ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 582 - 1 ชายงามทูเจวี๋ย
“เฮ่อหลานซานทางนั้นเกิดความเคลื่อนไหว?!” ยังคงเป็นหูปู้กุยที่มีปฏิกิริยารวดเร็วมากที่สุด “ท่านแม่ทัพ ความหมายของท่านก็คือ เพื่อให้ความร่วมมือต่อการลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ของพวกเรา กุนซือสวีอาจจงใจมีความเคลื่อนไหวต่อชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านเฮ่อหลานซานนั้น บีบบังคับให้ชาวทูเจวี๋ยมิอาจไม่มาแนวหน้าเพื่อเพิ่มกำลังพลหรือขอรับ?! กล่าวเช่นนี้ ทหารแสนนายนี้ก็ไม่น่าพุ่งเป้ามาที่เราแล้ว?!”
เกาฉิวร้องเอ๊ะคราหนึ่งพร้อมกล่าวด้วยความยินดี “หากชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนจะไปเพิ่มกำลังให้เฮ่อหลานซานจริง พอพวกมันไปแล้วเค่อจือเอ่อร์จะไม่กลายเป็นเมืองร้างหรอกหรือ? นี่มันเรื่องดีอย่างยิ่งเลยนะ!”
หลินหว่านหรงหัวเราะหลายครั้ง “ในเมื่อจะคาดการณ์ไปทางด้านดี เช่นนั้นพวกเราก็ขวัญกล้าบังอาจคาดเดาไปสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร นับตั้งแต่เผาปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ชาวทูเจวี๋ยก็โจมตีเฮ่อหลานซานอยู่นานโดยไม่อาจยึดได้ ทั้งยังขาดแคลนเสบียงอีก ไม่อาจไม่ถอยกลับทุ่งหญ้า ส่วนลู่ตงจ้านก็เพิ่งมีเวลารีบรุดมาอี้อู๋เพื่อพบข้า! คุณหนูสวีรู้เป้าหมายของพวกเราอย่างดี ในเมื่อชนเผ่านอกด่านถอยแล้ว ข้าคิดว่านางน่าจะคิดหาวิธีการดึงดูดความสนใจของชนเผ่านอกด่าน และเพื่อลดความกดดันของพวกเรา ไม่แน่ว่าตอนนี้นางอาจกำลังประจันหน้ากับชนเผ่านอกด่านที่ชายขอบระหว่างทุ่งหญ้ากับทะเลทรายก็เป็นได้! การโจมตีระลอกแรกไม่อาจยึดเฮ่อหลานซาน ชาวทูเจวี๋ยจำต้องเสริมกำลังทัพที่แนวหน้า เมื่อดูจากระยะเวลา การปรากฎตัวของคนหนึ่งแสนคนนี้ประจวบเหมาะกับการคาดคะเนนี้พอดี”
เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ทุกคนลอบผงกศีรษะกับตัวเอง ฟังเขากล่าวต่อไป
“จุดที่สำคัญยิ่งกว่า ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อถูกพวกเราเผาจนหาเสบียงไม่เจอสักเม็ดเดียว ส่วนชนเผ่านอกด่านสองแสนกว่าคนที่ล่าถอยไปก็ต้องใช้เสบียงจำนวนมาก จากปาเยี่ยนเฮ่าเท่อถึงอี้อู๋ พวกเราไม่พบสถานที่เติมเสบียงของชนเผ่านอกด่านเลย จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าเสบียงของพวกมันต้องขนส่งมาจากส่วนลึกของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน และเรื่องนี้ก็สบกับเรื่องที่มีการแอบรวบรวมเสบียงกองเป็นภูเขาเลากาอยู่นอกเมืองเค่อจือเอ่อร์พอดี”
“ในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้ชาวทูเจวี๋ยรู้เป้าหมายของพวกเราจริง ด้วยความฉลาดของลู่ตงจ้าน มันไม่จำเป็นต้องระดมไพร่พลหนึ่งแสนนายเฝ้าอยู่นอกเมืองเค่อจือเอ่อร์เลย นี่ไม่ใช่ทำให้พวกเราลนลานจนต้องหลบหนีไปหรอกหรือ? วิธีที่ดีที่สุดก็คือซุกซ่อนกำลังพล ลอบซุ่มโจมตี นั่งรอให้พวกเราเข้าไปหาที่ตาย! แล้วมันจะมาตั้งท่ารอโจมตีให้เห็นชัดเจนทำไมกันเล่า?!”
ทุกคนฟังเขาวิเคราะห์ คราแรกก็สงสัย ต่อมาก็รู้แจ้ง รู้สึกว่าสิ่งนี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง
“แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ต่างเป็นการคาดคะเนของพวกเราฝ่ายเดียว ที่แท้ความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น คงมีแค่ชนเผ่านอกด่านที่รู้แล้ว!” หลินหว่านหรงถอนหายใจ ปรับสีหน้า “หนทางเบื้องหน้าลำบากอันตราย ทุกคนต้องเพิ่มความตื่นตัวเป็นร้อยเท่า แม้ไม่อาจเข้าไปเสี่ยง แต่ก็ไม่อาจบังเกิดความขลาดกลัวก่อนจะที่เริ่มรบหรือมาข่มขวัญตัวเองได้ ไม่ว่าชาวทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่งแสนนี้จะมีเจตนาเช่นไร พวกเราก็หมดหนทางถอยแล้ว ในเมื่อมาถึงที่นี่ก็ต้องให้เจ้าชนเผ่านอกด่านโดนอะไรหนักๆ สักคราไม่เช่นนั้นไม่เพียงจะผิดต่อเหล่าพี่น้องที่รบอาบชโลมโลหิตที่เฮ่อหลานซาน ทั้งยังผิดต่อขาทั้งสองข้างของพวกเราด้วย! ทุกคนจดจำแล้วหรือไม่?!”
“ข้าน้อยรับบัญชา!” ทุกคนใบหน้าแดงก่ำ ส่งเสียงคำรามดังลั่นออกมาพร้อมเพรียงกัน เป็นอย่างที่หลินหว่านหรงว่าเอาไว้ นี่เดิมทีก็เป็นเส้นทางที่ไม่อาจหวนคืนซึ่งมีแต่ความตายหมดหนทางรอดสายหนึ่ง ไม่มีทางให้พวกเขาหดหัวหดหาง สิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าพวกเขามีเพียงแค่เส้นทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือมุ่งหน้า บุกเข่นฆ่าเข้าสู่ราชธานีทูเจวี๋ย!”
ปรึกษาหารือกับทุกคนไปรอบหนึ่ง ชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนของเค่อจือเอ่อร์เป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ วิธีการที่ปลอดภัยมากที่สุดในตอนนี้ก็คือใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว แนวหน้าของกองทัพไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันก็ขยายขอบเขตในการสืบเสาะของหน่วยลาดตระเวนให้กว้างมากขึ้น จับตาดูความเคลื่อนไหวของชนเผ่านอกด่านตลอดเวลา ดูสิว่าพวกมันจะทำอะไรกันแน่
เมื่อหารือกันเสร็จก็เป็นยามสองแล้ว จันทร์เสี้ยวลอยประดับอยู่เหนือท้องนภากระจ่างใส แสงจันทร์หรุบหรู่สาดกระทบลงบนพื้นหญ้า เงียบสงัดเย็นยะเยือก แฝงความความหนาวเย็นเล็กน้อย เมื่อทอดสายตามองออกไป บนพื้นหญ้ามีทหารนอนอยู่เต็มไปหมด เสียงแผ่วเบา เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อันหวานชื่นไปตั้งแต่แรก มุมปากของพวกเขาประดับรอยยิ้มให้เห็นรางๆ ไม่รู้ว่าฝันเห็นบุพการีภรรยาและลูกๆ ที่อยู่ที่บ้านหรือไม่ แม้เค่อจือเอ่อร์จะอยู่แค่ตรงหน้า ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่าพี่น้องเหล่านี้จะมีสักกี่คนที่มีชีวิตรอดกลับไป
“สุราองุ่นในจอกสุรางาม เหตุไฉนกลับมีเสียงอาชาเร่งเร้า เมามายล้มตัวนอนกลางทะเลทรายอย่างขบขัน แต่โบราณผู้ยกทัพแดนไกลได้หวนคืนสักกี่คน?” ขายืนอยู่บนเนินเขาอย่างเงียบงัน ทอดสายตามองใบหน้าที่มีหนวดเครางอกเงยเต็มไปหมดของเหล่านายทหารใต้บังคับบัญชา หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว จิตใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นอะไรไป?!” มืองามนุ่มนิ่มกุมมือของเขาแน่น เสียงอ่อนโยนยวนเย้าเสียงหนึ่งดังข้างใบหูเขาเบาๆ
เขาหมุนกายกลับไปเบาๆ หนิงอวี่ซีที่อยู่ใต้จันทราริมฝีปากแดงดวงหน้าสีขาว ผิวพรรณงดงามประดุจหยก ภายในดวงตาทั้งสองข้างแวววาวอ่อนโยนดุจวารี กำลังมองเขาอย่างสงบนิ่ง งดงามอรชรอ้อนแอ้น แสงจันทร์สีเงินส่องสะท้อนดวงหน้าอันงามพิลาสไร้ผู้ใดเปรียบของนาง สายคาดกระโปรงพลิ้วไสว ชุดขาวโบกพลิ้ว หนิงอวี่ซีผู้เรียบง่ายงามสง่าราวกับเป็นนางเซียนที่ลงมาจากวังจันทรา สูงสง่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่แปดเปื้อนมลทินบนโลกมนุษย์
หลินหว่านหรงมองจนนิ่งเหม่อลอย ผ่านไปเนิ่นนานถึงกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้พร้อมกล่าวพึมพำกับตนเอง “พี่สาว ท่านช่างงามเสียจริง!”
นางเซียนหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน มืองามยกขึ้นเล็กน้อย ปัดเศษหญ้าแห้งไม่กี่เส้นที่ติดอยู่ตามชุดและปกเสื้อเบาๆ “งดงามกับอัปลักษณ์มันก็แค่ถุงหนังที่สวรรค์ประทานมาให้เท่านั้น ตอนเกิดไม่ได้เอามา ตอนตายเอาจากไปไม่ได้ ก็มีแค่เจ้าถึงเอาเรื่องเหล่านี้มาใส่ใจ”
นางเซียนช่างวางเฉยอย่างยิ่งเสียจริง! หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน โบกไม้โบกมือพูดด้วยท่าทางไม่แยแส “การชื่นชมความงามเดิมทีก็เป็นสันดานของมนุษย์บนโลกอยู่แล้ว คนธรรมดาเช่นข้านี้ก็ยิ่งมีความสุข หรือว่าจะให้ข้าพอเผชิญหน้ากับพี่สาวซึ่งมีรูปโฉมราวกับนางเซียนบนสวรรค์แล้วจะไม่ให้รู้สึกรู้สาอะไร…ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง พี่สาว นี่ท่านออกจะขอรุนแรงเกินไปแล้วกระมัง!”
หนิงอวี่ซีดวงหน้าแดงระเรื่อ ก้มหน้าลงพร้อมกล่าวตำหนิ “ผู้ใดรุนแรงกับเจ้ากัน? เถียงเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ เจ้าอยากดูก็ดูไปเถอะ ข้าสิ้นการบำเพ็ญเพียรไปนานแล้ว ยังไม่ปล่อยให้เจ้ารังแกอีกหรือ?!”
แก้มขาวผ่องของนางเซียนราวกับผัดแต่งแต้มชาด ท่าทางตำหนิแฝงความเขินอายนั้นชักกวักวิญญาณเสียจริง หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็บังเกิดความรักใคร่อย่างล้นเหลือ จับมือนางพร้อมถอนหายใจเบาๆ “โชคดีที่มีพี่สาวเทพเซียนร่วมทางมาตลอด มิเช่นนั้นเส้นทางแห่งความเป็นความตายนี้ ข้าจะเดินต่อไปได้อย่างไร?!”
คำพูดนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย นับตั้งแต่ซิงชิ่งมาถึงเฮ่อหลานซาน จากปาเยี่ยนเฮ่าเท่อถึงเคอปู้ตัว ระหว่างนั้นประสบอุปสรรคอันตรายมานับไม่ถ้วน ประสบความเป็นความตายด้วยตัวเองมาตั้งหลายครั้ง หากไม่มีพี่สาวอันกับนางเซียนลอบคุ้มครอง เขาคงตายไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว
เห็นเขามีท่าทางหดหู่ก็นึกถึงอาการทอดถอนใจที่เขามีก่อนหน้านี้ หนิงอวี่ซีกำมือแน่น เอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “โจรน้อย เจ้าคิดถึงบ้านหรือ?”
“มีบ้าง!” หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม ก้มหน้าลงพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย นางเซียนสงบนิ่งสง่างาม เฉยชากับทุกสิ่ง และมีเพียงอยู่เบื้องหน้านางเท่านั้น หลินหว่านหรงถึงว่าง่ายเพียงนี้
ครั้นนึกถึงครั้งที่ต้องการเอาชีวิตเขาในคราแรก โจรน้อยผู้นี้ห้าวหาญแข็งกร้าวเพียงใด ปืนไฟเข็มผึ้งหยิบมาทำร้ายตน จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาก็มีช่วงที่ว้าเหว่ไร้กำลังด้วยเช่นกัน!
นึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ใจของหนิงอวี่ซีก็ค่อยๆ รู้สึกอ่อนโยนลง ดวงตาเปียกชื้นดุจวารี ปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเขาให้เรียบร้อยเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยนออกมาว่า “อย่ากลุ้มใจไปเลย มีอวี่ซีอยู่เคียงข้าง ต่อให้เป็นไพร่พลนับพันนับหมื่นก็ไม่อาจทำอันตรายเจ้าได้แม้แต่ขนสักเส้น รอให้รบเสร็จแล้ว ข้าจะกลับไปพร้อมเจ้า ให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสำราญบานใจ”
หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย ยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ “ชีวิตที่สำราญบานใจข้าคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแต่ข้ากลับไม่ได้กังวลเพื่อตนเอง”
“เช่นนั้นเพื่อใคร?!” หนิงอวี่ซีถามด้วยความสงสัย
กวาดสายตามองใบหน้าอ่อนเยาว์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนพื้น พวกเขาที่อยู่ในห้วงนิทรารมย์กำลังมีความสุขและสงบนิ่ง หลินหว่านหรงถอนหายใจเบาๆ “เพื่อพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายเหล่านี้! ข้าพาพวกเขามาแบบมีชีวิตได้ แต่กลับไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่รอดกลับไป?!”
นางเซียนหนิงอับจนคำพูด ถอนหายใจเบาๆ นางช่วยโจรน้อยคนหนึ่งได้ แต่จะไปช่วยทหารห้าพันคนนี้ได้อย่างไร?!
“อันที่จริงข้าไม่อยากรบเลยจริงๆ!” หลินหว่านหรงพูดพึมพำกับตนเอง คล้ายพูดให้นางฟัง ทั้งคล้ายพูดให้ตัวเองฟัง
ครั้นเห็นสายตาอันเวิ้งว้างว่างเปล่าของโจรน้อย นางเซียนก็ปวดใจ รีบคว้ามือเขาไว้ “ข้ารู้”
หลินหว่านหรงหันหน้ามาทันที ยิ้มร่าพร้อมพูดว่า “พี่สาว ข้าอยากร้องเพลง ท่านเคยฟังข้าร้องเพลงหรือไม่?!”
เจ้าโจรน้อยคนนี้เหตุใดบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้นะ? คราบน้ำตาหนิงอวี่ซียังไม่ทันแห้ง กลับเห็นเขาเปลี่ยนเป็นหน้าระรื่นอย่างแปลกประหลาด ดังนั้นจึงอดตะลึงงันไปไม่ได้
ยังไม่ทันจะได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง หลินหว่านหรงกลับสะบัดแขนออก แหกปากร้องเสียงดังออกมาว่า “…ข้าต้องการไปจากใต้จรดเหนือ ข้ายังต้องการไปนับตั้งแต่สว่างจนมืดมิด! ข้าต้องการให้ผู้คนมองเห็นข้า แต่กลับไม่รู้ว่าข้าคือใคร…”
บทเพลงนั้นแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เสียงห้าวหาญเข้มแข็ง ลอยล่องไปทั่วท้องฟ้ายามราตรีไปสู่สถานที่อันไกลแสนไกล เสียงสะท้อนจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมาพร้อมกัน พลันบังเกิดความรู้สึกเศร้าโศกาอันแปลกประหลาดถั่งท้นขึ้นมาภายในใจ จนเมื่อเสียงของเขามลายหายไป ในใจก็ยังร้อนรุ่ม
“เอ๊ะ แม่ทัพหลินร้องเพลงอีกแล้ว?!” หูปู้กุยเงี่ยหูฟังอยู่นาน ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหตุใดถึงไม่ค่อยเหมือนสิบแปดลูบคลำ? หรือว่าที่ซ่องจะมีเพลงสิบแปดลูบคลำใหม่”
“ใช้หูอะไรฟังกัน” เหล่าเกาเบ้ปากอย่างดูแคลน “เห็นๆ อยู่ว่านี่คือคิดถึงท่าน เป็นที่นิยมมากที่สุดในแปดหูท้งของปีนี้!”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งแสร้งหลับอยู่ทางนั้นพลิกตัวขึ้นมา ดวงตาปรากฏประกายวาววับเล็กน้อย สายตาจับจ้องเงาคนคู่หนึ่งซึ่งกำลังอิงแอบแนบชิดกันอยู่บนเนินเขาเขม็ง นางกัดฟันกรอด แค่นเสียงหนักๆ ออกมาคราหนึ่ง…
ออกเดินทางจากเคอปู้ตัว มุ่งหน้าเป็นระยะทางเจ็ดแปดสิบลี้ก็บรรลุถึงทะเลสาบอูปู้ซูนั่วเอ่อร์
“อูปู้ซูนั่วเอ่อร์” ความหมายในทูเจวี๋ยก็คือทะเลสาบอันเงียบสงบบนสรวงสวรรค์
ทะเลสาบสมดังคำร่ำลือ ยังไม่ทันเข้าใกล้ผิวทะเลสาบก็มีไอน้ำบางๆ ปะทะหน้าเข้ามาแล้ว แฝงด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของต้นหญ้าจางๆ น้ำทะเลสาบใสจนมองเห็นก้น คลื่นสีเขียวมรกตกระเพื่อมไหว เมื่อทอดสายมองออกไปไกลก็เหมือนกระจกแวววาวขนาดมหึมาซึ่งฝังตัวอยู่บนทุ่งหญ้าอาลาซ่าน
ทะเลสาบอยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านแค่สามร้อยกว่าลี้ ถือว่าอยู่ใกล้แค่จมูกชาวทูเจวี๋ย เนื่องจากไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนที่อยู่นอกเค่อจือเอ่อร์นั้น หลินหว่านหรงจึงลดความเร็วในการเดินทัพ เอ้อระเหยไปทั้งวัน จวบจนยามสายัณห์ถึงจงใจมาถึงอูปู้ซูนั่วเอ่อร์แห่งนี้
ฟ้ามืดแล้ว เหล่านายทหารปล่อยม้าออกหากินริมทะเลสาบ เช็ดดาบอย่างสบายอารมณ์ ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ ถึงกระนั้นกลับไม่พบบรรยากาศตึงเครียดเลยแม้แต่น้อย
อวี้เจียคล้ายคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของทะเลสาบแห่งนี้เป็นอย่างดี เมื่อมาถึงที่นี่เหมือนได้มาถึงบ้าน นางละทิ้งความเย็นชาที่เคยมีก่อนหน้าไปทั้งหมด ส่งเสียงหัวเราะยวนเย้าไม่หยุด เก็บดอกไม้ใบหญ้าป่าสารพัดชนิดภายในพุ่มหญ้าข้างทะเลสาบไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็นำมาปะปนกัน รวบเป็นช่อขนาดใหญ่หลายช่อ แต่ละช่อต่างนำมาไว้ใกล้จมูกแล้วดมเบาๆ หลายครั้งด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มหวาน
เมื่อเล่นสนุกจนเหนื่อยนางก็ถอดรองเท้า เผยให้เห็นเท้าน้อยงามกระจ่างใสประดุจหยกคู่หนึ่ง เตะน้ำทะเลสาบอันกระจ่างใสอย่างมีความสุข ทั้งยังขยำขยี้ดอกไม้ใบหญ้าป่ากำโตข้างกายหลายครั้ง คั้นน้ำออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็โยนใส่ทะเลสาบไม่หยุด ดูจากสีหน้านั้นแล้ว ท่าทางผ่อนคลาย มีอิสรเสรีอย่างบอกไม่ถูก
แม่เอ๊ย เห็นๆ อยู่ว่านางเป็นตัวประกัน แล้วทำไมถึงเล่นสนุกผ่อนคลายยิ่งกว่าข้าเสียอีก? มองดูอวี้เจียสาวน้อยผู้ไร้ทุกข์ไร้กังวล หลินหว่านหรงก็มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากดวงตา เต็มไปด้วยความอับจนปัญญาและความริษยา
อวี้เจียคล้ายรู้สึกถึงสายตาของเขาได้ นางหมุนกายมาเล็กน้อย เมื่อเห็นหน้าดำของเขา นางกลับคลี่ยิ้ม ยวนเย้าพราวเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
หลินหว่านหรงนิ่งงัน เป็นไปไม่ได้น่า นางยิ้มให้ข้า นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีมานานแล้วนะ หรือว่าวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก?!
ช่วงที่เขาตะลึงงัน อวี้เจียก็แค่นเสียงออกมาเบาๆ อีกคราพร้อมเบือนหน้ากลับไป ดอกไม้ใบหญ้ากำใหญ่ที่อยู่ในมือโยนลงไปในทะเลสาบ สายตานั้นกลายเป็นล่องลอย เป็นระลอกขึ้นลงราวกับน้ำในทะเลสาบแห่งนี้
“พี่หู พี่น้องข้างหน้ามีข่าวใหม่กลับมารายงานบ้างหรือไม่” เพิ่งจะตั้งค่ายหลินหว่านหรงก็จับตัวหูปู้กุยเอาไว้พร้อมไต่ถามด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม ยามเที่ยง หน่วยลาดตระเวนกลุ่มแรกส่งข่าวกลับมา รอบนอกเค่อจือเอ่อร์มีทหารม้าชนเผ่านอกด่านนับแสนคนรวมตัวกันอยู่จริง มีหญ้าเสบียงกองอยู่เต็มไปหมด สุมราวกับเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ข่าวของนางเซียนเที่ยงตรงไม่มีผิดเพี้ยน
ชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนเฝ้าเส้นทางซึ่งเชื่อมต่อไปยังเค่อจือเอ่อร์ จนบัดนี้ยังไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอันใด เมื่อเห็นเค่อจือเอ่อร์อยู่แค่ตรงหน้า ความร้อนใจของหลินหว่านหรงแค่คิดก็รู้ได้แล้ว