ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 575 - 2 อกจะใหญ่ขึ้น หน้าจะแดงขึ้น
ลมหิมะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พัดจนลืมตาไม่ขึ้น เมื่อรับเสื้อคลุมยาวที่หลี่อู่หลิงส่งมาให้อวี้เจียก็ตะลึงงัน ส่ายหน้าพร้อมกล่าวอย่างมีน้ำโห “เจ้าจงไปบอกอัวเหล่ากง ข้าไม่มีทางรับของจากเขา”
หลี่อู่หลิงเอ่ย “คุณหนูอวี้เจียเข้าใจผิดแล้ว พี่หลินบอกว่าเสื้อตัวนี้ไม่ใช่ของของเขา แต่เป็นของท่าน!”
“ของข้า?!” อวี้เจียขบริมฝีปากสีชาด “เหตุใดถึงกลายเป็นของของข้าได้?”
เสี่ยวหลี่จื่อกล่าวระคนหัวเราะ “พี่หลินบอกว่าเขาทำการค้ากับท่าน เป็นการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม เอาชุดของท่านไป จากนั้นค่อยคืนให้ท่านชุดหนึ่ง ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ ไม่มีผู้ใดเสียเปรียบผู้ใด ชุดนี้ตอนนี้เป็นของท่านแล้ว ท่านจะโยนมันทิ้งไปก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับพี่หลินแล้ว!”
ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว? หวนนึกถึงเจ้าโจนหัวเราะสรวลเสเฮฮาสนทนากับตน ที่แท้กลับจงใจวางแผนเรียบร้อยแล้ว เจ้าคนนี้เหตุใดหนังหน้าถึงหนาเพียงนี้นะ? นางนิ่งงันอยู่นาน ใจเต้นบัดเดี๋ยวช้าบัดเดี๋ยวเร็ว จู่ๆ ก็บังเกิดความรู้สึกแค้นเคืองถั่งท้นขึ้นมาในใจ คว้าชุดแล้วโยนลงพื้น “นี่เขากำลังทำอะไร มาหลอกข้าอีกแล้วหรือ ข้าไม่ต้องสิ่งของของเขาหรอกนะ ข้าไม่ต้องการ!”
เพียงแต่นางกลับส่งเสียงช้าไปสักหน่อย หลี่อู่หลิงกล่าววาจาเสร็จเรียบร้อยก็จากไปนานแล้ว ยามนี้กำลังเดินอยู่หน้าขบวนกับหลินหว่านหรงสองคน หัวเราะสรวลเสเฮฮากันอยู่
หิมะตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เกล็ดหิมะกระจ่างใสเกล็ดแล้วเกล็ดเล่าค่อยๆ โปรยปรายลงมา ตกลงบนเสื้อคลุมตัวยาวอันกว้างใหญ่นั้นพอดี งดงามเหนือธรรมดาราวกับบุปผาน้อยสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังเบ่งบานทีละดอก
อวี้เจียยืนนิ่งเหม่อลอย แม้แต่ความหนาวเย็นยะเยือกนั้นก็ไม่รู้สึก นางคุกเข่าลงไปอย่างแช่มช้า เก็บเสื้อคลุมตัวยาวที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ค่อยๆ ปัดให้เกล็ดหิมะร่วงหล่นไป
อุณหภูมิร่างกายยังคงประทับอยู่บนเสื้อคลุม ประหนึ่งสองมืออันอบอุ่นของโจร ครั้นนึกถึงเหตุการณ์ที่เจ้าโจรทำการค้ากับนาง ใจนางไม่รู้บังเกิดเป็นความรู้สึกเช่นไร
“เหตุใดเจ้าถึงเหมือนกับข้า ต่างชอบหลอกลวงคน?” นางคว้าจับเสื้อคลุมตัวนั้นแน่น ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ น้ำตาทยอยไหลรินดั่งสายฝน
ท่ามกลางลมหิมะที่โบกพลิ้ว ในที่สุดก็ปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาเทียนซานได้ รอบด้านมีแต่หิมะ สายลมหนาวมาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวดังอยู่ข้างหูไม่หยุด ท่ามกลางเมฆสีดำเต็มผืนฟ้านั้นกลับมีจันทร์กระจ่างลอยเด่นอยู่กลางนภา แสงจันทร์ที่งดงามดุจวารีกับเกล็ดหิมะสอดประสานซึ่งกันและกัน ส่องสะท้อนยอดเขาแห่งนี้ราวกับกลางวัน
หิมะจันทราปรากฏขึ้นพร้อมกัน ภาพเหตุการณ์อัศจรรย์อันน่าเหลือเชื่อนี้ทำให้ทุกคนต่างตาโตอ้าปากค้าง หากมิใช่เดินทัพมาถึงสถานที่แห่งนี้ ใครจะไปเชื่อว่าบนผืนพิภพจะมีสถานที่ที่เหมือนดั่งตำนานเช่นนี้อยู่อีกด้วย
“เทียนซานช่างเป็นสถานที่อันล้ำเลิศจริงด้วย!” หูปู้กุยพึมพำกับตนเอง
เกาฉิวกลับไม่ได้สะทกสะท้อนใจเช่นนั้น เขามองประเมินหลินหว่านหรงด้วยความประหลาดใจพร้อมส่งเสียงจึ๊จ๊ะ “น้องหลิน เสื้อคลุมของเจ้าตัวนี้ช่างมีฝีมือประณีตนัก มีเอกลักษณ์มากเลยนา!”
“อย่างนั้นหรือ?” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครา “นี่ต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อมา ก็ต้องสวมใส่สิ”
ท่ามกลางฝนหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว ท้องนภาที่อยู่ไกลห่างออกไปรางเลือนไปหมด แม้แต่เงาของภูเขาอาเอ่อร์ไท่ก็มองไม่เห็น เมื่อเหลือบมองลงไป ใต้เท้ามีแต่ฝนหิมะขาวโพลนไปหมด เบื้องใต้นั้นฝังกับดักที่ทำให้ถึงแก่ความตายเต็มไปหมด ทั้งแท่งน้ำแข็ง โพรงถ้ำน้ำ หิมะถล่ม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหนทางเบื้องหน้าจะมีสิ่งใดรอคอยพวกเขาอยู่บ้าง
หลินหว่านหรงปรับสีหน้าแล้วพูดว่า “สวี่เจิ้น เจ้าหาพี่น้องที่ปราดเปรียวว่องไวสักหลายคนแล้วให้ผูกเชือกติดกัน จากนั้นไปสืบหาเส้นทางข้างหน้า! จำไว้ ต้องให้เน้นความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ยอมช้าสักหน่อย แต่ไม่อาจบุ่มบ่าม”
ขึ้นเขาง่ายลงเขายาก โดยเฉพาะเทียนซานซึ่งอยู่ท่ามกลางหิมะก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนแม้จะเดินข้ามภูเขาหิมะเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเส้นทางหิมะอันเวิ้งว้าง ทุกคนต่างบังเกิดความระแวดระวังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พวกของสวี่เจิ้นแบ่งเป็นกลุ่มย่อยแล้วมุ่งหน้าไป ทัพใหญ่เรียงเป็นแถวยาวลงไป การมุ่งหน้าเชื่องช้ายิ่งนัก หลินหว่านหรงประกบอยู่ท้ายสุด ตรวจสอบอย่างถ้วนถี่ว่าไม่มีทหารคนใดตกหล่น
การเคลื่อนทัพท่ามกลางฝนหิมะ อากาศอันเย็นยะเยือกนี้ไม่ต้องเอ่ยถึง ทั้งกองทัพหลินหว่านหรงสวมใส่เบาบางมากที่สุดแล้ว ทั้งร่างถูกใบไม้ห่อหุ้มราวกับมนุษย์หญ้า เขาหยิบหิมะยัดเข้าปากเคี้ยวหลายครั้ง ทั้งหนาวเย็นทั้งหวานสดชื่น จากนั้นเขาก็เป่าลมหายใจใส่ฝ่ามือ ออกแรงบีบนวดฝ่ามือที่แดงก่ำ
‘ชุด’ ที่อยู่บนร่างถูกดึงหลายครั้ง หลินหว่านหรงหันหน้าไปกลับต้องตกใจ ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับเป็นอวี้เจีย ผู้ที่อยู่รั้งท้ายขบวนก้มีแค่พวกเขาสองคนแล้ว
อวี้เจียสวมเสื้อคลุมตัวยาวอันหลวมกว้างของหลินหว่านหรงอยู่ นางนำแขนเสื้อมาพันรอบจนแน่น เรือนร่างที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าอันงดงามปรากฏให้เห็นรำไร หลินหว่านหรงมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหลายครั้ง หัวเราะแล้วพูดว่า “อย่าโทษว่าข้าไม่ได้เตือนเจ้า ‘ชุด’ ของข้าตัวนี้ทนการดึงทึ้งของเจ้าไม่ไหว หากไม่ระวังก็จะหลุดลุ่ยแล้ว”
อวี้เจียก้มหน้าพร้อมแค่นลมหายใจ ในมือกลับมีผลไม้สีเงินโผล่ออกมาราวกับเล่นมายากล “ให้เจ้า!”
ผลไม้ลูกนั้นส่งกลิ่นหอมสะอาด บนก้านยังมีคราบดินหิมะอยู่ คล้ายเพิ่งถอนออกมาจากหิมะ หลินหว่านหรงถามด้วยความประหลาดใจ “นี่คืออะไร?!”
“ยาพิษ!” อวี้เจียตบด้วยสีหน้าเย็นชา
“ยาพิษที่แสนจะงดงามเช่นนี้” หลินหว่านหรงหัวเราะร่าพลางเลียผลไม้ลูกนั้นคราหนึ่ง รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมสะอาดลงไปในท้อง ร่างกายพลันอบอุ่นขึ้นมา ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะหายไป
“นี่มันคืออะไร?” เขาเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ
อวี้เจียแค่นเสียง “นี่เรียกว่าผลสีเงิน[1] เติบโตอยู่ใต้ภูเขาหิมะ มีฤทธิ์ทำให้ขนขามีกำลังวังชา ขับไล่ความเย็นเพิ่มความอบอุ่น หลายสิบปีถึงจะสุกงอมสักครั้ง ถือว่าเจ้าโชคดีแล้ว! กินเจ้านี่ไป รับรองว่าเจ้าจะไม่กลัวความหนาวไปหนึ่งชั่วยาม!”
“ผลอนาจาร[2]?!” หลินหว่านหรงพูดพร้อมเบิกตาโต “เช่นนั้นจะไม่ใช่ยาปลุกกำหนัดหรอกหรือ?! ให้เจ้าหาเจอเข้าเสียแล้ว”
“หยินของสีเงิน ไม่ใช่หยินของคนบ้ากามเช่นเจ้า…เหตุใดเจ้าถึงไม่อ่านตำราทางการแพทย์?!” อวี้เจียทั้งอายทั้งโมโห โกรธจนหน้าแดงก่ำ
หยินของอนาจาร[3]? หยินของคนบ้ากาม? หลินหว่านหรงกระพริบตาอยู่นาน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าไอ้เจ้าคำว่า “หยิน” สองคำนี้มีความหมายแตกต่างอย่างไรกันแน่ เพียงแต่ด้วยฝีมือทางการแพทย์ของอวี้เจีย นางบอกว่าผลอนาจารนี้ขับไล่ความหนาวเย็นได้ เช่นนั้นก็ต้องไม่ผิดแน่นอน
มองดูมือน้อยที่หนาวเย็นจนแดงก่ำของอวี้เจีย ทั้งยังมีคราบดินและคราบหิมะเกาะให้เห็นรางๆ หลินหว่านหรงจึงยิ้มด้วยความยินดี ส่งผลสีเงินนั้นคืนกลับไปให้นาง “เจ้านี่ไม่เลว แต่เจ้าเก็บไว้เถอะ ข้าคนนี้ร่างกายแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปลุกกำหนัดอะไร…อ้อ ไม่ใช่ ไม่ได้กลัวความหนาวเย็นอะไร”
“ข้ากินไปแล้ว” อวี้เจียก้มหน้าตอบอย่างดึงดัน
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “น้องสาว เจ้ารู้หรือไม่ว่าลักษณะพิเศษที่ปรากฏให้เห็นชัดมากที่สุดยามที่ผู้หญิงพูดโกหกคืออะไร”
“คืออะไร?!” อวี้เจียถามพร้อมกัดฟันกรอด
“นั่นก็คือ…อกจะใหญ่ขึ้น หน้าจะแดงขึ้น!” หลินหว่านหรงจ้องมองนาง ผงกศีรษะด้วยท่าทีขึงขัง
อวี้เจียลมหายใจหยุดชะงัก ใบหน้าแดงก่ำทันที อกงามขยับขึ้นลง กล่าวด้วยโทสะออกมาว่า “เจ้าสิถึงจะใหญ่ขึ้น เจ้าสิถึงจะแดงขึ้น เจ้าคนบ้ากาม!”
“เจ้าดูสิ” หลินหว่านหรงมองนางพลางกลืนน้ำลายเล็กน้อย “ที่ข้าพูดมีที่ใดไม่สอดรับบ้าง?!”
สมควรตาย ตกหลุมพรางเขาอีกแล้ว! อวี้เจียได้สติกลับมาโดยพลัน ใบหน้าแดงสดใส ไม่อาจหายไปได้อีก นางรีบสะกดกลั้นอารม์ที่พลุ่งพล่าน กล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่งว่า “ผลสีเงินนี้เจ้าจะเอาหรือไม่?!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้า “ของชิ้นนี้เจ้าจำเป็นยิ่งกว่าข้า เจ้าเก็บไว้เองเถอะ”
“ได้!” เสียงดังปังคราหนึ่ง อวี้เจียเขวี้ยงผลสีเงินลงพื้น จากนั้นก็เหยียบย่ำอย่างรุนแรง “เจ้าไม่เอา ข้าก็ไม่เอา!”
ผลไม้นั้นแตกกระจายเละเทะภายในชั่วพริบตา กลิ่นหอมสะอาดซึมเข้าไปใต้หิมะ อวี้เจียมองเขาด้วยความหยิ่งผยองและดื้อดึงคราหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายแล้ววิ่งลงเขาไป
นังหนูคนนี้นี่ อารมณ์รุนแรงเกินไปแล้วกระมัง! หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา ขณะที่กำลังรู้สึกเสียดายกลับได้รู้สึกว่าใต้เท้าโคลงเคลง มีเสียงครืนๆ แว่วมาจากข้างหลังรำไร
อวี้เจียพอได้ยินเสียงนี้สีหน้าก็แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว รีบหันหน้ากลับมาทันทีจนแทบจะล้มลงบนพื้นหิมะ
ยอดเทียนซานมีเสียงลมดังคำรามครืนๆ อย่างต่อเนื่องไม่หยุด ภูเขาศิลานั้นราวกับถล่มลงมา น้ำแข็งและหิมะที่ทอดยาวจนถึงฟากฟ้าไหลมาอย่างรวดเร็วราวกับแม่น้ำ รุนแรงยิ่งนัก เพียงชั่วพริบตาก็ถาโถมลงมา
คลื่นหิมะท่วมท้องฟ้ามาถึงเบื้องหลังหลินหว่านหรงภายในชั่วพริบตา เสียงดังครืนคราหนึ่งก็กลืนกินเงาร่างเขาจนหมดสิ้น
“อัวเหล่ากง!” อวี้เจียตะกายขึ้นมาราวกับเสียสติ ใจใกล้จะขาดรอนๆ แล้ว
——
[1] ผลสีเงิน หมายถึง แปะก๊วย
[2] ผลอนาจาร ผู้เขียนกำลังเล่นเสียงระหว่างคำว่าหยิน 银ที่แปลว่าสีเงิน กับคำว่าหยิน淫 ที่แปลว่าอนาจาร ลามก
[3] หยินของอนาจาร ผู้เขียนกำลังเล่นเสียงระหว่างคำว่าหยินเซ่อ银色ที่แปลว่าสีเงิน กับคำว่าหยินเซ่อ 淫色 ของคำว่าบ้ากาม