ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 574 - 1 ยากจะจัดการ
ช่วงเวลาสองวันที่ปรับและฟื้นฟูทัพอยู่ที่เดิมนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่นายทหารทุกคนสำราญบานใจมากที่สุดนับตั้งแต่เข้าสู่ทุ่งหญ้าอาลาซ่านเป็นต้นมา ไม่มีการเข่นฆ่าประหัตประหาร พบเจอกับทัศนียภาพอันงดงามราวกับภาพวาดเช่นนี้ ทุกคนต่างบังเกิดความลุ่มหลง หลี่อู่หลิงซึ่งเพิ่งจะหายดีจากอาการบาดเจ็บสาหัสเมื่อผ่านการพักฟื้นช่วงสองวันนี้ก็หายดีอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ก่อนออกเดินทางก็ขี่ม้าวิ่งห้อตะบึงได้แล้ว
กลับเป็นอวี้เจียที่เงียบงันอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งก็จะนั่งริมธารน้ำเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ แค่ไม่คุยกับหลินหว่านหรงเท่านั้น ท่าทีอันเย็นชานั้นคล้ายหวนคืนสู่เหตุการณ์ตอนที่จับตัวนางที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อครั้งแรก
ผ่านการพักฟื้นและเติมเสบียงสองวัน ไพ่รพลห้าพันนายก็มุ่งหน้าต่อไป แม้แต่ทะเลแห่งความตายก็ยังถูกสยบ แล้วยังจะมีความลำบากอื่นใดที่จะสกัดขัดขวางไม่ให้พวกเขามุ่งหน้าต่อไปได้อีกเล่า? เมื่อผ่านการขัดเกลาจากความเป็นความตายในทะเลทราย จิตใจของเหล่านายทหารก็แน่วแน่มากขึ้น เต็มไปด้วยความมั่นใจต่อสถานการณ์ตรงหน้า
แม่น้ำที่พวกเขาตั้งค่ายสายนั้นมีชื่อว่าแม่น้ำซีเอ่อร์ มีต้นกำเนิดจากยอดเขาทัวมู่เอ่อร์ซึ่งอยู่สูงที่สุดของเทียนซาน ได้รับการขนานนามร่วมกับแม่น้ำน้ำฉู่และแม่น้ำอีหลีว่าสามแม่น้ำทางช้างเผือกและสายคาดหยกแห่งเทียนซาน
เมื่อเดินย้อนแม่น้ำซีเอ่อร์ขึ้นไปก็จะค่อยๆ เข้าใกล้ตีนเขาตะวันออกของเทียนซาน สภาพภูมิประเทศค่อยๆ ลาดชันมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย บนภูเขาอันสูงใหญ่อันชอุ่มชุ่มชื้นเต็มไปด้วยต้นหญ้าและตะไคร่น้ำงอกเงยอยู่เต็มไปหมด ราวกับพรมสีเขียวที่มองไปจนสุดลูกหูลูกตา บุปผาน้อยสารพัดสารพันหลากสีสันแต่งแต้มประดับอยู่บนทุ่งหญ้าสีเขียวมรกต คล้ายม้วนภาพเขียนสีสันสดใสม้วนหนึ่ง เลียบสองข้างฟากฝั่งแม่น้ำมีภูเขาน้ำแข็งโบราณตั้งอยู่ เปล่งประกายสีรุ้งระยับวับวาวอยู่ใต้แสงแดดอันบอุ่น
ทัศนียภาพอันแสนจะงดงามน่าลุ่มหลงนี้กลับทำให้คนต้องเดินไปชมไป รู้สึกหลงใหลโดยไม่รู้ตัว ลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิงว่าพวกเขากำลังเดินทัพไปออกรบกันอยู่
หลี่อู่หลิงที่หายจากอาการบาดเจ็บจูงม้ามุ่งไปข้างหน้า เหลียวมองรอบด้านไม่หยุดหย่อน ส่งเสียงจึ๊ๆ ด้วยความตกตะลึงชื่นชม “นี่ก็คือเทียนซานในตำนาน? สภาพอากาศอบอุ่นน่าอยู่อาศัย ทัศนียภาพดั่งภาพเขียนจริงด้วย หากมาอยู่ที่นี่ได้จะไม่ถือเป็นเรื่องดีหรอกหรือ จริงสิ พี่หลิน ก่อนหน้านี้ท่านเคยมาเทียนซานใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นท่านจะทราบได้อย่างไรว่าเมื่อตัดผ่านหลัวปู้ปั๋วก็จะมาถึงใต้เขาเทียนซานขอรับ?”
สิ่งที่หลินหว่านหรงแสดงออกมาตลอดเส้นทางนี้ก็ใช้ได้แต่คำว่ามหัศจรรย์มาบรรยายเท่านั้น จากอี้อู๋เข้าสู่หลัวปู้ปั๋ว เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมซึ่งไม่เคยมีใครเดินทางผ่านมาก่อน แม้จะประสบกับความยากลำบาก ถึงกระนั้นกลับเดินตัดผ่านทะเลแห่งความตายได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่ก่อนออกจากทะเลทรายซึ่งอยู่ในช่วงที่เกือบจะหลงทางก็ยังมีละมั่งนำทางอีก นี่มันช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเสียจริง ทุกคนต่างตื่นตะลึงต่อสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ของแม่ทัพหลิน
คำถามนี้ของเสี่ยวหลี่จื่อถือว่าแทนข้อสงสัยของทุกคน ไม่ใช่เพียงพวกของหูปู้กุยที่ใช้สายตาจดจ้องร่างของเขาเท่านั้น แม้แต่อวี้เจียซึ่งเดินทางอย่างเงียบงันไม่เอ่ยวาจาคนนั้นก็ยังอดมองเขาหลายครั้งไม่ได้ คล้ายกำลังมุ่งหวังกับคำตอบของเขาอยู่
ดวงตาของหลินหว่านหรงไม่กะพริบ พูดจาใหญ่โตโดยไม่รู้จักละอายใจออกมา “เทียนซาน…เคยมา ข้าเคยมาแน่นอน! ร่ำเรียนสรรพตำรา เดินทางหมื่นลี้ คำพูดประโยคนี้เจ้าน่าจะเคยได้ยินกระมัง นั่นนำมาใช้บรรยายข้าโดยเฉพาะเลย เฮ้อ ข้าคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนที่ไม่ชอบทำตัวเด่นมากเลยนะ”
หลี่อู่หลิงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวเราะพร้อมส่ายหน้า “คนที่ไม่ชอบทำตัวเด่นเช่นพี่หลินนี้ช่างหาได้น้อยเสียจริง เพียงแต่เห็นท่านคุ้นเคยกับเทียนซานมากเสียขนาดนี้ น่าจะเคยมาแล้วจริงๆ พี่หลิน ท่านยังเคยไปที่ใดมาอีกขอรับ?”
“เยอะ เกาลี่ หลิวฉิว ตงอิ๋ง หนานหยาง ซีหยาง เปอร์เซียอะไรต่อมิอะไร บอกกับเจ้าแบบนี้ก็แล้วกันนะ ขอเพียงสถานที่ที่มีคนอยู่ก็ต้องทิ้งรอยเท้าของข้าเอาไว้”
ปีนี้เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่ ต่อให้ออกเดินทางเที่ยวรอบโลกตั้งแต่ออกจากท้องมารดาก็ไปไม่ได้มากมายขนาดนั้นหรอก! ครั้นได้ยินเขาคุยโวโอ้อวด ทุกคนจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างสนุกสนาน
ยิ่งเดินขึ้นเขาอากาศก็ค่อยๆ หนาวเย็น ความสูงจะระดับน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพภูมิประเทศของเทียนซานก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน ไม่พบหญ้าเขียวดอกไม้หลากสีสัน มีหิมะกองสุมหนาอยู่บนเนินเขา ภูมิอากาศซึ่งเมื่อครู่ยังอบอุ่นราววสันต์ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ถูกความหนาวเย็นอย่างรุนแรงเข้าปกคลุม ธารน้ำแข็งรอบด้านถูกหิมะสุมจนกลายเป็นชั้นน้ำแข็ง หนาเตอะ ภูเขาลาดชัน ระหว่างชั้นน้ำแข็งมีรอยปริแตกไขว้สลับกันไปมา ถี่ราวกับใยแมงมุม ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็มีขนาดหลายจั้ง ลึกสองจั้งได้ ทั้งยังได้ยินเสียงคำรามของสายน้ำเข้าสู่ใบหูอย่างต่อเนื่องเบาๆ อีกด้วย
หนาวจัง! หลินหว่านหรงปิดใบหูโดยไม่รู้ตัว ใต้เท้าเริ่มลื่นแล้ว ข้างกายมีเสียงฟันกระทบกันดังกึกๆ อยู่เป็นระยะ เมื่อหันไปมองก็เห็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งสวมอาภรณ์บางเบา ใบหน้าเย็นจนแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกอดแขนอันอ่อนแอเอาไว้ ร่างกายสั่นระริก
หลินหว่านหรงขมวดคิ้ว ก่อนขึ้นเขาก็เคยกำชับทุกคนแล้วว่าต้องเตรียมป้องกันความหนาวเย็นให้ดี เหล่านายทหารต่างดึงหนังแกะใบไม้มาปกคลุมร่างเพื่อป้องกันความหนาวอย่างลวกๆ มีแค่สาวน้อยคนนี้ที่ชุดบางเบามากที่สุด แล้วนี่จะข้ามยอดเขาเทียนซานที่มีหิมะปกคลุมตลอดกาลไม่มีวันละลายได้อย่างไรกัน?
“คุณหนูอวี้เจีย แค่ชุดของเจ้านี้ เกรงว่ายงไม่ทันข้ามภูเขาหิมะก็แข็งจนเป็นแท่งน้ำแข็งแล้ว” เขาหยุดฝีเท้า มองเยวี่ยหยาเอ๋อร์ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อวี้เจียเหลือบมองเขาเรียบๆ คราหนึ่ง เดินหน้าต่อไปโดยไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว กลับทิ้งเขาไว้อยู่ด้านข้าง
ไม่พูดไม่จาหมายความว่าอะไร? ประท้วงเงียบอย่างนั้นหรือ?! เขามีเจตนาดีแต่กลับเจอตอที่ไม่ยอมหักยอมงอเข้าให้ ดังนั้นจึงรู้สึกหงุดหงิดโมโหขึ้นมาบ้างทันที มองเงาร่างอันเด็ดเดี่ยวของอวี้เจีย เมื่อใช้สายตาเหลือบมองก็เห็นถุงน้ำซึ่งห้อยอยู่ที่เอวของนาง ตุงๆ เป่งๆ บรรจุน้ำสะอาดไว้เต็ม บริเวณปากถุงยังมีรอยประทับริมฝีปากที่แห้งกรังที่คุ้นตายิ่งนักอีกด้วย
ถุงน้ำที่ทะลุเป็นรูแล้ว แล้วเหตุใดถึงซ่อมได้? เขาตะลึงงัน ใจรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาเป็นพิเศษ ร่วมเป็นร่วมตายกันในพายุทะเลทราย สาวน้อยทูเจวี๋ยชิงถุงน้ำกลับมาท่ามกลางสายลมอันบ้าคลั่ง ภาพเหตุการณ์แต่ละฉากแต่ละตอนนั้นค่อยๆ ผุดขึ้นตรงหน้า
จะไปถือสาหาความอะไรกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง? เขาส่ายหน้า เดินเข้าไปหาหลายก้าว ดึงนางทันทีพร้อมพูดว่า “เจ้า…มานี่!”
รู้สึกเพียงแค่ร่างกายอบอุ่น เสื้อคลุมตัวยาวซึ่งยังคงแฝงไอร้อนจากร่างกายตัวหนึ่งคลุมลงบนบ่าของนาง อวี้เจียหันหน้าขวับมาทันที สะบัดชุดที่อยู่บนตัวออกไปพร้อมกล่าวด้วยโทสะ “เจ้าทำอะไร?”
หลินหว่านหรงสีหน้าเย็นชา “คุณหนูอวี้เจีย ความอดทนของข้าไม่ได้ดีมากขนาดนั้นนะ ขอเจ้าอย่ามายั่วโมโหข้าครั้งแล้วครั้งเล่าเลย หากเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ก็เชิญบอกข้ามาตามตรง!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์โยนเสื้อตัวยาวกลับคืนไปให้เขา กล่าวเย้ยหยันออกมาว่า “เหตุใดเล่า ไม่ห่วงว่าข้าจะเล่นการละเล่นที่เสี่ยงอันตรายอะไรนั่นแล้วหรือ ข้าอยากมีชีวิตแน่นอน แต่อวี้เจียไม่ต้องการความเวทนาของเจ้า! ใต้เท้าอัวเหล่ากง โปรดรักษาตัวด้วย!”
นิสัยของสาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้ช่างสุดยอดของความดื้อด้านแล้วจริงๆ ทอดสายตามองดวงเนตรคู่งามกระจ่างใจดุจวารีของนางแล้ว หลินหว่านหรงก็รู้สึกจนใจอยู่บ้างเช่นกัน “เอาเถอะๆ ถือว่าข้าไม่เคยเห็นก็แล้วกัน พวกเราไม่มีผู้ใดหาเรื่องผู้ใด เจ้าทำต่อไป การมีจิตใจอันดีงามถือเป็นอาการป่วยมารดามันเสียจริง ข้ายอมรับว่าข้าซวยเองก็แล้วกัน”
เจ้าโจรท้อแท้หมดกำลังใจจริงแล้ว เขาหิ้วชุดแล้วหมุนกายจากไป สีหน้าแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สีหน้าเช่นนี้ของเขาไม่เคยเห็นมาก่อน อวี้เจียขบริมฝีปากสีชาดแน่น สีหน้าเหม่อลอย มือน้อยกำแน่นแล้วก้คลายออก คลายออกแล้วก็กำแน่นอีก……