ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 578 - 2 ขอกุมมือท่าน
หลินหว่านหรงมองจนถูกกวักขวัญและวิญญาณไป เขาประชิดข้างใบหูนางพร้อมพูดเบาๆ “พี่สาวนางเซียน รอให้ข้าโน้มน้าวชิงเสวียนได้แล้ว พวกเราก็จะเข้าห้องหอด้วยเช่นกัน?! ข้าไม่ได้เข้าห้องหอมานานมากแล้ว!”
“เหอะ” นางเซียนหน้าแดงถึงใบหูทันที เหลือบมองเขาด้วยความเขินอายและอับจนปัญญาหลายครั้ง “เข้าห้องหออะไรกัน วันๆ เจ้าเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้หรือ”
“ดูพี่สาวท่านพูดเข้าสิ ข้าเป็นคนใจง่ายขนาดนั้นเลยหรือ” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความเที่ยงธรรม “ข้าเป็นถึงขุนพลใหญ่ซึ่งปกครองไพร่พลนับพันนับหมื่นอยู่ในมือ ภารกิจกองทัพยุ่งวุ่นวายทุกวัน เพียงแต่ช่วงเวลาว่างที่อยู่แสนจะน้อยนิดนั้นถึงจะนึกถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เป็นบางคราว ไม่ควรค่าแก่การให้เอ่ยถึง ไม่ควรค่าแก่การให้เอ่ยถึง!”
นางเซียนมองเขา พูดพร้อมกลั้นหัวเราะออกมาว่า “พูดเช่นนี้ เวลาว่างของเจ้ากลับมีอยู่ไม่น้อยเลยนะ!”
หักหน้า! คิดไม่ถึงว่าแม้แต่พี่สาวนางเซียนที่เรียบเฉยสงบนิ่งสง่างามจะรู้จักหักหน้าข้าด้วย ช่างสมกับคำว่านับวันคุณธรรมถดถอย ใจคนไม่เหมือนเดิมเสียจริงนะ! เขาส่ายหน้าพร้อมถอนใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้า
“เจ้านี่นะ” ครั้นเห็นเขามีสีหน้าฮึดฮัดราวกับเด็กที่แอบขโมยกินไม่สำเร็จ หนิงอวี่ซีก็ใจอ่อน สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้ นางจับมือเขาพร้อมพูดด้วยความเขินอาย “การบำเพ็ญเพียรของข้าถูกทำลายด้วยเงื้อมมือเจ้า นอกจากอยู่เคียงข้างติดตามเจ้าแล้ว ยังจะไปที่ใดได้อีกเล่า? เจ้าทึ่มคนนี้นี่!”
“จริงหรือ?” หลินหว่านหรงกะพริบตา หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “พูดเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว พี่สาวไม่ต้องร้อนใจ สิ่งที่ข้ามีก็คือความอดทนและเวลา รอไปสิบปีแปดปีก็ไม่เป็นปัญหา”
ข้าร้อนใจอะไรกัน? เจ้าโจรคนนี้ได้เปรียบแล้วยังจะมาทำไขสืออีก นางเซียนมองค้อนเขาด้วยความอายและโมโห แต่เพียงเห็นหน้าตายิ้มทะเล้นของเขาก็รู้สึกจิตใจอบอุ่นขึ้นมาทันที ความหงุดหงิดกลัดกลุ้มทั้งหลายต่างปลาสนาการไปในบัดดล ช่างน่าอัศจรรย์นัก
ทั้งสองอิงแอบแนบชิด สนทนากันอย่างหวานชื่น บางครั้งเขาก็เอารัดเอาเปรียบบ้าง ทำให้ตนใจเต้นแรงอยู่หลายหน ถือเป็นความสุขอย่างล้นเหลือ โจรน้อยชอบเล่านิทาน แทรกเรื่องวับๆ แวมๆ สองแง่สองง่าม ทุกครั้งต่างต้องทำให้นางเซียนใบหน้าใบหูแดง ทุกเสี้ยวนาทีที่ได้อยู่กับโจรน้อยก็ต้องร่วงลงนรกหนึ่งฉื่อแต่ความรู้สึกนี้ก็ดันดียิ่งนัก ทำให้คนยากที่จะปฏิเสธ สมกับคำโบราณที่ว่ายิ่งร่วงลงสู่ที่ต่ำก็ยิ่งมีความสุขประโยคนั้นเสียจริง
ทั้งสองอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ถึงกระนั้นกลับมีความสุขยิ่งนัก สมกับความรู้สึกของในขุนเขาไร้กาลเวลา คืนวันผันผ่านไม่รู้เดือนปีเสียจริง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด สุดท้ายหนิงอวี่ซีก็ทนไม่ได้ จนพูดออกมาเบาๆ ว่า “เจ้า…เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามข้าว่าพวกเราจะออกไปได้อย่างไร?!”
หลินหว่านหรงถอนหายใจอย่างมีความสุข “โลกภายนอกสลับซับซ้อนเกินไป ข้าเป็นนกยวนยางคู่ที่มีความสุขอยู่ที่นี่กับพี่สาวจะอิสรเสรีเพียงใดกัน…พูดเหนื่อยแล้ว มา หอมทีหนึ่ง!”
หนิงอวี่ซีขยับวูบหลบอ้อมกอดหมีของเขา หน้าแดงพลางป้องปากหัวเราะเบาๆ “เจ้าอย่ามาพูดขัดต่อมโนธรรมเลย เมื่อครู่ไม่รู้ว่าผู้ใดเคาะไปทุกหนแห่ง ตามหาซอกที่อยู่ระหว่างหิมะน้ำแข็งนั่น คิดว่าข้าไม่เห็นอย่างนั้นหรือ?!”
รู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไรก็ปิดนางเซียนไม่มิด หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแห้งๆ “ที่จริงข้าเป็นห่วงพี่น้องที่อยู่ข้างบนอยู่บ้าง พอไม่มีข้าแล้วพวกเขาก็เหมือนสูญเสียแสงประทีปนำทาง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะร้อนใจจนมีสภาพเช่นใดแล้ว?!”
นางเซียนแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง พูดด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เป็นห่วงแค่พวกเขา? ข้าว่าไม่น่าใช่กระมัง การอ้อมค้อมเป็นสิ่งที่เจ้าถนัดมากที่สุด…ไม่ต้องมาถลึงตาใส่ข้า นี่เป็นสิ่งศิษย์น้องอันพูดเอาไว้ ไม่ใช่ข้าแต่งขึ้นมา!”
แม่เอ๊ย! หรือว่าในสายตาของนางจิ้งจอกอัน ข้าจะไม่มีความลับอะไรทั้งสิ้น? โชคยังดีที่ส่วนลับของข้ามีไฝตำหนิอยู่เม็ดหนึ่ง นางน่าจะยังไม่เห็น ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่กลายเป็นหมูเผือกน้อยที่เดินโทงๆ แล้วหรอกหรือ
หัวเราะฮิฮะหลายครั้ง จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่นางเซียนเคยพูดไว้ได้ อวี้เจียเหลือเวลาชีวิตอยู่ไม่กี่เดือนแล้ว ด้วยนิสัยใจคอของหนิงอวี่ซีย่อมไม่มีทางหลอกลวงแน่ บวกกับฝีมือของพี่สาว เรื่องนี้จริงสิบเต็มสิบ! เขารู้สึกเสียใจอย่างน่าประหลาด ส่ายหน้าอย่างจนใจพร้อมถอนหายใจยาวคราหนึ่ง
มืองามอุ่นร้อนข้างหนึ่งจับมือของเขาแน่น “โจรน้อย เจ้าอยากออกไปมากจริงหรือ?!”
หลินหว่านหรงตอบด้วยความอับจนปัญญา “คิดไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้พวกเราอยู่ใจกลางภูเขานับร้อยจั้ง แล้วจะออกไปได้อย่างไร?”
“โง่จริง!” หนิงอวี่ซีหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “ข้าพาเจ้ามาได้ก็ย่อมพาเจ้าออกไปได้เช่นกัน”
หลินหว่านหรงกะพริบตา กระเด้งขึ้นมาในบัดดล เขากอดนางพร้อมร้องเสียงดัง “พี่สาว ท่านพูดจริงหรือ? พวกเราออกไปได้จริงหรือ?”
เขาเหลือบมองหลายครั้ง สายตาไปอยู่บนกระบี่ชิวสุ่ยที่อยู่ในมือหนิงอวี่ซี จากนั้นจึงถามด้วยความสงสัย “ท่านคงไม่ได้คิดจะใช้กระบี่ขุดทางออกไปหรอกนะ? นี่ทำไม่ได้ จะทำลายถ้ำแห่งความสุขของพวกเรา!”
นางเซียนหนิงกุมมือของเขาแน่นพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน “สถานที่แห่งนี้มีอาภรณ์ที่งดงามมากที่สุดบนโลก ข้าไม่มีวันทำลายมันแม้แต่กระผีกเดียว ขอเพียงเจ้าอยากออกไป ข้าก็มีวิธี”
หลินหว่านหรงหยุดชะงัก จากนั้นก็ส่ายหน้าทันที “อย่าออกไปก่อนเลยจะดีกว่า ยากนักที่จะได้อยู่อย่างผ่อนคลายสบายใจกับพี่สาวนางเซียนสักหลายวันเช่นนี้ พวกเราก็มาครองคู่ชู้ชื่น ใช้ชีวิตที่มีความสุขสักหลายวันกันเถอะ”
นางเซียนหนิงมองเขาอย่างเลื่อนลอยหลายครั้ง ดวงเนตรอันงดงามพลันเปียกชื้น “เจ้าอย่าเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้มาหลอกให้ข้าดีใจ หากเจ้าถูกขังอยู่ที่นี่จริงจนทำให้เสียการใหญ่ ข้าจะไม่กลายเป็นคนบาปไปชั่วกาลนานหรือ?! ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกน่า!”
หลินหว่านหรงหัวเราะแห้งๆ เล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี ดังนั้นจึงทำได้เพียงกอดนางอยู่ในอ้อมอกแน่น สัมผัสความรักที่ส่งผ่านมาจากร่างกายนาง
หนิงอวี่ซีจูงเขามาที่ปากถ้ำ ลมหนาวภายในถ้ำปะทะใบหน้า เจ็บปวดราวกับมีดกรีด นางหยิบกระบี่ออกมา ไม่รู้ใช่กลอันใด กระบี่เล่มนั้นกลับแยกออกเป็นสอง หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ตาโตอ้าปากค้าง “พี่สาว ข้าให้เงินท่านก้อนหนึ่ง ท่านเปลี่ยนเป็นสองก้อนให้ข้าเถอะ”
หนิงอวี่ซีหัวเราะพรวดออกมาคราหนึ่ง “ไม่รู้จักทำตัวจริงจัง เห็นหน้าผาน้ำแข็งฝั่งตรงข้ามหรือไม่?”
หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะ หน้าผาน้ำแข็งนั้นอยู่ห่างจากทางนี้แค่ไม่กี่จั้ง ย่อมมองเห็นชัดแน่นอน หนิงอวี่ซีเดาะกระบี่อยู่ในมือ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงขวับคราหนึ่ง กระบี่ในมือพุ่งปลิวไปอย่างรวดเร็ว ตรึงเข้าไปในตัวภูผาฝั่งตรงข้าม
“พุ่งได้ดี พุ่งได้ดี!” หลินหว่านหรงปรบมือให้กำลังใจ
นางเซียนมองค้อนเขา เดาะกระบี่น้อยที่ยังเหลืออยู่ในมือเล่มนั้นพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “วันนี้ปีนขึ้นไปเกรงว่าจะมีอันตรายอยู่บ้าง เจ้ากลัวหรือไม่?”
หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “ต่อให้อันตรายอีกเพียงใด จะเทียบการข้ามผ่านโซ่ที่ยอดเขาเชียนเจวี๋ยนั้นได้หรือ? ตอนนั้นพวกเราเป็นศัตรูที่ข้าอยู่เจ้าม้วน”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต หนิงอวี่ซีก็หน้าร้อน ทว่าในใจกลับอบอุ่น นางผงกศีรษะเล็กน้อย
เสื้อคลุมตัวยาวที่อยู่บนร่างหลินหว่านหรงทิ้งไว้ให้อวี้เจียแล้ว สวมเพียงชุดเกราะอ่อนผ้าไหมเท่านั้น ของล้ำค่าชิ้นนี้ท่านพ่อตาฮ่องเต้ตรัสสั่งให้เกาฉิวนำมาให้เขาใช้ป้องกันตัว สร้างจากไหมแท้ แข็งแรงทนทานทว่าอบอุ่น แม้ถ้ำหิมะนี้จะหนาว แต่เขาก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
หนิงอวี่ซีกลับไม่วางใจ ยังเอาชุดขาวของตนคลุมร่างเขาอีก นางวรยุทธล้ำเลิศ ย่อมไม่เกรงกลัวความหนาวเย็น ทว่าหลินหว่านหรงกลับซาบซึ้งจะแย่ จับมือนางแล้วพูดว่า “พี่สาว เมื่อก่อนชิงเสวียนเคยสอนข้าฝึกยุทธ์ ข้าแอบอู้ขี้เกียจ ตอนนี้ในที่สุดก็ตระหนักถึงความผิดพลาดขั้นรุนแรงนี้ได้แล้ว รอให้คราวนี้ออกไปได้ ท่านให้ข้ากินโอสถคืนชีพสักสิบเม็ด จากนั้นก็โสมพันปีอีกสักหลายร้อยต้น จากนั้นก็ใช้เวลาล้างไขกระดูกให้ข้าสักหลายวันเถอะ แบบนี้ข้าก็จะสำเร็จเป็นยอดของยอดฝีมือแล้ว!”
“เจ้านึกว่ากำลังอ่านบันทึกจอมยุทธ์อยู่หรืออย่างไร? ไหนเลยจะมีโอสถคืนชีพ ล้างไขกระดูกอะไรนั่นได้? การฝึกยุทธ์ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างขยันหมั่นเพียร เก็บเกี่ยวประสบการณ์เท่านั้น ปราศจากหนทางลัดใดๆ ทั้งสิ้น” หนิงอวี่ซีได้ยินแล้วก็ทั้งขำทั้งโมโห เจ้าคนนี้คิดแต่จะได้เรื่องดีๆ โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ช่างเป็นสันดานของพ่อค้าหน้าเลือดจริงๆ
หลินหว่านหรงร้องอ้อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง หนิงอวี่ซีไม่อาจหักใจสร้างความกระทบกระเทือนใจต่อเขามากเกินไปได้ ดังนั้นจึงจับมือเขาแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ชอบฝึกยุทธ์ เช่นนั้นก็ไม่ต้องร้องขอ อันที่จริงสิ่งที่เจ้ามีอยู่กับตัวตอนนี้ มีสิ่งใดบ้างที่ได้มาโดยอาศัยวรยุทธ์ ข้าชอบเจ้าที่เป็นเช่นนี้!”
นางเซียนหน้าแดงสดใส แสดงความอ่อนโยนออกมาให้เห็นเล็กน้อย หลินหว่านหรงพลันคึกคักขึ้นมาทันที หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ดี ดี พี่สาวนางเซียนสมแล้วที่เป็นผู้รู้จักหลักการอย่างลึกซึ้ง”
เจ้าคนนี้นี่นะ ทนรับคำชมไม่ได้จริงๆ หนิงอวี่ซีหัวเราะพร้อมส่ายหน้า คลุมชุดให้เขาเรียบร้อย จากนั้นก็กุมมือของเขาแน่น ตวาดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “ขึ้น!”
หลินหว่านหรงรู้สึกเพียงมีเสียงลมดังวูบที่ใบหู ร่างกายยกขึ้น หนิงอวี่ซีท่าร่างงดงาม นางสะกิดปลายเท้าเบาๆ ภายในชั่วพริบตาก็เหยียบลงบนปลายกระบี่ที่อยู่บนหน้าผาฝั่งตรงข้าม แม้จะเคยมีประสบการณ์เหินร่างข้ามหน้าผามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อทอดสายตามองลงไปในถ้ำซึ่งลึกไม่อาจคาดคะเนก้น เขาก็ยังอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้อยู่ดี
หนิงอวี่ซียืนนิ่งอยู่บนปลายกระบี่ ไม่ขยับเขยื้อน ประหนึ่งนางเซียนท่องคลื่น นางใช้มือหนึ่งจับหลินหว่านหรง ส่วนอีกมือซัดกระบี่ขึ้นที่สูงเสียงดังขวับไปอีกครั้งหนึ่ง
“ขึ้น!” นางตวาดขึ้นมาอีกครั้ง เท้าสะกิดผนังศิลา ดึงกระบี่ที่รองรับเท้าออกมาจขณะที่ร่างอยู่กลางอากาศ เหินพุ่งขึ้นไป
การเหินปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูงสลับไปมานี้พุ่งขึ้นสู่ยอดเขาราวกับขยับวนเป็นเกลียว การเดินทางครั้งนี้แม้จะอันตราย แต่กลับเพราะทั้งสองเคยร่วมผ่านยอดเขาเชียนเจวี๋ยกันมา ใจประสานใจกันตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงผ่อนคลายกว่าครั้งแรกมาก
ไม่รู้ว่าทำไปกี่รอบ หลินหว่านหรงรู้สึกเพียงมีเสียงลมดังหวีดหวิวอยู่ข้างใบหู เย็นเยียบน่าตื่นตระหนก เขาหลับตาไปตั้งนานแล้ว
“โจรน้อย ดูเร็ว!” ข้างกายมีเสียงร้องเรียกของนางเซียนแว่วเข้ามา ข้างใบหูได้ยินเสียงกระแทกดังติงตังให้ได้ยินอยู่รำไร
หลินหว่านหรงรีบลืมตามอง เห็นว่าบนยอดเขามีแสงตะเกียงหรุบหรู่อยู่หลายดวง เสียงดาบกระบี่กระแทกดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย เชือกหลายเส้นปล่อยลงมาจากยอดผา มัดคนไว้หลายคน กำลังเจาะบันไดบนหน้าผาทีละขั้นอยู่
ทันใดนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์บันไดสวรรค์แห่งความรักขึ้นมา หลินหว่านหรงรู้สึกว่าฝ่ามือร้อนวูบ นางเซียนหน้าแดงระเรื่อ มองมาน้อยๆ เห็นชัดว่านึกถึงความทรงจำอันตราตรึงนี้ด้วยเช่นกัน
“พี่หู ข้าอยู่ตรงนี้!” หลินหว่านหรงใจอุ่นร้อน ใช้มือป้องปากตะโกนเสียงดังไปทางยอดเขา
เสียงลมเอื่อยเฉื่อยพัดพาเสียงตะโกนเขาไปหา ปมเชือกที่อยู่ด้านล่างสุดมัดคนไว้ผู้หนึ่ง ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก นางก้มลงมองทันที เผยให้เห็นดวงหน้าอันงดงาม น้ำตานั้นไหลพรากลงมาดั่งไข่มุกที่สายขาดสะบั้น “อัวเหล่ากง!”