ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 588 - 3 ไม่มีทางแพ้แก่เจ้า
อวี้เจียมองเขาอย่างเหม่อลอย ตกตะลึงพรึงเพริด เจ็บปวดเคียดแค้น หงุดหงิดโมโห ถึงกระนั้นกลับเผยความตื่นเต้นยินดีบางๆ ออกมาเล็กน้อย ภายในดวงตาสีฟ้าลุ่มลึกของนางปรากฏแววตาสารพัดสารพัน สับสนซับซ้อนอย่างหาที่เปรียบมิได้
“เจ้าเลือกไม่ตอบก็ได้” หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ข้าจะไม่บังคับเจ้าเช่นกัน อย่างไรเสียบางเวลา บางเรื่องราวก็ไม่ใช่เรื่องเท็จ เพียงแต่การละเล่นอดอาหารเช่นนี้ เจ้าอย่าเล่นเลยก็แล้วกันนะ ข้ากลัวว่าเจ้าจะทนไม่ไหวจริงๆ”
“พรืด” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นกลับเอ่ยปากหัวเราะอย่างแปลกประหลาด งดงามยวนเย้าดั่งบุปผา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอดอาหารก็เป็นเรื่องเท็จ?!”
“จริงได้หรือ?” หลินหว่านหรงหงุดหงิดแล้ว โยนถุงน้ำนั้นไปเบื้องหน้านาง “รอยริมฝีปากสีแดงสดมาอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ อย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม! ข้าสงสัยนะว่าเจ้าไม่ต้องใช้มือก็ดื่มน้ำได้ด้วย? หรือเจ้าจะเป็นเทพเซียน?”
“ข้าไม่ใช่เทพเซียน” อวี้เจียกล่าวระคนยิ้ม ริมฝีปากน้อยงับจุกถุงน้ำเบื้องหน้า เพียงสองสามทีก็บิดออก น้ำทะเลเสาบกระจ่างใสค่อยๆ ไหลออกมา “พวกเราชาวทูเจวี๋ยเติบโตบนหลังม้า แม้สองมือสองเท้าจะถูกมัดไว้ก็ยังมีวิธีการอื่นอีก ข้ามีปาก ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง!”
ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง?! หลินหว่านหรงร้องอาอ้าปากกว้าง หรือว่านังหนูนี่กำลังคิดจะยั่วข้า?
เยวี่ยหยาเอ๋อร์พลันถอนหายใจยาว สีหน้าหดหู่เล็กน้อย “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ เจ้ารู้ว่าข้าหลอกเจ้าได้อย่างไร?”
“เรื่องนี้ พูดไปแล้วก็ไม่มีค่าอะไร” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “เพราะนิสัยข้าค่อนข้างตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียเปรียบ ทุกครั้งข้าจะเพิ่มความคิดระแวดระวัง ป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกผู้อื่นหลอกเอาได้”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้เจียผงกศีรษะ “เจ้าหลอกคนมามาก ดังนั้นตนเองจึงสร้างความตื่นตัว เผชิญเรื่องราวใดก็ต้องระวังการถูกหลอกเอาไว้ก่อน ข้าถือว่าเป็นเจ้าเล่ห์น้อยพบมิจฉาชีพตัวใหญ่ ถือว่าสมน้ำหน้าแล้ว”
เจ้าเล่ห์น้อยพบมิจฉาชีพตัวใหญ่อะไรกัน ต้องพูดตรงขนาดนั้นเพื่ออะไร? หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา “ส่วนเรื่องที่จับพิรุธเจ้าได้ นอกจากที่พูดไปก่อนหน้านั้น อีกทั้งเจ้าแสดงออกร้อนใจเกินไป ต้องรู้ว่าข้าคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็มีชื่อเสียงเรื่องแข้งแข็งตรงไปตรงมา ไม่ถูกล่อลวง แล้วข้าจะติดกับเจ้าง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
อวี้เจียหน้าแดงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ “ผู้อื่นต่างพูดกันว่าเจ้าเหลาะแหละต่ำช้า ละโมโลภมากบ้ากาม ไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่พวกเขาล้วนผิดไปแล้ว พวกเขาเห็นแค่เปลือกนอก ก็อย่างเช่นเรื่องของข้า เจ้าพินิจอย่างถ้วนถี่ ใช้ใจพิจารณา จะมีสักกี่คนที่มีสายตาเช่นเจ้านี้ สิ่งที่มีทั้งหมดในปัจจุบัน ไม่ใช่ใช้แค่หนังหน้าของเจ้า ยิ่งต้องใช้สติปัญญาของเจ้าแลกมา ลู่ตงจ้านพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย หลินซาน เจ้าเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่งจริงๆ อวี้เจียนับถือเจ้ามาก”
เยวี่ยหยาเอ๋อร์สีหน้าอ่อนลง และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เรียกนามอันสร้างชื่อให้หลินหว่านหรงในต้าหัว เพียงแต่เมื่อได้ยินอยู่ในหูของอัวเหล่ากง เหตุใดกลับรู้สึกไม่ดี ใจแอบรู้สึกหดหู่อย่างน่าประหลาด
“พวกเราต่างก็เหมือนกันกระมัง” หลินหว่านหรงประสานมือคารวะ กล่าวพลางหัวเราะร่า “เมื่อจ้องมองยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก เจ้าเองยังกล้าคิดเพ้อฝันที่จะสยบเช่นกัน คุณหนูอวี้เจีย จิตใจและความมุ่งมั่นของเจ้า ข้านับถืออย่างล้นเหลือจริงๆ แน่นอนว่าทักษะการแสดงของเจ้าก็ดีกว่าที่ข้าคาดไว้มากนัก หลายครั้งที่ข้านึกว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง”
เจ้าคนนี้หนังหน้าช่างหนาไม่ธรรมดาเสียจริง อวี้เจียผงกศีรษะเล็กน้อย “เจ้าก็เยี่ยมมากเช่นกัน ทุกครั้งที่เจอก็หักล้าง เห็นๆ อยู่ว่าทุกสิ่งคือเรื่องเท็จ แต่มักทำให้คนรู้สึกว่านั่นคือเรื่องจริง หลินซาน เจ้าทำกับสตรีเยี่ยงนี้ทุกครั้งใช่หรือไม่? มิน่าที่ต้าหัวถึงหลอกลวงสตรีได้มากมายขนาดนั้น อีกทั้งแต่ละคนต่างมอบใจให้เจ้าอย่างเต็มที่ เจ้าเก่งมากจริงๆ แม้แต่ความจอมปลอมก็ยังจริงใจ!”
แค่กๆ อย่าพูดเหลวไหล พี่สาวนางเซียนยังฟังอยู่ด้านข้างนะ หลินหว่านหรงหัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วนใจ แม้ทั้งสองคนจะไม่หลอกลวงเอาใจซึ่งกันและกันแล้ว แต่การประชันฝีปากกลับแหลมคมยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก
เยวี่ยหยาเอ๋อร์เงียบงันอยู่นาน ทันใดนั้นก็ถอนหายใจเสียงอ่อนออกมาคราหนึ่ง “หลินซาน เจ้าจะซื่อสัตย์สักครั้งได้หรือไม่ เจ้าโปรดบอกข้ามา อวี้เจียยังมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน?!”
“หา?!” หลินหว่านหรงร้องด้วยความตกใจ รีบกะพริบตาแล้วพูดว่า “ชีวิตอะไร เจ้าพูดอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ”
สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “ข้าไม่หลอกเจ้าแล้ว เหตุใดเจ้ายังมาหลอกข้าอีก? เจ้าลืมแล้วหรือว่าข้าเป็นหมอ นับตั้งแต่เจ้าชักนำสตรีงามยวนเย้าดั่งจิ้งจอกผู้นั้นเข้ามา ลอบลงมือกับข้า ข้าก็รู้แล้ว”
สตรีซึ่งเหมือนนางจิ้งจอกที่นางพูดย่อมเป็นพี่สาวอันแล้ว ที่แท้อวี้เจียก็รู้ทุกอย่าง มีแต่ข้าที่ยังปิดบัง แผนการและสติปัญญาของผู้หญิงคนนี้ช่างล้ำลึกยากหยั่งถึงเสียจริง
“เจ้าพูดถึงเรื่องนี้เองหรือ ข้าก็ไม่ค่อยรู้นะ” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “พี่สาวอันลงมือ ข้าไม่เคยสอดมือมาก่อน ใช่แล้วล่ะ เจ้าเป็นหมอเทวดาที่ข้านับถือมาก น่าจะรักษาเจ้านี่หายกระมัง”
สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งไม่ผงกศีรษะและไม่ส่ายหน้า เหล่มองเขาหลายครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ คราหนึ่ง “เห็น ๆ อยู่ว่ารู้ทุกอย่าง แต่กลับเสแสร้งว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น เจ้าคนนี้ ไร้ยางอายจนถึงขีดสุดจริงๆ ด้วย เจ้าถามข้าว่ารักษาได้หรือไม่ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าก่อน ข้ารักษาหายหรือไม่หาย เจ้าชอบผลลัพธ์ใดมากกว่ากัน?!”
คำถามยากขนาดนี้ แล้วจะให้ข้าตอบอย่างไรกันเล่า หลินหว่านหรงอ้าปากส่งเสียงอาอา ถึงกระนั้นกลับพูดอะไรไม่ออก
“ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจเช่นกัน” อวี้เจียคลี่ยิ้ม “ผ่านเรื่องครั้งนี้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจ ลู่ตงจ้านกล่าวไว้ไม่ผิด ในบรรดานิสัยของเจ้า จุดเด่นกับจุดด้อยมากพอกัน แต่เจ้ากลับจริงใจกว่าทุกคน หากต้าหัวมีแต่คนเช่นเจ้า พวกเราก็ไม่ต้องรบกับพวกเจ้าแล้วล่ะ”
ต้าหัวมีแต่คนแบบข้า? นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน จะไปหาสาวสวยแบ่งพวกมันมากขนาดนั้นได้จากที่ไหน ได้สนทนากับอวี้เจียที่จริงใจคนนี้ไปหลายประโยค ถึงรู้สึกว่าทูเจวี๋ยผู้นี้ที่แท้ก็มีด้านที่ผ่าเผยตรงไปตรงมากับเขาด้วย
อวี้เจียมองเขา ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ต้องขอบคุณเจ้ามากที่พาข้าไปเส้นทางสายไหม นี่คือช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขมากที่สุด รู้สึกแปลกใหม่มากที่สุด แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องราวตั้งมากมายเช่นนี้ แต่เจ้าทำให้ข้าเข้าใจเรื่องหนึ่ง โลกนี้มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลมากจริงๆ”
“ใช่แล้วๆ โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลมากจริงๆ ดังนั้นเจ้าไม่อาจนำสายตาไปไว้ ณ พื้นที่จำกัดบริเวณใดบริเวณหนึ่ง อย่างเช่นต้าหัว!” หลินหว่านหรงรีบโน้มน้าว
อวี้เจียสีหน้าเย็นชา “เจ้ายกทัพมาถึงเมืองแล้ว มาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าตอนนี้จะมีความหมายหรือ?!”
“ยกทัพมาถึงเมืองก็เพราะชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าบีบคั้น หรือว่าข้าไม่อยากกลับบ้านไปเล่นวิดพื้นกับเมียที่บ้านหรอกหรือ?” หลินหว่านหรงสีหน้าเย็นชาเช่นกัน
ทั้งสองคนพอสนทนา มุมมองขัดแย้งเกี่ยวกับศัตรูและชนชาติก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง นี่แทบจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจไกล่เกลี่ยกันได้
“ช่างเถอะๆ ไม่พูดเรื่องน่าเบื่อพวกนี้แล้ว ยากนักที่จะคุยอย่างเปิดเผยกับเจ้าเช่นนี้สักครั้ง” หลินหว่านหรงโบกมือ ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าเป็นหนึ่งในสตรีที่ฉลาดหลักแหลมมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา หากเจ้าไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ย พวกเราอาจเป็นสหายที่ดีต่อกันได้ ไม่ขอปิดบังเจ้าแล้ว บนโลกนี้ข้ามีเงินมาก ผู้รู้ใจมาก เมียมาก แต่สหายมีไม่มาก”
“เพราะเหตุใด? ชาวทูเจวี๋ยเป็นสหายกับเจ้าไม่ได้หรือ?! นี่เจ้าใช้เหตุผลอะไรกัน?” อวี้เจียแค่นเสียงคราหนึ่ง ความดื้อด้านบังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าถามเรื่องเหตุผลกับข้า” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ โบกมือด้วยความไม่พอใจ “เหตุผลอยู่ในมือชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้า!”
“เจ้า!” อวี้เจียถลึงตาโพลงมองเขา ความอายหงุดหงิดและโมโหระคนกัน ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่าควรเถียงเช่นไร
จะว่าไปก็แปลก พูดหัวข้อนี้กับสาวน้อยทูเจวี๋ย ใจเขากลับผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เขาหัวเราะร่าตบใบหน้าอวี้เจียสองครั้ง “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าแล้ว หลายวันนี้ข้าจะค่อนข้างยุ่ง ตัวเจ้าก็ว่าง่ายสักหน่อยเถอะ อย่าให้ข้าอุดปากเจ้าอีกเลยนะ”
“ยุ่งอะไร? ยุ่งในการโจมตีราชธานีของข้าหรือ” อวี้เจียดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบอย่างรวดเร็ว
หลินหว่านหรงประคองนางขึ้นนั่ง คลายเชือกที่แขนนอกออกไปหลายส่วน ทว่าเชือกนั้นกลับยังคงมัดอยู่ เขายิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้วจะทำไม? หรือเจ้านึกว่าข้ามาเที่ยวที่นี่หรือ? พักผ่อนให้ดีๆ เถอะ”
เขาฮัมเพลงเดินออกไปข้างนอก อวี้เจียกัดฟันกรอด ร้องเรียกเบาๆ ว่า “อัวเหล่ากง!”
“หา?” หลินหว่านหรงหันหน้ากลับมา ร้องด้วยความตกใจ
สาวน้อยทูเจวี๋ยผงกศีรษะด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เจ้ามานี่ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
หลินหว่านหรงเข้าไปใกล้เบื้องหน้านางด้วยความสงสัยเปี่ยมล้น ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากอันอบอุ่นชุ่มชื้นของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กวาดผ่านใบหน้าตนราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ มาอย่างรวดเร็ว ไปยิ่งรวดเร็ว
อวี้เจียใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด ถึงกระนั้นสีหน้ากลับแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบมิได้ “…เจ้าจำไว้ อวี้เจีย ไม่มีทางพ่ายแพ้แก่เจ้าเช่นนี้แน่!”