ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 580 คนแปลกหน้า
ภูเขาอาเอ่อร์ไท่ ในภาษาทูเจวี๋ยถูกขนานนามว่า ‘ยอดเขาสีทอง’ ทอดยาวไปนับพันลี้ ตัดขวางระหว่างเทือกเขาเทียนซานกับทุ่งหญ้าอาลาซ่าน ถือเป็นปราการทางธรรมชาติที่ขวางกั้นระหว่างทะเลทรายและภูเขาหิมะ ทะเลสาบเอ๋อเอ่อร์จี้ซือก็ถือกำเนิดที่นี่ มันค่อยๆ ไหลจากใต้ขึ้นเหนือ สุดท้ายก็ย้อนกลับไปที่ทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์ในทุ่งหญ้าอาลาซ่าน
เมื่อข้ามผ่านยอดเขาสูงอาเอ่อร์ไท่ สิ่งที่ตกเข้าสู่ม่านจักษุเป็นสิ่งแรกก็คือพรมสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาซึ่งทอดยาวคดเคี้ยวไม่มีวันจบสิ้นไปจนถึงขอบฟ้านั้น บุปผาน้อยหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนแต่งแต้มอยู่ในนั้น งดงามเฉิดฉัน แม่น้ำกระจ่างใสอันกว้างใหญ่สายหนึ่งไหลดังซ่าๆ ลงมาจากยอดเขา ไหลเอื่อยไปยังสถานที่อันห่างไกล ท่ามกลางแสงแดดยามวสันต์อันอบอุ่น ผิวน้ำเปล่งประกายระยิบระยับ ส่องประกายสีทองสะดุดตา
“สำเร็จแล้ว พวกเราสำเร็จแล้ว!” เดินทางรอนแรมมานานหลายเดือน ข้ามผ่านภูเขาหิมะ ตัดผ่านทะเลทราย ประสบความทรมานถึงขั้นเป็นตาย เมื่อทุ่งหญ้าสีเขียวมรกตปรากฏในครรลองจักษุอีกครั้ง เหล่านายทหารจึงอดโห่ร้องยินดี ร่ำไห้ด้วยความปีติยิ่งไม่ได้
จากเฮ่อหลานซานถึงอาเอ่อร์ไท่ พวกเขาเดินทางผ่านเส้นทางซึ่งไม่เคยมีผู้ใดเคยเดินทางมาก่อน ไม่ใช่แค่เดินทางอ้อมผ่านดินแดนของชนเผ่านอกด่านที่อยู่บนทุ่งหญ้าเท่านั้น ทั้งยิ่งเข้าสู่ดินแดนที่เป็นเหมือนหัวใจของชาวทูเจวี๋ยอย่างเงียบๆ โดยที่ผีสางเทวดาต่างไม่รู้อีกด้วย ข้ามผ่านเฮ่อหลานซานครั้งแรก เหยียบย่ำเข้าสู่ทุ่งหญ้าอาลาซ่านครั้งแรก หยุดอยู่ตรงหน้าเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านครั้งแรก ความใฝ่ฝันของทหารชายแดนจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพวกเขาทำให้เป็นจริงขึ้นมาทีละอย่าง สิ่งนี้ถูกกำหนดแล้วว่าจะเป็นการยกทัพเดินทางไกลที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติซึ่งบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ต้าหัวครั้งหนึ่ง
เลียบทะเลสาบ วัวแพะและแกะจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเดินออกหากินอย่างสบายอารมณ์บนทุ่งหญ้าเขียวขจีอันอุดมสมบูรณ์ราวกับตัวหมากที่เคลื่อนที่ได้ อาชาที่รวมตัวกันเป็นฝูงวิ่งห้อตะบึงส่งเสียงร้อง ขนโบกพลิ้ว ประหนึ่งระลอกคลื่นที่กำลังขยับตัวขึ้นลง เสียงเพลงที่มีท่วงทำนองสูงกระจ่างชัดแว่วมาไกลๆ นั่นคือเพลงรักของชนเผ่านอกด่านที่ออกมาเลี้ยงสัตว์ เสียงเอื่อยเฉื่อยกระจ่างชัด ลอยละล่องทอดยาวไปไกล
ทุ่งหญ้าเขียวขจี วารีสีมรกต ท้องนภาสีคราม ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันงดงามสงบสุข เฉกเช่นแดนในอุดมคติที่หลุดพ้นจากทางโลก
ทัศนียภาพอันงดงามดั่งภาพเขียนเบื้องหน้าทำให้คนเลือดลมพลุ่งพล่าน แม้แต่คนหนักแน่นเช่นหูปู้กุยนี้ก็ยังอดน้ำตาร้อนคลอเบ้าไม่ได้ พูดพึมพำออกมาว่า “ถึงแล้ว พวกเรามาถึงแล้วจริงๆ นี่ก็คือเคอปู้ตัว เมื่อข้ามผ่านที่นี่ไปพวกเราก็จะพบกับเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้ว เหมือนกับฝันไปเลย เหล่าเกา เร็ว รีบตีข้าสักสองที”
เกาฉิวหัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง กล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความจริงจัง “ฝันอะไรกันเล่า นี่คือความจริง! ข้าเหล่าเกาเชื่อมั่นมาตลอด ขอเพียงมีน้องหลินเป็นผู้นำ ไม่ว่าเบื้องหน้าจะมีความลำบากมากเพียงใด พวกเราก็ต้องมาถึงเค่อจือเอ่อร์แน่ เป็นอย่างไร ข้าเดาไม่ผิดใช่หรือไม่?!”
ความหน้าหนาของเจ้าคนนี้เอบจะไล่ทันแม่ทัพหลินแล้ว หูปู้กุยกลอกตาค้อนอย่างจนใจ ยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า
“พี่หลิน ต่อไปพวกเราควรเดินทางเช่นไรดีขอรับ? บุกเข่นฆ่าไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ?” ทอดสายตามองแพะแกะและวัวซึ่งเดินกันเป็นฝูงเลียบสองฝั่งแม่น้ำ หลี่อู่หลิงดวงตาวาวโรจน์ หลายวันมานี้อาการบาดเจ็บเขาหายดีเป็นส่วนใหญ่ตั้งนานแล้ว กำลังคันไม้คันมืออยากจะก่อเรื่องอยู่พอดี
“ร้อนใจอะไรกัน” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา ทอดสายตามองรอบด้าน “เคอปู้ตัวนี้เป็นสถานที่ที่ดี ซุกซ่อนของล้ำค่าไว้มากมาย ข้าต้องการหาของชิ้นหนึ่งที่นี่!”
“สมบัติ?!” ครั้นได้ยินสองพยางค์นี้ เกาฉิวก็ดวงตาเป็นประกาย “สมบัติอะไร? เงินทองของมีค่าหรือว่าอัญมณี? น้องหลินวางใจได้ สิ่งที่ข้าเหล่าเกาช่ำชองมากที่สุดก็คือการหาสมบัติ ต่อให้ต้องขุดดินสามฉื่อ ข้าก็ต้องขุดออกมาให้เจ้า”
หลี่อู่หลิงโบกมืออย่างดูคลน “โอ๊ย เงินทองของมีค่าอะไรกัน แม้แต่ดาบและกระบี่ชาวทูเจวี๋ยก็ยังหลอมตีไม่เป็นเลย แล้วจะไปเอาของพวกนี้มาจากที่ใดกัน? ข้าว่าท่านไปขุดกระดูกแพะยังจะมีความเป็นไปได้”
วิทยาการในการหลอมและตีโลหะของชาวทูเจวี๋ยเทียบต้าหัวไม่ติด ดาบทวนและเครื่องมือที่หลอมและตีออกมาต่างหยาบยิ่งนัก เสี่ยวหลี่จื่อจะดูแคลนพวกมันก็หาใช่ไร้เหตุผล
หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมพูดว่า “เป็นสมบัติอะไร อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็รู้แล้ว พี่หู หน่วยลาดตระเวนที่ส่งออกไปกลับมาแล้วหรือไม่?”
หูปู้กุยรีบผงกศีรษะ “ส่งพี่น้องออกไปยี่สิบกว่าคน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ใกล้กับราชธานีของชนเผ่านอกด่าน เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าจึงสั่งพวกเขาว่าหากเจอสิ่งใดในรัศมีร้อยลี้ให้รีบกลับมารายงานทันที ห้ามบุ่มบ่ามบุกเข้าไปใกล้ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี” หลินหว่านหรงโบกมือ กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “สั่งการลงไป คืนนี้ให้ตั้งค่ายที่นี่ เนื่องจากอยู่ใกล้หัวใจของศัตรู เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ ทุกคนห้ามตั้งกระโจม ห้ามก่อกองไฟ สวมชุดเกราะติดกาย นอนหลับบนพื้น หากมีผู้ฝ่าฝืน ลงโทษตามกฎทหาร!”
หูปู้กุยรีบผงกศีรษะ ขณะกำลังจะไปดำเนินการ จู่ๆ หลินหว่านหรงก็เรียกอีกครั้ง “กลับมา!”
เหล่าหูหมุนกายกลับมา หลินหว่านหรงรวบรวมสติอยู่นาน จากนั้นก็ถอนหายใจบางๆ ออกมาทันที “อวี้เจีย! ต้องเฝ้านางเอาไว้!!”
คำพูดนี้เตือนสติได้ทันท่วงที จากอี้อู๋เข้าสู่ทะเลแห่งความตาย ตลอดเส้นทางมานี้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทุกคน พวกของเกาฉิว เสี่ยวหลี่จื่อ หูปู้กุยค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อนาง เส้นเขตแดนของความเป็นศัตรูพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนอยู่ในทะเลทรายและบนภูเขาหิมะยังไม่เป็นอะไร แต่ยามนี้ล่วงเข้าใจกลางทุ่งหญ้าแล้ว เค่อจือเอ่อร์อยู่ใกล้แค่ตรงหน้า หากพูดอย่างไม่เกรงใจสักหน่อย นี่ก็คือเขตแดนของอวี้เจียแล้ว หากนางแอบเล่นตุกติก ทำให้ชนเผ่านอกด่านรู้ตัวล่วงหน้า เช่นนั้นก็จบเห่กันหมดแล้วจริงๆ
“ข้าน้อยรับทราบ!” หูปู้กุยรับคำหนักแน่น จากนั้นถึงจากไปอย่างรีบร้อน
หลี่อู่หลิงกะพริบตา เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “พี่หลิน หลายวันนี้ท่านไปหาอวี้เจียบ้างหรือไม่?!”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย นับตั้งแต่ลงจากภูเขาหิมะ เมื่อเยวี่ยหยาเอ๋อร์เห็นเขาก็จะหลบไปให้ไกล สีหน้าเรียบเฉยสงบนิ่งดุจวารี ปราศจากความเดือดดาล ปราศจากความยินดี แม้แต่ความเย็นชาที่เคยมีก็มลายหายไปสิ้น ใช้ ‘เหมือนคนแปลกหน้า’ มาบรรยายความสัมพันธ์ของคนทั้งสองในตอนนี้ นั่นคือสิ่งที่ไม่อาจจะเหมาะสมไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
หลี่อู่หลิงส่งเสียงเฮ้อ กล่าวหน้านิ่วคิ้วขมวด “น่าเสียดาย หากนางไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ยก็คงดี!”
หากนางไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ย เกรงว่าคงไม่ได้พบกับพวกเราแล้ว! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครา ใจบังเกิดความรู้สึกสับสนปนเปสารพัดสารพันเช่นกัน หากยกอาวุธประหัตประหารกับอวี้เจียในสนามรบจริง นั่งจะเป็นภาพเช่นไรนะ? จากร่วมเป็นร่วมตายกลายเป็นเจ้าอยู่ข้าม้วย ชีวิตคนเรานี้มันช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่งเสียจริง!
ทัพใหญ่เข้าทุ่งหญ้าอีกครา ต้อนรับด้วยการปรับกระบวนอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน เมื่ออยู่ใจกลางของชนเผ่านอกด่าน ศึกใหญ่ปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ทว่าเหล่านายทหารกลับมีท่าทีผ่อนคลาย สำหรับพวกเขา ตัดผ่านหลัวปู้ปั๋ว ข้ามผ่านเทียนซาน ถือว่าโชคดีรอดพ้นความตายมาได้ แม้จะเผชิญหน้ากับราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้วจะเป็นไรได้? พวกเขาปราศจากความกลัวแล้ว
หลินหว่านหรงเดินเล่นเลียบไปตามตีนเขา ดวงตากลอกมองประเมินรอบด้าน ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่ เหลียวซ้ายแลขวา เสียวเวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม แต่ก็ยังไม่ได้อะไรกลับมา ครั้นเห็นว่าเหลือแค่เนินเขาขนาดเล็กที่อยู่ไกลออกไปลูกนั้นที่ยังไม่ได้หา ขณะกำลังจะย่างเท้าเข้าไป เกาฉิวซึ่งตามอยู่ข้างกายเขาก็ตกใจทันที “เอ๊ะ นั่นมิใช่อวี้เจียหรือ?”
อวี้เจีย? หลินหว่านหรงเงยหน้ามอง เห็นว่าบนเนินที่อยู่ไกลห่างออกไปนั้น เงาร่างอันงดงามร่างหนึ่งกำลังใช้สองมือกอดเข่า นั่งขดตัวอยู่บนนั้นอย่างสงบนิ่ง สายตาล่องลอย ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด
เป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์จริงด้วย! บนกายนางยังคงสวมเสื้อยาวตัวใหญ่ตัวนั้น ห่อหุ้มเรือนร่างอันอรชรของนางอย่างแน่นหนา โครงร่างอันงดงามปรากฏให้เห็นรางๆ เสื้อยาวตัวนี้ใช้สิ่งของแลกมาท่ามกลางหิมะและน้ำแข็งแห่งเทียนซาน บัดนี้ถือว่าเป็นของนางแล้ว หลินหว่านหรงลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบทำให้อวี้เจียซึ่งกำลังอยู่ในห้วงความคิดตกใจ นางหมุนกายมองเขาหลายครั้ง สายตาเรียบเฉยอย่างบอกไม่ถูก
เพิ่งเดินเข้าไปใกล้เนินเขานั้นก็มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะลอยอยู่ในอากาศเบาบาง คล้ายกลิ่นหอม ทั้งคล้ายกลิ่นอะไรขมๆ หลินหว่านหรงยื่นจมูกดมหลายครา รู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่ง เขาเร่งฝีเท้า เพียงไม่กี่ครั้งก็พุ่งปราดขึ้นเนินสูงนั้น จากนั้นจึงมองเยวี่ยหยาเอ๋อร์พลางยิ้มเล็กน้อย “สวัสดี น้องสาว มาดูวิวอยู่ตรงนี้หรือ?”
อวี้เจียลุกยืนขึ้นโดยไม่เปล่งวาจา ผ่านข้างกายเขาพร้อมเดินลงเขาไปโดยไม่สนใจผู้ใด
หลินหว่านหรงยิ้มอย่างไม่แยแสคราหนึ่ง สายตามองไปยังเบื้องหน้า ทัศนียภาพสองข้างเนินเขาแห่งนี้แตกต่างกันมาก ฝั่งนี้เขี่ยวชอุ่มพุ่มพฤกษ์ ส่วนอีกฝั่งกลับเป็นดินสีเหลืองอันกว้างใหญ่แถบหนึ่ง สิ่งที่ขึ้นแน่นขนัดอยู่บนดินเหลืองนั้นทอดสายตามองไปไม่เห็นขอบเขต ปลูกพืชขนาดเล็กสีเขียวสูงเพียงไม่กี่ฉื่ออยู่เต็มไปหมด บนต้นมีใบขนาดเท่าฝ่ามือ รูปร่างคล้ายกล้วย บางต้นที่มีขนาดใหญ่สักหน่อยนั้นออกดอกแล้ว สีชมพู สีม่วง สีขาว สีแดงสด ล้วนงดงามยิ่งนัก
เจ้านี่มันช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงยิ้มหน้าชื่นตาบาน สูดลมหายใจอย่างมีความสุข ถอนหายใจยาวพร้อมพูดว่า “หญ้าแสบจมูกอันแสนจะงดงาม!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งเดินห่างออกไปหลายจั้งแล้วร่างกายชะงักงัน รีบหมุนกายกลับมา ภายในดวงตาปรากฏประกายเย็นชาให้เห็นรำไร พูดอย่างรวดเร็วออกมาว่า “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่านี่คือหญ้าแสบจมูก?!”
ข้าไม่รู้จักถึงจะแปลก! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง “น้องสาว เจ้าถามข้าหรือ?!”
อวี้เจียกัดฟันกรอด ผงกศีรษะเล็กน้อย
หลินหว่านหรงกะพริบตา ตอบนางว่า “วันนั้นเจ้ารักษาเสี่ยวหลี่จื่อ ไม่ใช่ใช้หญ้าแสบจมูกนี้ด้วยหรอกหรือ? วันนั้นข้าก็เห็นแล้ว ตอนนี้มีอะไรน่าแปลกกัน?!”
“เจ้าโกหก!” อวี้เจียมองเขาอย่างเย็นชา เปิดโปงคำปดของเขาอย่างดูแคลน “ตอนที่ข้ารักษา สิ่งที่ใช้คือหญ้าแสบจมูกที่ตากแห้งและหันเป็นชิ้นแล้ว เล็กบางราวกับเส้นไหม ส่วนพวกนี้คือหญ้าแสบจมูกซึ่งงอกเงยอยู่บนต้น ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ต้องผ่านการตากแห้ง อบเผา หั่นแบ่งถึงจะกลายเป็นสภาพสุดท้าย มิหนำซ้ำรูปร่างยังเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง แล้วเจ้าไปเคยเห็นหญ้าแสบจมูกที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ตอนไหนกัน?”
อวี้เจียสมกับเป็นคนฉลาด ประเดี๋ยวเดียวนางก็จับหางเขาได้แล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “น้องสาว เจ้าอย่าลืมสิ ข้าเป็นยอดคนที่เดินทางไปทั่วทุกแดนดิน รู้จักเจ้าหญ้าแสบจมูกนี่ก็ไม่มีอะไรแปลก ข้าไม่เพียงรู้จักมัน ทั้งยังใช้มันทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เจ้าเชื่อหรือไม่?!”
คำพูดเรื่องเดินทางไปทั่วทุกแดนดิน เดิมทีมีคนเชื่ออยู่ไม่กี่คน แต่ตอนนี้เขาดันเอามาเป็นข้ออ้างปกป้องตัวเองอย่างเต็มปากเต็มคำ แถมยังทำอะไรเขาไม่ได้อีก อวี้เจียมองเขา แค่นเสียงหลายครั้งแล้วเบือนหน้าไป
“ข้าขึ้นเหนือล่องใต้ จะรู้จักเจ้าหญ้าแสบจมูกนี่ก็ไม่แปลก” หลินหว่านหรงคุยโวเรื่อยเปื่อย มองประเมินนางด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน “กลับเป็นน้องสาวเช่นเจ้า รู้จักเจ้านี่ออกจะแปลกอยู่บ้าง เท่าที่ข้ารู้มา แม้แต่ในทูเจวี๋ยของพวกเจ้า เรื่องของหญ้าแสบจมูกนี้ถือเป็นความลับสุดยอดอย่างหนึ่ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ เจ้าอายุยังน้อย แล้วไปได้ยินมาจากที่ใด”
“อ่านตำรา!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตอบอย่างเย็นชา
“อ่านตำรา?!” หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง ถามด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าก็อ่านตำราพิสดารมามากเช่นกัน เช่นท่าฝ่ามือพิสดารสามสิบหกกระบวนท่า แม่ชีกับคัมภีร์ดรุณีหยก พระอาจารย์บนอาสนะเนื้อมนุษย์ ตำรามหัศจรรย์เก่าแก่โบราณเหล่านี้พลิกอ่านกลับไปกลับมาไม่รู้ตั้งกี่รอบ เหตุใดถึงหาบันทึกเหล่านี้ไม่เจอ?”
ที่เจ้าอ่านเป็นตำรามหัศจรรย์จริงๆ ด้วยนะ! เยวี่ยหยาเอ๋อร์หน้าร้อนทันที เบือนหน้าไปคร้านที่จะสนใจเขา
“น้องหลิน นี่ก็คือสมบัติที่เจ้าต้องการตามหา แค่ต้นไม้ไม่กี่ต้นนี่นะ?!” เกาฉิวผิดหวังเล็กน้อย ถอนหายใจด้วยเสียงเศร้าโศก
หลินหว่านหรงตบบ่าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย “เป็นต้นไม้ไม่กี่ต้นไม่ผิด เพียงแต่บนต้นไม้นี้จะงอกเงยเป็นทองคำ เอาของชิ้นนี้กลับไปหลอกเอาเงินชาวตะวันตก นั่นต้องสำเร็จแน่นอน! ที่นี่เรียกว่าเคอปู้ตัวกระมัง พี่เกา ท่านจำสถานที่นี้ไว้ ฮิฮิ!”
เหล่าเกางุนงงไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ ทว่าอวี้เจียกลับฟังเข้าใจอย่างยิ่ง นางสีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล รีบพูดด้วยโทสะออกมาว่า “อัวเหล่ากง เจ้าจะทำอะไร?”
หลินหว่านหรงโบกมือเรียบๆ “ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร รอกลางคืนแล้วค่อยกลับไปค่อยๆ คิดก็ได้ วันหลังหากมีเวลาค่อยบอกคุณหนูอวี้เจียก็แล้วกัน”
ความสามารถของเจ้าโจรนี่ช่างล้ำเลิศเสียจริง แม้แต่ของพวกนี้ก็รู้จักด้วย อวี้เจียมองเขาด้วยความตื่นตระหนก เห็นเพียงหลินหว่านหรงมีสีหน้าสงบนิ่ง ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางเหมือนคนไร้แผนการชั่วช้า
“หากเจ้ากล้าบุกยึดเคอปู้ตัว ข้าต้องไม่ละเว้นเจ้าแน่!” ด้วยความตื่นตระหนก สาวน้อยทูเจวี๋ยเงยหน้ามองทันที ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ มองเขาอย่างเย็นชา
“ไม่ละเว้นข้า?!” หลินหว่านหรงถอนหายใจ “คุณหนูอวี้เจีย พวกเราต้าหัวมีคำพูดโบราณอยู่ประโยคหนึ่ง นั่นคืออนุญาตให้ขุนนางวางเพลิงได้ แต่ห้ามราษฎรจุดตะเกียง[1] ข้ายึดเคอปู้ตัวของเจ้าแห่งหนึ่ง เจ้าก็ไม่ละเว้นข้า แต่พวกเจ้าลองถามใจตัวเองดู พวกเจ้าชาวทูเจวี๋ยแย่งชิงดินแดนของต้าหัวเราไปเท่าใด ทำร้ายสหายร่วมอุทรของข้าไปมากเท่าใด? พวกเขาจะละเว้นเจ้าหรือไม่?!”
อวี้เจียเงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา นี่คือเงื่อนตายที่ไม่อาจแก้ได้ ต่อให้เป็นผู้ที่ฉลาดมากที่สุดในโลก ครั้นเจอปัญหายากเช่นนี้ก็ไร้กำลังเช่นกัน
“คุณหนูอวี้เจีย บ้านของเจ้าอยู่ที่เค่อจือเอ่อร์ใช่หรือไม่?” หลินหว่านหรงพลันมองนางคราหนึ่ง เอ่ยถามระคนยิ้ม
เมื่อทหารม้าต้าหัวปรากฏตัวอย่างน่าอัศจรรย์บนยอดเขาอาเอ่อร์ไท่ อวี้เจียก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้นางจึงเบือนหน้าไปอย่างด้วยท่าทีแข็งกร้าว กัดฟันกรอดแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะถามทำไม? ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน ยืนนิ่งอยู่บนเนินเขา ม่านราตรีอันมืดมิดค่อยๆ เคลื่อนตัวลง สายลมหนาวกลางทุ่งหญ้าพัดพา ส่งเสียงดังหวีดหวิวข้างใบหูไม่หยุด
“ฟ้ามืดแล้ว ลมจะมาแล้ว[2]!”
——
[1] อนุญาตให้ขุนนางวางเพลิงได้ แต่ห้ามราษฎรจุดตะเกียง เป็นสำนวน หมายถึง ห้ามคนอื่นทำแต่ตัวเองกลับทำเอง ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง
[2] ลมจะมา หรือจะเกิดลม มีความหมายอีกอย่างว่าจะเกิดเรื่องแล้ว