ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 579 - 2 ใกล้แค่ตรงหน้า
ครั้นเห็นคบเพลิงซึ่งแผ่ขยายทอดยาวลงไปบนพื้นพิภพที่มีแต่น้ำแข็งและหิมะก็หวนนึกถึงการอยู่ร่วมกันอย่างอุ่นภายในถ้ำหิมะกับนางเซียนหนิง ราวกับความฝันและภาพหลอน ประหนึ่งสองห้วงมิติ ทำให้คนไม่กล้าเชื่อว่าเป็นความจริง
ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าสถานที่ที่ไกลห่างออกไปเงียบสงัดจนผิดปกติ เขาเงยหน้าเพ่งมอง สายตาอ่อนโยนของสาวน้อยทูเจวี๋ยกำลังมองมาทางนี้ ครั้นเห็นสายตาของเขาอวี้เจียก็นิ่งอึ้งก่อน จากนั้นก็รีบเบือนหน้าไป สีแดงระเรื่อข้างแก้มมองเห็นได้ชัดเจน
นังหนูคนนี้เหลือชีวิตแค่ไม่กี่เดือนแล้ว ไม่รู้ว่าตัวนางจะรู้หรือไม่ หลินหว่านหรงส่ายหน้า ภายในใจบังเกิดความรู้สึกหลากหลายผสมปนเป สลับซับซ้อนยากจะจำแนกได้ เดินสาวเท้ายาวๆ ไปหานางอย่างรวดเร็วทันที
ได้ยินฝีเท้าของเขาเดินเหยียบย่ำพื้นหิมะส่งเสียงดังสวบสาบ เสียงแต่ละเสียงต่างกระแทกจิตใจ แม้อวี้เจียจะเบือนหน้า ทว่าลำคอระหงกลับซับด้วยสีแดงสดใสอยู่หลายส่วน งามสดใสอย่างน่าประหลาด
ยังอยู่ห่างจากอวี้เจียอีกหลายจั้ง เห็นสองมือที่กำแน่น ใบหูที่แดงก่ำของนางได้รางๆ แม้แต่ขนตายาวซึ่งกำลังกระเพื่อมไหวก็มองเห็นได้ชัดเจน ขณะที่หลินหว่านหรงกำลังจะสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหา กลับรู้สึกว่าแขนเสื้อรัดแน่น เหมือนมีคนดึงจากข้างหลัง ดังนั้นจึงรีบหันกกลับไป กลับเห็นหนิงอวี่ซีซึ่งสวมชุดขาวประดุจเซียน ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าโปร่ง กำลังแย้มยิ้มให้เขาอยู่
“พี่สาวนางเซียน ท่านไปที่ใดมา?” หลินหว่านหรงรู้สึกยินดีเป็นล้นพ้น รีบจับมือนางไว้ หลังจากออกจากซอกเขาก็ไม่เห็นเงาของนางเซียน ขณะกำลังเป็นห่วง นางกลับมายืนอยู่ข้างกายเขาโดยไม่ให้สุ้มเสียง แล้วจะไม่ให้เขายินดีเป็นล้นพ้นได้อย่างไรกัน
หนิงอวี่ซีหัวเราะแล้วตอบว่า “เมื่อครู่เจ้ากำลังพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างมีความสุข แล้วข้าจะรบกวนเจ้าได้อย่างไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงรอให้พวกเขาไปแล้วถึงออกมาพบเจ้า”
นางเซียนหนิงสวมชุดสตรีย่อมไม่สะดวกเข้าออกค่ายทหาร หลินหว่านหรงกะพริบตาแล้วพูดว่า “พี่สาว ไม่สู้อีกสักครู่ท่านเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษเถอะ พวกเราร่วมกินร่วมอยู่ร่วมทำงาน”
หนิงอวี่ซีจะไม่รู้ความคิดความอ่านเขาได้อย่างไร ดวงหน้างามแดงเล็กน้อย ส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “หากต้องการร่วมกินร่วมอยู่ร่วมทำงาน เจ้าไปหาศิษย์น้องอันไป! ข้าเห็นเจ้าพออยู่ต่อหน้านางกลับว่าง่ายอยากหาได้ยากนัก หรือว่าเจ้ากลัวเข็มเงินของนาง?”
คืนนั้นที่กอดนางจิ้งจอกอันนอนร่วมเตียงจะต้องอยู่ในสายตานางเซียนหนิงจนหมดสิ้นแน่ นางถึงได้กระเซ้าแบบนี้ หลินหว่านหรงหน้าแดงอย่างยากจะได้เห็น หัวเราะฮิฮะสองคราแล้วเอ่ยว่า “พี่สาว ดูท่านพูดเข้าสิ ตอนข้าอยู่ต่อหน้าท่าน นั่นยิ่งไม่ว่าง่ายกว่าหรอกหรือ? จริงๆ นะ ข้าไม่เคยว่าง่ายเช่นนี้มานานมากแล้ว!”
ว่าง่าย? นางเซียนมองค้อนเขาอย่างจนใจ ดวงหน้าแดงเล็กน้อย จิตใจไม่สงบ หากเจ้าว่าง่ายจริงก็เอามือที่อยู่ที่เอวข้ากลับไปสิ ทั้งลูบทั้งคลำ อายจะตายอยู่แล้ว
ฝีเท้าของเจ้าโจรเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ อวี้เจียใจเต้นรัวดังตึกตัก คิดอยากจะออกห่างจากเขาอีกสักหน่อย ทว่ากลับไม่อาจย่างก้าวได้ ไม่รู้เมื่อไหร่เช่นกันที่ฝีเท้านั้นพลันหยุดชะงัก เจ้าโจรคล้ายยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับแล้ว มีเสียงกระซิบกระซาบ หัวร่อต่อกระซิกเบาๆ
นางรีบเงยหน้าขึ้นมอง กลับเห็นว่าข้างกายของหลินหว่านหรงมีสตรียืนอยู่อย่างสงบนิ่งผู้หนึ่ง
สตรีผู้นั้นสวมชุดกระโปรงสีขาว เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ยืนตระหง่านท่ามกลางหิมะ ขณะแย้มยิ้มบางๆ สง่างามหลุดพ้นโลกีย์อย่างบอกไม่ถูก แม้จะมองรูปโฉมนางไม่ชัดเจน แต่จากผิวขาวราวหิมะที่เผยออกมาเป็นบางครั้งก็พอคาดเดารูปโฉมอันงามพิลาสของนางได้ มืองามของนางเรียวยาวกระจ่างใส ดวงหน้าบัดเดี๋ยวขมวดคิ้วบัดเดี๋ยวยิ้มแย้ม คิ้วเรียวยาวเบาบางนั้นทอดโค้งงามประดุจขุนเขา ราวกับนางเซียนผู้หลุดพ้นลงมาเยือนโลกมนุษย์ ไม่มียามใดที่ไม่งดงาม
แม้อวี้เจียจะเป็นสตรีผู้งามล้ำเลิศเช่นกัน แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าสตรีชุดขาวผู้เรียบง่ายงามสง่าดั่งเซียนนี้กลับบังเกิดความละอายใจขึ้นมาหลายส่วน
หลินหว่านหรงกับสตรีผู้นั้นยืนอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ เจ้าโจรจับมือนางแน่น ดวงตาเผยความอ่อนโยนออกมาเป็นระยะ เพียงพอที่จะหลอมละลายหิมะและน้ำแข็งบนเทียนซานนี้
จำได้รางๆ ว่าเหมือนเป็นเงาร่างคู่นี้ที่ขึ้นมาจากโพรงน้ำแข็ง
อวี้เจียสีหน้าเหม่อลอย จิตใจพลันถูกสูบจนว่างเปล่าในบัดดล ความผิดหวัง ความปวดใจ ความเดือดดาล อารมณ์มากมายนับไม่ถ้วนเอ่อท้นขึ้นมาภายในจิตใจทันที นางกัดฟันส่งเสียงดังกรอดกรอด จ้องสองคนตรงหน้าเขม็ง ดวงตาวาวโรจน์แปรเปลี่ยนสารพัน ขนตายาวของนางกระเพื่อมไหวเล็กน้อย น้ำตากระจ่างใสสองสายไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน
“โจรน้อย เจ้าจะแค้นข้าหรือไม่?!” ขณะกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอบอุ่น จู่ๆ นางเซียนก็เอ่ยปากพร้อมถอนหายใจแผ่วเบาออกมา
หลินหว่านหรงอ้าปากด้วยความตกใจ “พี่สาว ท่านพูดอะไร แค้นไม่แค้นอะไร”
หนิงอวี่ซีส่ายหน้า ชี้ไปยังเงาร่างที่จากไปอย่างรวดเร็วนั้น “เจ้าดู!”
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เงาร่างของสาวน้อยทูเจวี๋ยหายไปจากตรงหน้า ครั้นเงยหน้ามอง เงาร่างบอบบางร่างหนึ่งกำลังวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็วท่ามกลางพื้นหิมะ ล้มลุกคลุกคลานครั้งแล้วครั้งเล่า ในความดื้อดึงคล้ายแฝงด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่หันหน้ากลับมาเลย
การละเล่นอันแสนอันตรายนี้ เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างศัตรูและตัวเรานับวันจะยิ่งรางเลือนเข้าไปทุกที ผู้ใดเป็นจิ้งจอก ผู้ใดเป็นนายพราน ท่ามกลางความสับสนงุนงงนั้นไม่อาจแบ่งแยกอย่างชัดเจนได้อีกแล้ว
ชีวิตคนเรามันช่างน่าสนุกมารดามันเสียจริง! หลินหว่านหรงสบถออกมาคราหนึ่ง ใจทั้งเหมือนรู้สึกได้ใจ ทั้งรู้สึกหดหู่ สลับซับซ้อนเหลือเกิน
เมื่อเห็นเขาส่ายหน้าดิก จึงถอนหายใจดังเฮ้อ นางเซียนมองเขาอยู่หลายครา กล่าวด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมาว่า “จะตามนางไปหรือไม่?!”
“ไม่ ไม่” หลินหว่านหรงตกใจจนรีบโบกมือ ล้อเล่นหรือเปล่า แม้นางเซียนจะอ่อนโยนเอาใจใส่ แต่ถ้าหึงขึ้นมา เกรงว่านางจิ้งจอกอันก็สู้ไม่ไหว อวี้เจียยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้แล้ว
“ไม่ต้องจริงหรือ?” หนิงอวี่ซีส่ายหน้า “สตรีผู้นี้หากเอ่ยถึงรูปโฉม สติปัญญา ฝีมือ ในต้าหัวเราถือว่าเป็นขนหงส์เกล็ดกิเลนเช่นกัน หากละทิ้งไปเช่นนี้จะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?”
ทำไมจู่ๆ นางเซียนถึงพูดจาให้อวี้เจียล่ะ จะทดสอบข้าอีกหรือ? หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า “อวี้เจียร้ายกาจนั้นไม่ผิด แต่นางเป็นชาวทูเจวี๋ย สติปัญญาที่นางมีล้วนใช้เพื่อสู้กับพวกเรา ตอนนี้พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางได้ แต่เมื่อข้ามผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ที่อยู่ตรงหน้าไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องประหัตประหาร เป็นศัตรูคู่แค้น ข้าต้องการบุกโจมตียึดราชธานีของชนเผ่านอกด่าน และมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าที่นั่นจะเป็นบ้านของอวี้เจีย พี่สาวนางเซียน หากท่านเป็นข้า ท่านจะทำเช่นไร?!”
ความแค้นของบ้านเมือง ความอยู่รอดเป็นตาย คำถามนี้ตอบยากจริงๆ นางเซียนเหลือบมองเขาพร้อมกล่าวระคนยิ้ม “ปัญหายากของเจ้า เหตุใดถึงโยนมาให้ข้าแก้? เจ้าไม่ใช่มีลูกไม้ในการต่อกรกับสตรีอย่างพวกเรามากมายหรอกหรือ?”
มาแล้วๆ พี่สาวหนิงคนนี้แรงหึงมากแล้วก็ยังยิ้มแย้ม ยากต่อกรยิ่งกว่านางจิ้งจอกอันจริงๆ ลองคิดดูเมื่อครู่กำลังอยากจะพูดคุยกับอวี้เจียสักสองสามประโยค นางเซียนก็โผล่มาได้พอเหมาะพอดี เวลาไม่ช้าไม่เร็ว เล็งได้อย่างเหมาะเหม็ง สมกับคำว่ายอดฝีมือพอลงมือก็รู้แล้วว่าได้หรือไม่ได้
“เหตุใดถึงไม่พูดแล้วเล่า” หนิงอวี่ซียิ้มพลางมองเขา
หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี “พี่สาว เหตุใดท่านถึงกล่าวเช่นนี้ได้? ผู้ที่คุ้นเคยกับข้าต่างรู้ดี ข้าเป็นคนที่ใช้ความจริงใจแลกกับความจริงใจ ใช้ความรักโยกคลอนคนมาตลอด แล้วจะไปจงใจจัดการผู้อื่นได้อย่างไรกันเล่า?!”
นางเซียนส่งเสียงหัวเราะพรวดออกมาเบาๆ “กับอวี้เจียคนนี้ หรือว่าเจ้าไม่ได้กำลังเพียรพยายามทำให้นางตกหลุมพรางหรอกหรือ?”
หลินหว่านหรงรีบโบกมือ “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้ามีความจริงใจต้องการ…”
นางเซียนมองเขาด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หลินหว่านหรงเหงื่อเย็นไหลพราก โอ๊ยๆ เกือบตกหลุมพรางนางแล้ว พี่สาวเทพเซียนคนนี้ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง
“เอาล่ะ เจ้าก็อย่าโทษข้าเลย” หนิงอวี่ซีจับมือเขาพร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “หากมิใช่ศิษย์น้องอันฝากฝังเอาไว้ ข้าก็คร้านที่จะสนใจเรื่องวุ่นวายพวกนี้ของเจ้าหรอกน่า”
“พี่สาวอัน?” หลินหว่านหรงตกใจจนหุบปากไม่ลง พูดแบบนี้ การที่นางเซียนโผล่ออกมาทันเวลาพอดีก็เป็นเรื่องที่นางจิ้งจอกอันฝากฝังไว้ตั้งแต่แรกแล้วสิ? นางจิ้งจอกบ้ากามคนนี้ไม่เพียงวางยาพิษฆ่าอวี้เจีย อีกทั้งยังต้องการให้อวี้เจียโมโหจนตายอีก ร้ายกาจ ช่างร้ายกาจเสียจริง!
นางเซียนกล่าวอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้องอันแม้จะมีนิสัยร้อนแรง ถึงกระนั้นก็มิใช่คนกระทำตามอำเภอใจ นางจงใจหาเรื่องอวี้เจียก็ย่อมมีเหตุผลของนาง และต้องทำเพื่อเจ้าอย่างแน่นอน”
ทำเพื่อข้า? ที่แท้ในน้ำเต้าของพี่สาวอันคนนี้ขายยาอะไรกันแน่? หลินหว่านหรงผงกศีรษะด้วยความอับจนปัญญา จิ้งจอกบ้ากามกับพี่สาวนางเซียน คนหนึ่งทำตัวเป็นคนดี คนหนึ่งทำตัวเป็นคนร้าย ไม่กี่ทีก็จัดการข้าจนอยู่หมัด หากไม่พอใจขึ้นมาก็เอาเข็มมาทิ่มก้นข้า การอยู่เคียงคู่กับคนงามทั้งสองนี้ นั่นคือความทุกข์ที่ผสมด้วยความสุขอย่างแท้จริง
นับจากลงจากเทียนซานก็ปราศจากอุปสรรคขัดขวางอีก ทัพใหญ่เร่งควบอาชา ภายในสองวันก็บรรลุถึงตีนเขาอาเอ่อร์ไท่ เขาอาเอ่อร์ไท่อันยิ่งใหญ่ตั้งสูงตระหง่าน ที่อยู่ตรงข้ามก็คือส่วนลึกทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันสุดลูกหูลูกตา เคอปู้ตัว หญ้าแสบจมูก เค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่าน จะเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าจนหมดสิ้น
ยืนอยู่บนยอดเขาอาเอ่อร์ไท่อันสูงตระหง่าน ทอดสายตามองหญ้าเขียวขจีท้องฟ้าสีครามที่อยู่ไกลห่างออกไป หลินหว่านหรงก็ไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่าน หัวใจของชาวทูเจวี๋ยใกล้แค่ตรงหน้าแล้ว!