ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 587 - 2 ลงโทษ?
ด้วยวรยุทธ์ของนางเซียนหนิง สิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวนางถือเป็นเรื่องผิดปกติมาก หลินหว่านหรงตกใจยกใหญ่ รีบจับมืออันอ่อนนุ่มของนางไว้ “พี่สาวเทพเซียน ท่านเป็นอะไรไป?!”
หนิงอวี่ซีค่อยๆ ซบใบหน้าอันงามล้ำเลิศนั้นลงบนบ่าเขา กล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า “ข้าบำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่เด็ก ไม่ชอบเรื่องหลอกลวงกันไปมาเหล่านี้ การขึ้นเหนือครั้งนี้กลับทำลายหลักการและกฎเกณฑ์ตั้งมากมาย ทั้งยังเล่นลูกไม้กับอวี้เจียอีก เกรงว่าสวรรค์คงต้องลงโทษข้า”
“ไม่มีทาง” หลินหว่านหรงหัวใจบีบรัด รีบกอดนางเข้าสู่อ้อมอก “ข้าคนนี้ถึงจะเลวร้ายสุดๆ ต่อให้สวรรค์จะลงโทษ นั่นก็ต้องลงโทษข้า ไม่เกี่ยวกับพี่สาว”
“เจ้าคนนี้นี่ ชอบพูดถึงตัวเองในทางที่ไม่ดีอยู่เสมอ” หนิงอวี่ซีซบอยู่ในอ้อมอกเขาแน่น ยิ้มอย่างอ่อนโยนคราหนึ่ง “อันที่จริง เจ้าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมมากที่สุดในแผ่นดิน…โจรน้อย จู่ๆ ข้าก็คิดถึงชุดเจ้าสาวที่อยู่ในถ้ำน้ำแข็งบนเทียนซานขึ้นมา”
พี่สาวนางเซียนเป็นอะไรกันแน่? หลินหว่านหรงพลันบังเกิดลางสังหรณ์อัปมงคลอย่างหนึ่งขึ้นมาภายในใจ “ได้ๆ รอให้รบเสร็จแล้วพวกเราลองกลับไปดู ข้ายังต้องกลับไปที่ตระกูลเซียว ลงมือทำให้ท่านด้วยตัวเองชุดหนึ่งด้วยนะ”
หนิงอวี่ซีคลี่ยิ้ม ใบหน้าซับสีแดงระเรื่อ “ข้ารู้ หากมีวันนั้นเจ้าจะสวมให้ข้าด้วยตัวเองหรือไม่? ไม่ขอปิดบังเจ้า ข้าไม่เคยสวมชุดที่งดงามเช่นนั้นมาก่อนเลย”
“แน่นอน แน่นอน ท่านก็รู้ ข้าชอบสวมอาภรณ์ให้พี่สาวมากที่สุดแล้ว”
“ไม่รู้จักอาย!” นางเซียนยิ้มอย่างเอียงอาย แนบใบหน้าอันร้อนลวกอยู่บนหน้าอกเขาอย่างแนบแน่น “โจรน้อย ข้าขอพูดความในใจสักประโยคหนึ่ง เจ้าห้ามหัวเราะเยาะข้านะ”
“ท่านพูด ท่านพูดเถิด” หลินหว่านหรงจับมือนาง สัมผัสการเต้นชีพจรอันแผ่วเบาของนาง มีกระแสอบอุ่นสายหนึ่งเอ่อท้นขึ้นมาภายในใจ
หนิงอวี่ซีหลับตาทั้งสองข้างลง กล่าวอย่างอ่อนโยนและหนักแน่นว่า “…โจรน้อย ได้อยู่กับเจ้า ต่อให้ต้องผิดกฎสวรรค์ ข้าก็ยอม”
“พี่สาว…” มองดูดวงหน้าอันงามพิลาสล้ำเลิศบริสุทธิ์สูงส่งนั้นของนาง หลินหว่านหรงก็สะอื้นอย่างอับจนคำพูด พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่!” นางเซียนยิ้มพลางเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาเขา ขดตัวอยู่ในอ้อมอกเขาอย่างอ่อนโยน “คืนนี้ไม่นั่งสมาธิแล้ว เจ้ากอดข้า ห้ามปล่อย”
“ได้ ข้าจะกอดท่านทั้งชาติ” ในใจบังเกิดความอ่อนโยนดั่งวารี เขาโอบร่างอันอ่อนนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกของนางเซียนไว้ในอ้อมกอดแน่นจนแทบจะบดเบียดเข้าไปในร่าง สวรรค์ลงโทษนางเซียน?! ข้าจะลงโทษโจรเฒ่าสวรรค์!
อยู่ห่างจากอ๋องขวาทูเจวี๋ยแค่ยี่สิบกว่าจั้ง ค้างคืนด้วยความอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ไปคืนหนึ่ง เช้าวันต่อมาก็มีมาสายสืบกลับมารายงาน
ฟ้าเพิ่งสว่าง ถูสั่วจั่วกับเจ้าคังหนิงก็จากไปแล้ว รอยกีบเท้าม้าลึกซึ่งอยู่บริเวณน้ำตื้นริมทะเลสาบที่พวกมันพักค้างแรมมุ่งตรงออกไปยังสถานที่อันห่างไกล ครานี้หลินหว่านหรงถึงวางใจได้เสียที
เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อไปจากทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์ ทุ่งหญ้าแผ่ขยายกว้างไกลเขียวขจีมากขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งผืนพรมซึ่งเชื่อมต่อจนถึงขอบฟ้าผืนหนึ่ง บางทีอาจเพราะทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่งแสนซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่กำลังจะออกเดินทางไปรบที่เฮ่อหลานซาน คนเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้าจึงมีน้อยยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกระโจมสีขาวแล้ว
“นี่ชาวทูเจวี๋ยเกณฑ์ทหารกันแล้วขอรับ” หูปู้กุยชี้หญ้าที่อยู่ใต้เท้า บอกกล่าวหลินหว่านหรง นั่นคือร่องรอยที่เคยตั้งกระโจมเรียงราย ไม่นานก่อนหน้านี้ บริเวณนี้น่าจะเป็นดินแดนชาวทูเจวี๋ยที่เคยอยู่อาศัยแห่งหนึ่ง ส่วนการหายสาบสูญของพวกมันในตอนนี้ย่อมเป็นผลมาจากการเกณฑ์ทหารของลู่ตงจ้าน
หลินหว่านหรงผงกศีรษะส่งเสียงอืม เมื่อดูจากสถานการณ์แต่ละด้าน เฮ่อหลานซานทางนั้นน่าจะมีความเคลื่อนไหวแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นต้าหัวที่ได้เปรียบอีกด้วย มิเช่นนั้นลู่ตงจ้านไม่มีทางรีบร้อนเรียกระดมพลทหารม้าจำนวนหนึ่งแสนที่เค่อจือเอ่อร์แน่ เพียงแต่น่าเสียดาย พวกเขาอยู่ใจกลางท้องทุ่งหญ้า ไม่รู้ว่าสวีจื่อฉิงทางนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“พี่หู พวกของเสี่ยวสวี่มีข่าวบ้างหรือไม่?” หลินหว่านหรงขยี้ตา ถามด้วยความง่วงงุน เมื่อคืนตระกองกอดนางเซียนเข้านอน แม้จะจะภาพอันงดงามน่าลุ่มหลงถึงกระนั้นกลับมีความในใจและความกังวลมากมาย ไม่อาจข่มตาหลับสนิทได้เลย
สวี่เจิ้นกับหน่วยลาดตระเวนทั้งสองออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ก่อนจะได้รับรายงานจากพวกเขา ย่อมไม่มีวันเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่ามแน่นอน นี่นคือมติร่วมกันที่มีตั้งแต่แรกของทุกคน วันนี้เพิ่งเดินทางได้ห้าสิบกว่าลี้ เมื่อมาอยู่กับทหารม้าซึ่งเดินทางรวดเร็วปานสายลมเหล่านี้แล้วก็แทบเป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้ แม้จะเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็อยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์แค่สองร้อยกว่าลี้ ชนเผ่านอกด่านได้กลิ่นทหารม้าต้าหัวได้ทุกเมื่อ อันตรายคอยคืบคลานมาทีละก้าวเช่นกัน
“ยังไม่มีข่าวขอรับ” หูปู้กุยส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญา จำนวนคนแค่ไม่กี่สิบคน สืบหาร่องรอยของทัพใหญ่หนึ่งแสนในรังของชาวทูเจวี๋ย ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนการร่ายรำอยู่บนปลายดาบ
หลินหว่านหรงย่ำก้าวอย่างแช่มช้าไปหลายก้าว ในช่วงเวาที่ทำอะไรไม่ได้เช่นนี้สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือความอดทน ความร้อนรนกระวนกระวายอันใดก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ขอเพียงทัพใหญ่ของลู่ตงจ้านออกเดินทางไปห้าร้อยลี้ ทหารม้าห้าพันของเขาก็จะกระโดดโลดเต้นอยู่ในใจกลางดินแดนของชนเผ่านอกด่านได้แล้ว
ทหารม้านายหนึ่งควบห้อตะบึงมาถึง กระซิบกระซาบข้างใบหูของหูปู้กุยเบาๆ อยู่หลายประโยค เหล่าหูผงกศีรษะ “ท่านแม่ทัพ การแข่งขันชิงแพะที่ท่านต้องการให้ข้าสืบมีข่าวแล้วขอรับ”
“อ้อ?!” หลินหว่านหรงรับเรียบๆ คราหนึ่ง เมื่อคืนสนทนากับนางเซียน ทำให้ใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เป็นอริต่องานแข่งขันชิงแพะนี้อย่างน่าประหลาด กลับเป็นเกาฉิวที่บังเกิดความคึกคักอักโขขึ้นมาทันที “เหล่าหู ว่ามาเร็ว ว่ามาเร็ว ชิงอย่างไร?!”
หูปู้กุยหัวเราะแล้วตอบว่า “งานแข่งขันชิงแพะในปีนีจะจัดขึ้นที่นอกเมืองเค่อจือเอ่อร์อีกสามวันให้หลัง ทุกคนบนทุ่งหญ้าต่างรู้กันทั่ว ดินแดนของชนเผ่านอกด่านแต่ละแห่งต่างส่งผู้กล้าที่เก่งกล้าสามารถมากที่สุด รวมทั้งสาวน้อยผู้งดงามมากที่สุดอีกด้วย กำลังเดินทางอย่างหามรุ่งหามค่ำรีบรุดมายังเค่อจือเอ่อร์ ถึงเวลาก็จะมีอะไรดีๆ ให้ดูแล้วล่ะ”
“ผู้กล้าที่เก่งกล้าสามารถมากที่สุด?” เกาฉิวเบิกตากว้าง ถามด้วยความไม่เข้าใจ “ตอนนี้คนจำนวนหลายแสนของพวกมันกำลังรบกับพวกเราที่แนวหน้า แล้วยังมีผู้กล้าที่เก่งกล้าสามารถมากที่สุดมาจากที่ใดกันอีก?”
เหล่าหูตบบ่าเกาฉิว ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “น้องเกา นี่เจ้าเข้าใจผิดแล้ว การแข่งขันชิงแพะของชาวทูเจวี๋ยหาใช่การประลองยุทธ์เลือกคู่ที่แสนจะเรียบง่ายเช่นนั้น มันเป็นงานที่ใช้แย่งชิงเกียรติยศ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนน้อยใหญ่ของทูเจวี๋ยเช่นกัน สำหรับแต่ละดินแดน การแข่งขันชิงแพะนี้ยังสำคัญยิ่งกว่าการรบที่แนวหน้าเสียด้วยซ้ำ”
อ้อ? เหล่าหูกล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เกาฉิวที่ฉงนสงสัย แม้แต่หลินหว่านหรงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
“แต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่านมีขนาดแตกต่างกัน เพื่อการขยับขยายและความอยู่รอด พวกมันจำเป็นต้องหยิบยืมวิธีวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์ การเชื่อมดินแดนเพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่ง หากบอกว่าการรบคือสัญลักษณ์ของแคว้นทูเจวี๋ย งานแข่งขันชิงแพะนี้ก็คือสัญลักษณ์ของกำลังที่แท้จริงของแต่ละดินแดน ดินแดนที่ได้รับชัยชนะในงานแข่งขันชิงแพะ ดินแดนเล็กๆ แต่ละแห่งจะต้องเข้าหา แย่งชิงวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์ ทำให้ดินแดนนั้นขยายใหญ่แต่เพียงตระกูลเดียว ดินแดนทั้งสองตระกูลของถูสั่วจั่วกับปาเต๋อหลู่ต่างขยับขยายและแข็งแกร่งเช่นนี้ พูดได้ว่าชนเผ่านอกด่านที่รบอยู่แนวหน้ายังอนุญาตให้มีคนปัญญาทึบโผล่มาไม่กี่คนได้บ้าง แต่ผู้กล้าที่เข้าร่วมการแข่งขันชิงแพะกลับไม่อาจมีพวกอ่อนแอตาขาวได้ เพราะพวกมันไม่เพียงจะสู้รบเพื่อเกียรติยศของดินแดน แต่ยิ่งเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของดินแดนตนอีกด้วย ลองคิดดูก็ได้ น้องเกา หากเจ้าเป็นผู้นำดินแดน เจ้าจะส่งผู้กล้าที่ร้ายกาจที่สุดไปที่ใดกันล่ะ?”
“ย่อมต้องชิงแพะ” เหล่าเกาตอบโดยไม่ต้องคิด “แนวหน้ารบพ่ายแพ้ นั่นคือความรับผิดชอบของทุกคน พอไกล่เกลี่ยกล้อมแกล้มให้ผ่านไปได้ แต่หากดินแดนพ่ายแพ้ นั่นคือความรับผิดชอบของข้า แนวหน้ามีผู้กล้ามากขนาดนั้น ไม่มีทางขาดคนอย่างข้าไปสักคนสองคนหรอก”
หูปู้กุยหัวเราะพลางผงกศีรษะ “ก็คือหลักการนี้นี่ล่ะ เช่นเดียวกัน สาวน้อยชนเผ่านอกด่านที่ส่งออกไปเลือกเขยขวัญ ก็เป็นสตรีที่งดงามมากที่สุดในตระกูลเช่นกัน เพราะพวกนางแบกรับภาระหนักในการในการวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์กับดินแดนใหญ่ สาวงามยิ่งงดงาม ผู้กล้ายิ่งกล้าหาญ แต่ละปีล้วนมีหลายดินแดนที่ลงมือลงไม้ขั้นรุนแรงเพราะเหตุนี้ ดังนั้นน้องเกาไม่ต้องห่วงว่าการแข่งขันชิงแพะจะไม่สนุกสนาน เกรงว่าพอถึงเวลาเจ้าจะดูเสียจนตาลายมากกว่า”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ หลินหว่านหรงกระจ่างแจ้งในทันที นี่ก็คืองานสังคมงานหนึ่งนั่นเอง
ขณะที่กำลังสนทนา ทันใดนั้น ณ สถานที่อันห่างไกลก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังแจ่มชัดแว่วเข้ามา เกาฉิวเหล่มองอยู่หลายครั้ง กล่าวด้วยความยินดีออกมาว่า “ข้างหน้ามีข่าวแล้ว คราวนี้ดีเลย ในที่สุดพวกเราก็จะได้บุกเข่นฆ่าเข้าราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้ว”