียอึ้ง ทันใดนั้นก็พุ่งเข้ามาราวกับเสียสติ รูเล็กนั้นมองเห็นอย่างชัดเจน นางมองหลายครั้ง น้ำตาดั่งตาน้ำที่เอ่อท้น ทันใดนั้นนางก็กัดแขนหลินหว่านหรงอย่างแรงคราหนึ่ง ความรู้สึกเจ็บแปลบส่งผ่านเข้ามา เมื่อมองใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาของนาง หลินหว่านหรงกลับไม่มีอารมณ์จะต่อต้าน
“แผลนี้ก็ปลอมด้วย!” อวี้เจียหัวเราะคิกคัก ลูบรอยฟันที่มีเลือดออกนั้น น้ำตาดั่งสายฝนเดือนหก นางคว้าแย่งถุงน้ำซึ่งใช้ชีวิตแลกมานั้นกลับ จากนั้นก็หนีไปราวกับโผบิน
มองดูเงาหลังอันแสนจะงดงามนั้น หลินหว่านหรงส่ายหน้าพลางกล่าวพึมพำ “ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ…บอกตั้งแต่แรกแล้ว การละเล่นนี้มันอันตรายมากจริงๆ!”