ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 576 - 2 พบนางเซียนอีกครา
ท่ามกลางสติอันเลือนราง จู่ๆ ก็มืออันอ่อนนุ่มคู่หนึ่งกวาดผ่านใบหน้า อบอุ่นราวกับสายลมวสันต์ยามเดือนสาม เงาร่างพร่ามัวของสตรีนางหนึ่งเข้ามาใกล้เบื้องหน้า กำลังคลี่ยิ้มให้เขาอยู่
สตรีนางนั้นหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที ทว่ากลับมองเห็นรูปโฉมไม่ชัด คล้ายเป็นเซียนเอ๋อร์ ทั้งคล้ายชิงเสวียน คล้ายพี่สาวอัน แต่กลับยังคล้ายหนิงอวี่ซีอีก! เห็นนางลอยล่องจากไป ด้วยความร้อนใจอย่างยิ่ง หลินหว่านหรงจึงคว้ากอดร่างงามของนางเอาไว้ “ห้ามไป ใครก็ห้ามไปทั้งนั้น!”
“พรืด” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมา “ใครก็ห้ามไปทั้งนั้น? เจ้ากลับละโมบนักนะ ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะรั้งใครไว้ได้บ้าง!”
“ข้ารั้งเจ้าไว้ได้!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยื่นมือไปกอดนางไว้ในอ้อมอก ไม่สนว่านางจะเป็นใคร ลูบคลำไปที่หน้าอกนางทันที
“อ๊ะ…โจรถ่อย!” สตรีนางนั้นส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและอายระคนกันออกมาทันที
“โอ๊ย ใครมาทิ่มก้นข้า?!” หลินหว่านหรงลืมตาขวับ รีบลุกขึ้นนั่งพร้อมตวาดเสียงดัง
ไม่เพียงรู้สึกเจ็บที่ก้น แต่ยังเย็นวาบอีกด้วย เมื่อแอบลูบคลำลงไปก็รู้สึกเพียงสัมผัสมืออันเย็นเยียบเสียดแทงกระดูก ตนเองกลับนั่งอยู่บนโพรงน้ำแข็งอันเย็นเฉียบแห่งหนึ่ง เมื่อทอดสายตามองไป รอบด้านล้วนมืดมิด ยื่นมือไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า นอกจากเสียงลมหนาวดังหวีดหวิวแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก สายลมเย็นพัดผ่านข้างใบหู หนาวจนขนลุกขึ้นมา
ไม่มีใคร? เขามองตรวจตราโดยรอบด้วยความสงสัย ไม่เห็นเงาคน ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว หรือว่าเมื่อครู่จะกำลังฝันอยู่? เขาลูบก้นโดยไม่รู้ตัว เย็นเยียบไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะเข็มแทงหรือว่าถูกแช่จนเย็นกันแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็จำแนกไม่ออก
ดูท่าว่าจะฝัน! แต่ว่านี่เราอยู่ที่ไหนเนี่ย? สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ลมพัด หิมะถล่ม จากนั้นก็ไม่รู้อะไรแล้ว
แม่เอ๊ย นี่เราอยู่ที่ไหนกันแน่? แล้วพวกของอวี้เจีย เหล่าหู เหล่าเกา เสี่ยวหลี่จื่ออยู่ที่ไหน? เขาหอบหายใจแฮ่กๆ ภายในห้วงสมองขาวโพลน ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะค่อยๆ ได้สติกลับมา
ผนังทั้งสี่ด้านเย็นเยียบเสียดแทงกระดูก ที่นี่น่าจะเป็นถ้ำน้ำแข็งบนเทียนซานแล้ว แม้แต่เรื่องหิมะถล่มยังให้ข้ามาเจอได้อีก ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดีนะเขาประชดตัวเองด้วยความรู้สึกอับจนปัญญาอยู่หลายประโยค จากนั้นก็ลองควานหาอยู่ในอก การควานหาครานี้กลับรู้สึกผิดปกติแล้ว
ปืนไฟ ยาวิเศษ สมุดภาพ ต่างหายไปจนหมด ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือบนร่างยังมีอาภรณ์อันอ่อนนุ่มเพิ่มขึ้นมาซึ่งยังคงอุ่นๆ แฝงด้วยกลิ่นหอมสะอาดคลุมอยู่บนตัว กลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นนั้นแล้ว เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าเสื้อคลุมตัวยาวของตนมอบให้อวี้เจียไปตั้งนานแล้ว แล้วเหตุใดพอหิมะถล่มถึงมีชุดมาให้ข้าอีกชุดหนึ่งได้?
เขาผุดลุกขึ้นมาทันที พูดเสียงดังออกมาว่า “นี่ มีใครอยู่ไหม เจ้าไม่ต้องหลบซ่อน ข้ามองเห็นเจ้านะ!”
เสียงสะท้อนดังก้องอยู่ภายในถ้ำน้ำแข็ง สะเทือนจนแก้วหูสะท้านเล็กน้อย โวยวายอยู่เนิ่นนานกลับปราศจากคนขานตอบ ภายในถ้ำน้ำแข็งอันมืดมิดนี้ ตาเขามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เท่ากับหูหนวกตาบอดอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
คล้ายมีใครอยู่จริงๆ เขานั่งลงด้วยความโมโห ถอดเสื้อคลุม ชุดตัวในของตนออกมา ขณะที่กำลังจะถอดแม้แต่กางเกงชั้นใน สุดท้ายก็มีเสียงเอียงอายของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นว่า “โจรถ่อย เจ้า…เจ้าจะทำอะไรน่ะ?!”
เสียงดังพรึบเบาๆ ชุดจุดไฟชุดหนึ่งถูกจุดขึ้นมาภายในถ้ำน้ำแข็ง บังเกิดลำแสงแผ่กระจายภายในชั่วพริบตา ท่ามกลางแสงสลัวมีสตรีสวมชุดขาวทั้งร่าง ท่วงทีเรียบเฉยสูงสง่าราวกับนางเซียนอยู่นางหนึ่ง คิ้วราวขุนเขาที่ทอดยาว เนตรดั่งวารียามวสันต์ ใบหน้าซับสีแดงระเรื่อจางๆ กำลังมองประเมินเขาอย่างสงบนิ่ง ขณะแย้มยิ้มเหมือนดั่งมวลบุปผาประดับด้วยหยาดน้ำค้าง ดอกโบตั๋นผลิบานเต็มที่
หลินหว่านหรงมองจนนิ่งอึ้งเป็นบื้อใบ้ไป ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้พูดพึมพำกับตัวเองออกมา “พี่สาว ทำไมถึงเป็นท่าน?!”
สตรีผู้นั้นยิ้มแย้มพลางเดินเข้ามาหา คลุมเสื้อให้เขาเบาๆ “ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร? เจ้าคนนี้ชอบใช้วิธีการไร้เหตุผลของอันธพาลเช่นนี้มาล่อให้ข้าออกมา”
หลินหว่านหรงกอดนางเข้าสู่อ้อมอก ความรู้สึกอันอ่อนโยนและอบอุ่นนั้นพลันกลายเป็นไอร้อนมหาศาลเดือดพล่านอยู่ในจิตใจของเขา เขาโอบเอวคอดอันอ่อนนุ่มนิ่มของนางไว้ หัวเราะร่วนข้างใบหูนางพลางเอ่ยว่า “พี่สาวคือนางเซียน ข้าคืออันธพาล พวกเราคือคู่ที่สวรรค์สร้าง ไม่มีใครพรากจากไปได้”
นางเซียนใบหูแดงทันที ขณะกำลังจะเถียงเขาสักหลายประโยค จู่ๆ ก็กลับพบว่ามีหยดน้ำร่วงหล่นลงมา อุ่นๆ ร้อนๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกใจทันที “เจ้า นี่เจ้าเป็นอะไร?!”
หลินหว่านหรงคราบน้ำตาเต็มใบหน้า ยิ้มร่าพร้อมเอ่ยว่า “พี่สาวมองผิดไปแล้ว นี่ไม่ใช่น้ำตา แต่คือหิมะละลาย”
หนิงอวี่ซีมองอย่างเหม่อลอย ตลอดเส้นทางที่นางเดินทางติดตามหลินหว่านหรงมานี้ เห็นเขาข้ามเฮ่อหลาน เหยียบย่ำทุ่งหญ้า ตัดผ่านทะเลทราย ข้ามภูเขาหิมะปราศจากสิ่งใดที่จะขวางกั้น เป็นวีรบุรุษผู้เกรียงไกร แม้จะคุยสรวลเสเฮฮาทว่ากลับกำจัดชนเผ่านอกด่านจนสิ้นซาก ถือเป็นบุรุษต้าหัวผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากที่สุด ถึงกระนั้นเหตุใดตอนนี้ถึงมาร่ำไห้ได้
บุรุษทึ่มคนนี้นี่! ใจของนางเอ่อท้นด้วยความอ่อนโยน รีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาบริเวณหาตาให้เขา จากนั้นจึงกล่าวระคนหัวเราะด้วยเสียงอันอ่อนโยน “นี่เจ้าเป็นอะไรไป? ขุนพลใหญ่ที่นำไพร่พลหนึ่งแสนคนเหตุใดถึงมาร้องไห้ขี้มูกโป่งต่อหน้าสตรีผู้หนึ่งเช่นข้าได้?!”
หลินหว่านหรงเช็ดน้ำตาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ใครกำหนดว่าขุนพลใหญ่จะร้องไห้ไม่ได้? ข้ากลัวเลยร้องไห้สักหลายครั้ง หรือว่านี่ก็ผิดด้วย”
เมื่อเห็นเขาทำท่าพาลพาโลราวกับเด็กน้อย หนิงอวี่ซีก็รู้สึกอบอุ่นใจ จับมือเขาพร้อมเอ่ยว่า “เป็นเพราะหิมะถล่มนี้ทำให้ตกใจใช่หรือไม่ อย่าร้อง อย่าร้อง ข้าอยู่ข้างเจ้าตลอดเวลา! ต่อให้มันจะเป็นสายลมน้ำค้างสายฝนหิมะ คนชั่วคนถ่อยโจรทั้งหลาย ไม่ว่าใครก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้!”
“พี่สาว…” หลินหว่านหรงคว้ากอดนางเข้าไปในอ้อมอก สองตามีน้ำตารื้นขึ้น รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก “ข้าไม่ได้กลัวเรื่องนี้!”
“เช่นนั้นเจ้ากลัวสิ่งใด?” นางเซียนหนิงกล่าวอย่างอ่อนโยน
หลินหว่านหรงถอนหายใจดังเฮ้อ “ข้ากลัวว่าสักวันหนึ่งท่านจะไปจากข้า!”
หนิงอวี่ซีนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าเหตุใดน้ำตาจึงทำให้ดวงตาทั้งสองข้างพร่าเลือน นางลูบไล้ใบหน้าเขาอย่างแช่มช้า กล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า “เจ้าเป็นแม่ทัพที่ดูแลทัพใหญ่นับแสนคน แล้วจะมาร้องไห้เพราะเรื่องของบุรุษสตรีพวกนี้ได้อย่างไรกัน หากแพร่ออกไปจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงเจ้ามาก!”
หลินหว่านหรงสบถออกมาอย่างดูแคลน “ข้าเดินทางไกลรอนแรมลอบโจมตี รบราฆ่าฟันได้ แล้วเหตุใดจะร้องไห้เพื่อสตรีที่ตนเองชอบไม่ได้? ชื่อเสียงก็คือใบหน้า ถูกทำลายไปแล้วก็ถือเป็นเรื่องดี ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ล้ำเลิศ คุณธรรมสูงส่งอะไรนั่นด้วย! ร้องไห้แล้วจะทำไม ข้าจะร้อง ใครใคร่หัวเราะก็หัวเราะไป…แช่งให้พวกมันหาเมียไม่ได้!”
“เจ้าคนนี้นี่นะ!” ฟังคำพูดเหมือนเด็กของเขาแล้ว หนิงอวี่ซีก็ยิ้มด้วยความจนใจ กลับน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ซบอกเขาอย่างแนบแน่น กล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า “ข้าว่าที่เจ้าร้องไห้น่ะโกหก คิดหลอกน้ำตาข้าถึงจะจริง!”
“พวกเราต่างฝ่ายต่างหลอกกันและกัน!” หลินหว่านหรงกะพริบตาหัวเราะ หนิงอวี่ซีหน้าแดง หยิกแขนเขาแรงๆ คราหนึ่ง ทั้งสองไม่เอ่ยวาจา ใจเต้นจนแทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน
“จริงสิ พี่สาว ตอนนั้นท่านแทงก้นข้าใช่หรือไม่?!” หลินหว่านหรงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ทันที รีบพลิกไหล่งามของนางเซียนหนิงแล้วเอ่ยถาม
หนิงอวี่ซีหน้าแดง เบือนหน้าหนีไปพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมกัน ใครใช้ให้เจ้ามาลงมือกับข้า หลับแล้วยังไม่ยอมทำตัวดีๆ!”
“อ๊ะ แบบนี้นี่เอง?!” หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง “ข้ายังนึกว่าตอนข้าตื่นถึงจะเป็นช่วงที่ข้าทำตัวไม่เรียบร้อยมากที่สุด คิดไม่ถึงว่าตอนนอนก็ยังฝึกฝนด้วย”
หนิงอวี่ซีหัวเราะเบาๆ “เจอช่วงที่เจ้าทำตัวไม่เรียบร้อยให้เอาเข็มทิ่มเจ้า…นี่คือสิ่งที่ศิษย์น้องอันสอนข้า บอกว่าใช้ได้ผลกับเจ้าชะงัดนัก!”
“พี่สาวอัน?! นางสอนท่าน?!” หลินหว่านหรงตาโตอ้าปากค้าง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจ แต่เป็นโลกนี้ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หวนนึกถึงบนทะเลสาบเสวียนอู่ที่เมืองจินหลิงคราก่อน นางจิ้งจอกอันยังสอนข้าว่าจะต่อกรกับนางเซียนหนิงอย่างไรอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วพริบตานางกลับสอนนางเซียนหนิงว่าควรจัดการข้าเช่นไรแล้ว นางจิ้งจอกคนนี้นี่ อยากจะตีก้นนางสักที จากนั้นก็จับสักสิบครั้งให้มันรู้แล้วรู้รอดไปนัก!
“ทำไม หรือว่าเจ้าจะแค้นเคืองศิษย์น้องอัน?!” หนิงอวี่ซีมองเขาอย่างตำหนิ
“อ๊ะ จะเป็นไปได้อย่างไร?” เขารีบหัวเราะฮ่าๆ พูดด้วยความระมัดระวังว่า “พี่สาวนางเซียน ท่านกับพี่สาวอันมาขลุกอยู่ด้วยกันได้อย่างไร เมื่อก่อนพวกท่านไม่ใช่แบบนั้นกันนี่นา…อ๊ะ ฮ่าๆ ข้าไม่พูด ท่านก็เข้าใจ!”
หนิงอวี่ซีมองเขาด้วยความไม่พอใจ “ขลุกอยู่ด้วยกันอะไรกัน ตอนที่ข้ากับศิษย์น้องอันสนิทสนมกัน เจ้ายังเล่นดินเหนียวอยู่เลย!”
“ใช่ๆ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะเหงื่อแตกเต็มหน้า ทอดสายตามองใต้หล้า คนที่กล้าสั่งสอนเขาเช่นนี้นอกจากพี่สาวอันแล้วก็มีนางเซียนหนิง แม้แต่ชิงเสวียนก็ทำไม่ได้! ทั้งสองนี้ต่างเป็นพยัคฆ์ที่กินคนไม่คายกระดูก
หนิงอวี่ซีถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “หลายปีนี้ข้ากับศิษย์น้องอันต่อสู้กัน ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรกันแน่ ตอนนี้สำนักศักดิ์สิทธิ์ไม่มีแล้ว ท่านอาจารย์ก็จากไปแล้ว สิ่งที่เหลือไว้ให้พวกเรามันก็แค่ซากกองอิฐหินดินทรายเท่านั้น ไม่มีอะไรเหลือแล้ว…”
“ไม่ ไม่ ยังมีข้า!” หลินหว่านหรงรีบพูดอาสา
นางเซียนหนิงทั้งโมโหทั้งขบขัน “อะไรที่เรียกว่ายังมีเจ้ากัน เจ้าเป็นอะไรกับข้า?! มิน่าศิษย์น้องอันถึงด่าเจ้า!”
“นางด่าข้า?” หลินหว่านหรงร้อนใจแล้ว “ด่าข้าว่าอะไร?! ด่าข้าว่าหล่อเหลาเกินไป ความรู้สูงส่งเกินไป หรือว่าจิตใจดีงามเกินไป?! ข้าต้องแก้ไขแน่นอน!”
หนิงอวี่ซีกลั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าคิดเพ้อฝันไปแล้ว นางด่าเจ้าว่า…บุรุษงามก่อเภทภัย!”
บุรุษงามก่อเภทภัย? คำคำนี้ช่างเหมาะกับข้าเสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงชูนิ้วโป้ง ส่งเสียงจึ๊จ๊ะทอดถอนชมเชย “พี่สาวอันช่างรู้จักข้าอย่างลึกซึ้งเสียจริง!”
ทำอะไรเจ้าคนนี้ไม่ได้เลยจริงๆ หนิงอวี่ซีส่ายหน้าอย่างจนใจ แต่ก็ดันชอบความรู้สึกที่ได้สนทนากับเขาเช่นนี้อีก “ยังจำคืนนั้นที่เจ้าถูกลอบโจมตีที่เมืองซิงชิ่งได้หรือไม่?”