ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 581 - 2 เหตุเปลี่ยนแปลง
เขาขมวดคิ้วมุ่นกัดฟันกรอด เดินย่ำก้าวกลับไปกลับมาด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย อารมณ์ดีที่มีเมื่อสักครู่ปลาสนาการไร้ร่องรอยไปตั้งแต่แรก
หนิงอวี่ซีเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น สัมผัสความกระวนกระวายภายในใจของเขาได้ พลันบังเกิดความรู้สึกอันอบอุ่นที่จิตใจเชื่อมประสานและเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน แม้แต่ลมหายใจก็คล้ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
“เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” เสียงแผ่วเบาและอ่อนโยนของนางเซียนดังข้างใบหู “ข้าตรวจสอบหญ้าเสบียงและม้าศึกเหล่านี้ของชนเผ่านอกด่านแล้ว เพิ่งรวบรวมมาได้ไม่กี่วัน ไม่จำเป็นว่าจะเพ่งเล็งมาที่พวกเรานะ”
หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็รั้งฝีเท้า กุมมือนางแน่น ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ครั้งนี้โชคดีที่มีพี่สาวเทพเซียน มิเช่นนั้นข้าคงเอาหัวโขกเข้าไปในกับดักขแงหนึ่งแสนชนเผ่านอกด่านแล้วแน่!”
หนิงอวี่ซีส่ายศีรษะพลางยิ้มแย้ม “เจ้าไม่ได้ทึ่มขนาดนั้นเสียหน่อย! ไม่ช้าก็เร็วต้องมีหน่วยลาดตระเวนรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้า ข้าก็แค่ล่วงหน้าก่อนหลายวันเท่านั้น”
“พี่สาวอย่าดูถูกเวลาไม่กี่วันนี้” หลินหว่านหรงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพิ่มเวลาให้ตัดสินใจอีกสักหลายวัน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะตัดสินผลแพ้ชนะของการศึกได้! เรื่องนี้ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ข้าต้องไปปรึกษากับพวกพี่หูถึงจะได้”
ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่งแสนเพียงพอที่จะบดขยี้ไพร่พลห้าพันนายนี้ ความหนักอึ้งทางจิตใจของหลินหว่านหรงแค่คิดก็รู้ได้ นางเซียนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนออกมาว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเถอะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้”
คำพูดประโยคเดียวกล่าวจนจิตใจหลินหว่านหรงอบอุ่น เขารีบผงกศีรษะ หมุนกายแล้วจากไป แต่ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของหนิงอวี่ซีดังขึ้นจากข้างหลังทันที “โจรน้อย!”
เสียงนั้นอ่อนโยนเหลือแสน หลินหว่านหรงฟังแล้วก็อ่อนยวบไปถึงกระดูก รีบหมุนกายกลับมา “พี่สาวเทพเซียน ท่านเรียกข้า?!”
เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองก็รู้สึกว่ามีสายลมหอมกรุ่นพัดวูบเข้ามา ริมฝีปากอุ่นร้อนและนุ่มนิ่มชุ่มชื้นประทับลงบนใบหน้าเขาเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว” มือน้อยอบอุ่นข้างหนึ่งกุมมือเขาแน่น หนิงอวี่ซีหน้าแดงสดใส มองเขาด้วยความรักเปี่ยมล้น ขยับริมฝีปากอันอ่อนนุ่มเบาๆ “ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป…ไม่ทอดทิ้งไม่พรากจาก อยู่ร่วมเป็นตาย!”
“พี่สาว!” หลินหว่านหรงจิตใจอุ่นวาบ รู้สึกเพียงจมูกร้าวระบม เขาโอบร่างงามหยาดเยิ้มของนางทันที ออกแรงดันอกนางหลายครา “ท่านวางใจได้ ข้าไม่กลัว คนคนนี้แข็งแกร่งมากนัก สมญานามก็คือแมลงสาบที่ตีไม่ตาย อีกอย่าง พวกเรายังไม่ได้เข้าห้องหอเลย…”
“เหอะ” หนิงอวี่ซีสบถเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง ใบหน้าร้อน รีบผลักไสเขาออกไป โจรน้อยหัวเราะร่า จากนั้นก็กลับคืนสู่สีหน้าท่าทางสนุกสนานที่เห็นได้ตามปกติอีกครา ทว่าในใจนางเมื่อเห็นแล้วกลับรู้สึกอบอุ่น…
“หนึ่งแสนคน?!” ทุกคนต่างเบิกตาโพลง อ้าปากกว้างพร้อมกัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่อาจพูดออกมาได้สักคำเดียว เบื้องนอกราชธานีของชนเผ่านอกด่านมีทหารม้าทูเจวี๋ยปักหลักเฝ้าอยู่หนึ่งแสนนาย นั่นยังจะรบผายลมอะไรกันอีกเล่า! ไม่ถูก ชาวทูเจวี๋ยกินจนเกลี้ยงก็ถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ครั้งยิ่งใหญ่แล้วล่ะ
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ความคึกคักซึ่งเกิดจากเค่อจือเอ่อร์มาอยู่แค่ตรงหน้าพลันลดฮวบจนถึงจุดเยือกแข็ง
“น้องหลินข่าวนี้ไปได้มาจากที่ใด?” เกาฉิวถามด้วยความสงสัย “หน่วยลาดตระเวนของเราเพิ่งอยู่นอกระยะร้อยลี้ แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงมีข่าวของเค่อจือเอ่อร์ได้?”
ด้วยความสามารถของนางเซียน ข่าวนี้ไม่มีวันผิดพลาดแน่นอน หลินหว่านหรงกล่าวเสียงทุ้มหนัก “ที่มาพวกท่านไม่ต้องถามแล้ว ข่าวนี้ไม่มีทางผิดแน่นอน!”
เขามีสีหน้าท่าทางหนักแน่น ไม่ให้สงสัยอีก ทุกคนจึงไม่ถามไถ่อีกต่อไป หูปู้กุยถอนหายใจคราหนึ่งพร้อมกล่าวด้วยความอับจนปัญญา “หากเค่อจือเอ่อร์มีทหารม้าทูเจวี๋ยอยู่หนึ่งแสนนายจริง เช่นนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเรื่องรบหรือไม่รบแล้ว แต่เกี่ยวกับความเป็นความตายและความอยู่รอดของพี่น้องห้าพันคนของเรานี้ต่างหาก”
“กลัวมันทำไม อย่างมากก็แค่มัจฉาตายตาข่ายขาด[1]กับชาวทูเจวี๋ย!” เกาฉิวด่าทออย่างดุร้าย กลับได้รับการสนับสนุนจากสวี่เจิ้นและหลี่อู่หลิง
หลินหว่านหรงขมวดคิ้วมุ่น นำพาทหารห้าพันนายตัดผ่านเส้นทางสายไหม ประสบความยากลำบากสารพัดสารพันจนมาถึงตีเขาภูเขาอาเอ่อร์ไท่นี้ ไม่ใช่เพื่อมาหาที่ตายที่นี่นะ
“ท่านแม่ทัพ ท่านมีความเห็นต่อชนเผ่านอกด่านจำนวนหนึ่งแสนนายนี้อย่างไรขอรับ?!” หูปู้กุยเอ่ยถามเสียงทุ้มหนัก เขามีประสบการณ์มากที่สุด หนักแน่นและฝึกฝนมาอย่างช่ำชองยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นด้วยความกับความเห็นเหล่าเกาโดยง่าย
หลินหว่านหรงย่ำก้าวอย่างแช่มช้า ผงกศีรษะเล็กน้อย “เรื่องราวบนโลกมีผลลัพธ์แค่สองแบบ…หากไม่ดีก็ต้องร้าย! ชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนรวมตัวอยู่รอบนอกเค่อจือเอ่อร์ หนีไม่พ้นความจริงสองอย่างนี้เช่นกัน!”
เหล่าเกาได้ยินแล้วก็งุนงง รีบพูดขึ้นมาว่า “เช่นไรถึงนับว่าร้าย แล้วเช่นไรถึงนับว่าดีขอรับ?!”
หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม “ถ้าเป็นเรื่องร้าย นั่นมิใช่หมายความว่าชาวทูเจวี๋ยหนึ่งแสนคนนี้พุ่งเป้ามาที่พวกเราหรอกหรือ ต่อให้พวกเราลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ พวกมันก็ต้องฆ่าล้างพวกเราแน่!”
นี่เป็นสถานการณ์อันร้ายแรงจริงๆ หลี่อู่หลิงเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “แต่เหตุใดชาวทูเจวี๋ยถึงรู้ว่าเป้าหมายของพวกเราคือราชธานีของพวกมันล่ะขอรับ?!”
คำถามนี้ของเสี่ยวหลี่จื่อคือข้อสงสัยของทุกคนพอดี หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “หากชาวทูเจวี๋ยต้องการรู้เจตนาของพวกเรา นั่นหมายความว่ามีเหตุการณ์สองอย่างที่เป็นไปได้…อย่างแรกก็คือพวกมันเดาได้ นับตั้งแต่พวกเราเข้าสู่อี้อู๋ ลู่ตงจ้านก็รู้เจตนาของพวกเราแล้ว…”
หูปู้กุยเงียบงันอยู่นาน ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้! เรื่องที่เส้นทางสายไหมเดินทางผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ได้ นอกจากท่านแม่ทัพหลินแล้ว บนโลกนี้ยังมีผู้ใดรู้อีก? หรือลู่ตงจ้านจะเป็นเทพสวรรค์มาจุติ? มิเช่นนั้นมันจะเดาว่าพวกเราจะตัดผ่านทะเลแห่งความตายเพื่อมาลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ ทั้งยังส่งทัพใหญ่จำนวนหนึ่งแสนมาปักหลักเฝ้าอยู่นอกราชธานีได้อย่างไร?!”
เหล่าหูวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล ลู่ตงจ้านแม้จะฉลาด แต่มันหาใช่เทพเซียนที่ทำนายได้ล่วงหน้า หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม “พี่หูพูดไม่ผิด หากชาวทูเจวี๋ยเดาออกได้เอง ความยากก็เท่ากับเด็ดดวงดาวมาจากท้องฟ้า นั่นแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้อีกเพียงอย่างเดียวแล้ว…บางที ในหมู่พวกเราอาจมีคนแจ้งข่าวให้ชาวทูเจวี๋ย!”
“อะไรนะ?” เหล่าเกาตกใจทันที “หรือว่าในหมู่พวกเราจะมีไส้ศึก?!”
หลินหว่านหรงส่ายศีรษะ “คนเหล่านี้ล้วนเป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา แล้วจะมีไส้ศึกได้อย่างไร พี่เกา ท่านคิดมากไปแล้ว!”
หลี่อู่หลิงเบิกตาโพลงในบัดดล “หรือว่าจะเป็น…อวี้เจีย?!”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนก็ต่างตกใจ เมื่อทอดสายตามองทั่วทั้งกองทัพ หากจะมีคนแจ้งข่าวต่อชนเผ่านอกด่านจริง ก็เหลือแค่เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว
“น่าจะไม่ใช่นาง” เหล่าหูกล่าวด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น “นับตั้งแต่พวกเราเข้าสู่อี้อู๋ ตัดผ่านหลัวปู้ปั๋ว ข้ามภูเขาหิมะ อวี้เจียไม่รู้เป้าหมายของพวกเราแม้แต่น้อย หรือต่อให้รู้ ท่ามกลางทะเลทรายและภูเขาหิมะ ข่าวของนางก็ส่งออกไปไม่ได้อยู่ดี จวบจนพวกเราข้ามผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ นางถึงจะมีโอกาส ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเราเฝ้านางอย่างเข้มงวดยิ่งนัก ต่อให้นางส่งข่าวออกไปจริงก็ไม่เกินหนึ่งวันเท่านั้น จะไปถึงเค่อจือเอ่อร์หรือเปล่าก็ยังไม่แน่เลย แล้วชนเผ่านอกด่านจะไปรวบรวมไพร่พลหนึ่งแสนคนรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?!”
ทุกคนต่างผงกศีรษะอย่างเงียบงัน อวี้เจียซึ่งดูเหมือนจะน่าสงสัยมากที่สุด ที่จริงแล้วกลับเป็นไปไม่ได้น้อยที่สุด!
“ถ้าเช่นนั้นอาจเป็นฝั่งของท่านอาสวีทางนั้นที่มีข่าวเล็ดลอดออกไป?” เสี่ยวหลี่จื่อขมวดคิ้ว “แต่นี่ก็ไม่ถูกนา! เรื่องใหญ่สำคัญเยี่ยงนี้ ท่านอาสวีไม่มีวันบอกผู้อื่นแน่นอน อย่างมากก็แจ้งท่านปู่สักหน่อย คนนอกไม่มีทางรู้แน่”
การระดมความคิดเกิดประโยชน์จริงด้วย คนทั้งหลายพูดจาไม่กี่ประโยคก็กำจัดความเป็นไปได้ทั้งหลายออกไป หลินหว่านหรงผงกศีรษะ หัวเราะแล้วพูดว่า “ฟังพวกท่านพูดเช่นนี้ ข้ายังไม่อาจหาเหตุผลที่ชนเผ่านอกด่านรู้พบพวกเราได้เลยจริงๆ”
ฟังความนัยของเขา สวี่เจิ้นก็บังเกิดปฏิภาณทันที “ท่านแม่ทัพ เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าทุกสิ่งถ้าไม่ร้ายก็คือดี! ตอนนี้กำจัดเรื่องร้ายออกไปแล้ว แต่การรวมพลของชนเผ่านอกด่านจำนวนหนึ่งแสนนั้นส่งผลดีอะไรกับพวกเราขอรับ?”
“ใครบอกไม่ดี?!” หลินหว่านหรงตอบเรียบ ๆ “ไม่แน่ว่าจะเป็นเฮ่อหลานซานทางนั้นที่เกิดความเคลื่อนไหวแล้ว!”
——
[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด หมายถึง ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย