ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 588 - 2 ไม่มีทางแพ้แก่เจ้า
อวี้เจียถูกเชือกมัดแน่นทั้งร่าง เสื้อคลุมหลวมกว้างยับย่นไปทุกหนแห่ง จมลึกเข้าไปในเนื้อ แขนขาวกระจ่างใสเกิดรอยเลือดเป็นริ้วๆ ริมฝีปากขาวซีดปริแตกปราศจากสีเลือด ดวงหน้าอันงดงามซีดราวกระดาษ นอนล้มอยู่บนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เรือนร่างอันงดงามยวนเย้าราวกับกิ่งไม้ที่สูญเสียพลังชีวิต พร้อมจะแห้งเ**่ยวโรยราไปได้ทุกเมื่อ
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?!” หลินหว่านหรงตกใจยกใหญ่ ถึงแม้จะอยู่ในทะเลแห่งความตายซึ่งมีสภาพแวดล้อมอันยากลำบากมากที่สุด สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ก็ยังดูมีชีวิตชีวา งดงามน่าลุ่มหลงดังเดิม ทุกการกระทำการยิ้มแย้มต่างเหมือนดวงจันทร์อันงดงามบนท้องนภา เห็นๆ อยู่ว่าเห็นต้นไม้น้อยสีเขียวมรกตงดงามต้นหนึ่ง แล้วเหตุใดภายในช่วงเวลาอันสั้นกลับกลายสภาพเป็นโรยราเช่นนี้ได้?!
“ผู้ใดมัดนางจนมีสารรูปเช่นนี้?” หลินหว่านหรงสีหน้าปราศจากความรู้สึก หน้าคล้ำราวกับถ่าน
หูปู้กุยอึกอักอยู่หลายครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงพูดออกมาเบาๆ “ท่านแม่ทัพ นี่เหมือนว่าเมื่อคืนท่านจะเป็นคนมัดด้วยตนเองนะขอรับ ท่านยังพูดอีกว่าหากปราศจากคำสั่งของท่าน ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามปลดเชือกให้นางอีกด้วย!”
เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง หลินหว่านหรงลูบคลำจมูก เมื่อวานเดือดดาลมากเกินไป ไม่สนใจว่าอวี้เจียผู้นี้เป็นสตรี เขาลงมือโดยไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย มัดเชือกนั้นอย่างแน่นหนา สองมือสองแขนไพล่อยู่ด้านหลัง ต่างจมเข้าไปในเนื้อ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ คงสภาพอยู่ท่าเดียวเป็นระยะเวลานาน เลือดลมหมุนเวียนไม่สะดวก ทั้งยังเดินทางไกลอีก อย่าว่าแต่อวี้เจียเลย ต่อให้เป็นบุรุษที่มีร่างกายแข็งแรง ก็เกรงว่าคงทนได้ไม่นาน ยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งเดินทางออกมาจากทะเลทรายและภูเขาหิมะ ร่างกายอวี้เจียเดิมทีก็อ่อนแอย่ำแย่อยู่แล้ว เมื่อถูกทรมานเช่นนี้หลายครั้ง ต่อให้เป็นต้นไม้น้อยที่มีพลังชีวิตมากเพียงใดก็ต้องโรยราอย่างเงียบงันเช่นกัน
ความกังวลของพวกเหล่าหูสองคนไม่ใช่จะไร้เหตุผล ดูจากสภาพของอวี้เจีย เกรงว่าไม่พ้นสามวัน สาวน้อยคนนี้ก็ต้องแหลกสายไปแล้วจริงๆ
“ท่านแม่ทัพ ต้องปลดเชือกให้นางหรือไม่ขอรับ” หูปู้กุยถามด้วยความระมัดระวัง
“ไม่ต้องแล้ว!” หลินหว่านหรงโบกมือ แค่นเสียงด้วยความหงุดหงิดโมโห “มาใช้แผนการเจ้าเล่ห์เพทุบายต่อหน้าข้า นี่คือสิ่งที่นางสมควรจะได้รับ!”
หูปู้กุยไม่กล้าเอ่ยวาจา เหล่าเกาส่งสายตาให้เขา ทั้งสองจึงถอยออกไป
อวี้เจียนอนสงบนิ่งบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อน สองตาหลับสนิท ขนตาเรียวยาวประหนึ่งกิ่งหลิวอันอ่อนนุ่ม ริมฝีปากขาวซีดปริแตกปราศจากสีเลือด สิ่งที่สวมอยู่บนร่างนางคือเสื้อคลุมตัวยาวอันแสนจะอบอุ่นที่เฉี่ยวเฉี่ยวทำขึ้นด้วยตนเอง กลับมีหลายจุดที่ขาดแล้ว เผยให้เห็นผิวพรรณที่ขาวกระจ่างใสประดุจหยก
เมื่อยืนอยู่ข้างกายสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้กลับสัมผัสลมหายใจแห่งชีวิตไม่ได้แม้แต่น้อย เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งเมื่อวานยังคงมีชีวิตชีวา ยามนี้เหมือนกลายเป็นก้อนหินอันเย็นเฉียบก้อนหนึ่ง ปราศจากความอบอุ่นแม้แต่น้อย
ทะเลแห่งความตาย การถล่มบนเทียนซาน ความทรงจำทั้งมวลปรากฏอยู่เบื้องหน้าทีละฉาก ทีละฉากอีกครั้งราวกับภาพยนตร์ หลินหว่านหรงขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าหนักอึ้ง ผ่านไปเนิ่นนานไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาได้
“หรือว่าท่านแม่ทัพหลินจะหมดหนทาง?” เหล่าหูกับเกาฉิวสองคนหลบอยู่ไกลๆ ซุ่มแอบมองอยู่ในพงหญ้า ครั้นเห็นหลินหว่านหรงเงียบงันไม่พูดไม่จา หูปู้กุยเองก็ตกใจ “นี่จะทำเช่นไร อวี้เจียตายตอนนี้ไม่ได้นะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอให้พวกเราโจมตีเค่อจือเอ่อร์ได้เสียก่อนสิ!”
เกาฉิวหัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “เจ้าเก็บความคิดกลับไปเถอะ ฝีมือของน้องหลินเจ้ารู้เท่าไหร่กัน? เขาเคยพลาดด้วยหรือ อย่าเห็นว่าเขาไม่พูด แต่สายตานั้นยังร้ายกาจกว่าถ้อยคำหวานนับหมื่นเสียอีก เหล่าหู เจ้าค่อยๆ เรียนรู้ไปเถอะนะ”
ร้ายกาจขนาดนี้จริงหรือ? หูปู้กุยแลบลิ้นด้วยความตกใจ
ไม่รู้ว่าเงียบงันไปนานเท่าใด หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน ค่อยๆ เอื้อมมือออกไป คลำไปที่หว่างเอวอวี้เจีย
“ทำอะไรน่ะ!” เสียงดังสวบสาบทำให้อวี้เจียที่กำลังหลับสนิทตกใจตื่น นางร้องด้วยท่าทางอ่อนแรงไร้กำลังคราหนึ่ง รีบลืมตาขึ้นมา กลับเห็นใบหน้าหลินหว่านหรงอยู่ตรงหน้า
“เหตุใดถึงเป็นเจ้า!” นางเหม่อลอย สายตาคมกริบขึ้นมา
“ดื่มน้ำเถอะ” หลินหว่านหรงหัวเราะ หยิบถุงน้ำที่อยู่บริเวณเอวนางมาแล้วส่งไปที่ปากนาง
สาวน้อยทูเจวี๋ยเบือนหน้าไปอย่างดื้อดึง “ไม่ดื่ม! เจ้ามาทำอะไร?!”
ถุงน้ำนี้เดิมทีถูกสะเก็ดหินที่ปลิวมากรีดจนเป็นรู อวี้เจียกลับไม่รู้ว่าหาด้ายหยาบมาจากที่ใด เย็บรูนั้นอย่างแน่นหนา ฝีเข็มเป็นระเบียบเรียบร้อย เพียงแต่ด้วยความรีบร้อนหาด้ายหยาบๆ มา สีจึงไม่เข้ากับตัวถุงน้ำ เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนเอาอะไรมาปะอยู่ข้างบน
“ได้ยินว่าเจ้าอดอาหาร?!” หลินหว่านหรงไม่ตอบนาง แต่กลับย้อนถาม
อวี้เจียแค่นเสียงอย่างเย็นชา “นี่ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ามาทำอะไร?!”
หลินหว่านหรงถอนหายใจดังเฮ้อ หัวเราะพร้อมพูดว่า “อันที่จริงข้ามาหลอกเจ้า!”
เจ้าคนนี้เกิดมาถ้าไม่พูดจาให้ตกใจก็ไม่ยอมเลิกรา ต่อให้เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้มีความรู้ความสามารถ เมื่อได้ยินก็ยังต้องตกใจ “หลอกข้า? หลอกอะไรข้า?!” ด้วยความร้อนใจของนาง แม้แต่ความเย็นชาก่อนหน้านี้ก็สิ้นไป
“พวกพี่น้องของข้าบอกว่าเจ้าอดอาหาร พวกเขาต่างเป็นห่วงเจ้ามาก รู้ดีว่าเจ้าจะฟังข้า ดังนั้นพวกเขาจึงให้ข้ามาหลอกให้เจ้าดีใจ พูดจาน่าฟังสักหลายประโยค ให้เจ้าดื่มน้ำสักหลายอึก กินอาหารแห้งให้มากสักหน่อย ก็แค่นี้เท่านั้น หวังว่าเจ้าจะไม่ว่าพวกเขา อันที่จริงทุกคนต่างมีเจตนาดี” หลินหว่านหรงแบมือพลางยิ้มแย้ม ดูท่าทางจริงใจมาก
“พูดเหลวไหล!” อวี้เจียพูดกัดฟันกรอดด้วยโทสะ “ใครจะฟังเจ้ากัน?”
หลินหว่านหรงหัวเราะพลางส่ายหน้า “เจ้าไม่ฟังข้า? ดูท่าว่าพวกเขาคงคิดผิดไปแล้ว อันที่จริงก็โทษพี่น้องเหล่านี้ไม่ได้ น่าจะเพราะตลอดทางที่ผ่านมา เรื่องที่เจ้ากระทำทั้งหมดคงทำให้พวกเขาเข้าใจผิดกระมัง ไม่ขอปิดบังเจ้า แม้แต่ข้าก็ยังเกือบเข้าใจผิดเลย!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยสีหน้าเย็นชา “อย่างนั้นหรือ แม้แต่เจ้าก็เข้าใจผิด?! อัวเหล่ากง หรือเจ้าไม่รู้สึกว่าการพูดโกหกเป็นเรื่องไร้ยางอายอย่างหนึ่งหรือ?”
“เอาเถอะ ข้ายอมรับว่าไร้ยางอายมากจริงๆ!” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “เพียงแต่คนใต้หล้าต่างรู้จุดเด่นของข้านี้ เชื่อว่าคุณหนูอวี้เจียก็เคยได้ยินเช่นกัน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องประหลาดใจเช่นนี้หรอก…อ้อ เจ้าดื่มน้ำหรือไม่?! ข้ารู้สึกกระหายน้ำบ้างแล้ว”
เขาแกว่งถุงน้ำใส่อวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยกัดฟันกรอดไม่เอ่ยวาจา หลินหว่านหรงไม่เกรงใจเช่นกัน วางถุงน้ำไว้ที่ริมฝีปาก ดื่มอึกๆ คำใหญ่หลายคำ ดื่มน้ำสะอาดที่อยู่ในนั้นไปครึ่งหนึ่ง
เหตุใดเจ้าคนนี้ถึงไม่มีความหนักแน่นเลยนะ? อวี้เจียมองอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี
หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจยาวด้วยความพึงพอใจหลายครั้ง พูดโดยยังรู้สึกไม่อิ่มเอม “คุณหนูอวี้เจีย อันที่จริงมีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากถามเจ้ามาโดยตลอด เจ้าไม่ต้องตอบก็ได้ แต่หากเจ้าเลือกตอบ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ไร้ยางอายเช่นข้านี้ ได้หรือไม่”
ดวงตาของเขาแฝงรอยยิ้ม พูดอย่างมีเลศนัย เยวี่ยหยาเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเขาจะถามอะไรเช่นกัน เพียงแต่หัวข้อที่เจ้าโจรคนนี้จะพูดดูลึกลับยิ่งนัก ทำให้นางหาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้ นางครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นถึงผงกศีรษะเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงอืมคราหนึ่ง
“คุณหนูอวี้เจีย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยได้ยินชื่อข้าใช่หรือไม่?! อ้อ ความหมายของข้าก็คือก่อนที่ข้าจะมาถึงเฮ่อหลานซาน” หลินหว่านหรงจ้องนางพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ
อวี้เจียดวงตากระจ่างวูบ กล่าวอย่างดูแคลนออกมา “อัวเหล่ากง? ชื่ออะไรก็ไม่รู้ ชื่อกระจอกอันไร้นามชื่อหนึ่งเท่านั้น แล้วก่อนหน้านี้ข้าจะเคยได้ยินได้อย่างไร”
“อ้อ พูดเช่นนี้คือเคยได้ยินชื่ออื่นของข้าใช่หรือไม่?! เข้าใจๆ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ กล่าวพร้อมหัวเราะร่า
เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถลึงตามองเขาอย่างเดือดดาล “เจ้าเข้าใจอะไร?!”
“ข้าเข้าใจว่าเจ้าเข้าใจข้า!” หลินหว่านหรงหัวเราะ กล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า
เขาพูดเหมือนการเล่นประโยคลิ้นพันอย่างนั้น อวี้เจียนิ่งงัน ก้มหน้าลงไปโดยไม่รู้ตัว
“คุณหนูอวี้เจีย เจ้าสนิทกับหลู่ตงจ้านมากหรือไม่?!”
สาวน้อยทูเจวี๋ยผงกศีรษะเล็กน้อย “นั่นแล้วจะทำไม?!”
หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ที่จริงก็ไม่ทำไม ข้าแค่อยากรู้ว่าพวกเจ้าเริ่มสนใจข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เตรียมตัวจัดการข้าตั้งแต่เมื่อไหร่?!”
“จะ…เจ้าพูดอะไร?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถามด้วยความตกใจ
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “คุณหนูอวี้เจีย หรือเจ้าไม่รู้สึกว่าการพูดโกหกเป็นเรื่องไร้ยางอายอย่างหนึ่ง?!”
นี่คือสิ่งที่อวี้เจียพูดกับเข้าเมื่อครู่ แต่กลับถูกเขาย้อนกลับกลับมาได้ สาวน้อยทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด “เรื่องที่เจ้าพูดเหล่านี้ ข้าฟังไม่เข้าใจ”
“มองตาข้า!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ มุมปากประดับรอยยิ้มเย็นชา กลับมีบารมีที่ไม่อาจขัดขืนได้
เยวี่ยหยาเอ๋อร์กวาดตามองเขาคราหนึ่ง เมื่อเห็นความเย็นชาและความดูแคลนภายในดวงตาของเขา นางจึงก้มหน้าลงไปอย่างเงียบงัน แค่นเสียงแล้วพูดว่า “มีอะไรน่าดูกัน…หางตาก็เช็ดไม่แห้ง!”
“อย่าเบี่ยงประเด็น!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีดุร้าย ถึงกระนั้นกลับอดยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหลายครั้งไม่ได้ “คุณหนูอวี้เจีย ดูท่าเจ้าจะสู้ข้าไม่ได้นะ ข้าไร้ยางอาย ข้ายอมรับต่อหน้าผู้คนในแผ่นดินได้ แต่เจ้าล่ะ?”
“ข้าทำไม?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา ใบหน้าปรากฏโทสะบางๆ
หลินหว่านหรงเอ่ยอย่างเย็นชา “จะต้องให้ข้าพูดให้ชัดเจนหรือ?! คุณหนูอวี้เจีย เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าไม่เคยพบข้าที่เมืองซิงชิ่งหรือ…เงยหน้าขึ้นมา มองตาข้า!”
“ตาขาว ข้าไม่ดูหรอก!” อวี้เจียก้มหน้าลงด้วยความหงุดหงิดโมโห กลับปฏิเสธที่จะตอบคำถามเขา
หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ออกมายาวๆ หยุดหัวเราะทันที กล่าวด้วยเพลิงโทสะอันพวยพุ่ง “เจ้าไม่มองก็ไม่เป็นไร วันนั้นที่เมืองซิงชิ่ง ผู้ใดที่ลอบสังหารคนแซ่หลินเช่นข้ากับท่านจอมทัพหลี่ ข้ารู้แจ้งแก่ใจดี ผู้ใดปรากฏตัวที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่ออย่างประจวบเหมาะ ผู้ใดที่จู่ๆ ก็โผล่มาตอนที่ข้ากำลังต้องการหมออยู่พอดี ผู้ใดที่ถูกข้าจับอย่างง่ายดายเช่นนั้น ผู้ใดที่วางแผนชั่วร้ายต่อเนื่องเป็นชุดโดยพุ่งเป้ามาที่นิสัยของข้า ผู้ใดที่แสดงละครต่อหน้าข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ใดที่ชอบการละเล่นเป็นผู้สยบและถูกสยบ เรื่องราวต่อเนื่องเป็นชุด ที่จริงแล้วมัดด้วยเชือกเพียงเส้นเดียวอย่างแน่นหนา มีคนชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมด…คุณหนูอวี้เจีย เขาเดาถูกหรือไม่?!”
เขาหัวเราะอย่างเดือดดาล มุมปากยิ้มหยัน เย็นเยียบประหนึ่งหิมะน้ำแข็งบนเทียนซาน