ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 589 - 1 ตื้นตันจนร้องไห้
ลอบโจมตี? อัวเหล่ากงลูบแก้ม ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ชั่วร้าย คราวหน้าห้ามทำเช่นนี้แล้วนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาคืน”
อวี้เจียเหลือบมองเขาเล็กน้อยหลายครั้ง ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ด้วยสถานะของพวกเราสองคน…เจ้ารู้สึกว่ายังจะมีคราวหน้าอีกหรือ?!”
นางมีสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ภายในดวงตาอันล้ำลึกดุจวารีหนักแน่นไม่หวั่นไหว ประหนึ่งทะเลสาบอันสงบนิ่ง ความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลานี้ เมื่อเทียบกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้งดงามและเต็มไปด้วยความรู้สึกกลับเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน บางทีผู้ที่อยู่ตรงหน้ายามนี้ถึงจะเป็นอวี้เจียตัวจริง
“ไม่มีคราวหน้า? นั่นย่อมดีที่สุดแล้ว!” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วนพลางผงกศีรษะ “เจ้าก็รู้ ข้าคนนี้เป็นคนที่รู้สึกหวั่นไหวอย่างง่ายดาย กลัวจริงๆ ว่าจะมีสักวันที่ไม่ระวัง ตกหลุมพรางของเจ้า ตอนนี้ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจมากแล้ว”
อวี้เจียตอบรับอืมเรียบๆ คราหนึ่ง “ข้าวางใจยิ่งกว่าเจ้า เพราะเจ้าจะไม่หลอกข้าอีกต่อไปแล้ว!”
ดูคำพูดนี้สิ ข้าเป็นคนเลวขนาดนั้นเลยหรือไง?! เขาหัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองครา โบกมืออวี้เจีย สะบัดก้นแล้วจากไป
ณ สถานที่อันห่างไกล หูปู้กุยยื่นศีรษะออกมาจากพงหญ้า เหล่มองทางนี้หลายคราอย่างระมัดระวัง “เหตุใดแม่ทัพหลินถึงไปทั้งอย่างนี้ล่ะ สรุปว่าเขาโน้มน้าวสำเร็จหรือไม่นะ?!”
“น้องหลินเคยพลาดที่ไหนกัน?” เหล่าเกาถลึงตามองเขาด้วยความไม่พอใจ “เจ้าไม่เห็นหรือ พอให้เขาไปปลอบใจด้วยตัวเอง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ตื้นตันจนร้องไห้!”
ตื้นตันจนร้องไห้?! หูปู้กุยรีบเบิกตาโพลง
ทอดสายตามองออกไปไกลๆ อวี้เจียนั่งอยู่บนพื้น สงบนิ่งเรียบเฉยสง่างาม รอยยิ้มบนใบหน้าน่าลุ่มหลงเหนือธรรมดา บางครั้งภายในดวงตาก็มีไอน้ำรางเลือน ประหนึ่งฟองสบู่ที่เปล่งประกายสีรุ้งภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง กำสรดเศร้าทว่างดงาม
“พี่สาว ท่านว่าเหตุใดคนเราถึงต้องมีใจกันด้วยนะ?!” อาทิตย์อัสดงสีแดงสดส่องกระทบทุ่งหญ้า สาดเป็นแสงสีทองไปทั่วแดนดิน นั่งอยู่บนเนินเคียงคู่กับนางเซียน จ้องมองดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ค่อยๆ ลาลับไป ณ สถานที่อันไกลโพ้น หลินหว่านหรงพลันพ่นลมหายใจยาวออกมา ยิ้มร่าพร้อมเอ่ยถาม
คำถามของโจรน้อยมักจะแปลกประหลาด เหมือนจะไม่มีคำตอบแต่ก็เหมือนมีคำตอบ แม้นางเซียนจะฉลาดปราดเปรื่องก็ไม่รู้ว่าควรตอบเขาเช่นไรดี นางทัดปอยผมที่พลิ้วตามสายลมข้างใบหูเบาๆ ส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนยิ้ม “ต้นไม้มีราก คนมีใจ นี่คือสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ เพื่อให้เจ้ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ จะมีคำว่าทำไมมากมายขนาดนั้นไปทำไม”
“ไม่ถูก” หลินหว่านหรงส่ายหน้า “ข้าว่าสวรรค์ประทานจิตวิญญาณให้ข้าก็เพื่อให้พวกเราอดทนต่อความทุกข์ทรมาน”
นางเซียนพูดตำหนิ “จะทนกับความทุกข์ทรมานได้อย่างไรเจ้าลองว่ามาสิ”
หลินหว่านหรงถอนหายใจเสียงดังเฮ้อ “เมื่อมีใจถึงมีความปีติยินดีและความกลัดกลุ้ม ชีวิตคนเราล้วนต้องผ่านความยินดีและความทุกข์กันทั้งนั้น บางครั้งหัวเราะบางครั้งร้องไห้ สุขทุกข์ระคนกัน นี่ไม่ใช่ความทรมานแล้วจะเป็นอะไรได้อีก? นับไปนับมา รวมจิตใจคนบนโลกนี้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าที่แท้ความสุขมีมากกว่า หรือว่าความทุกข์มีมากกว่ากัน!”
คำพูดของโจรน้อยช่างล้ำลึกนะ! หนิงอวี่ซีอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะพรวดออกมาทันที “ใจคนเราจะรวมกันได้อย่างไร?! ข้าว่าเจ้าจงใจทำเรื่องให้เป็นไปไม่ได้ต่างหาก เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ คิดว่าผู้อื่นฟังไม่ออกหรือ? อ้อมไปอ้อมมา ยังไม่ใช่พูดถึงอวี้เจียผู้นั้นหรอกหรือ?!”
“เปล่า ไม่เกี่ยวกับนางเลย ข้าขอสาบานด้วยคุณธรรมอันสูงส่งของข้า” หลินหว่านหรงรีบโบกมือ สาบานถ้วยถ้อยคำจริงจัง
นางเซียนส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา ชักกระบี่ออกมาเบาๆ คมกระบี่บวาววับโบกอยู่ตรงหน้าเขาหลายครา “เช็ดไอ้สิ่งสกปรกเละเทะบนหน้าให้แห้งก่อนเถอะ นี่ไม่ใช่อาศัยแค่ความสุขความทุกข์แล้วจะเกิดขึ้นมาได้นะ”
บนคมกระบี่สะท้อนเงาของเขาอย่างชัดเจน บนใบหน้าดำมีรอยริมฝีปากสีแดงสดอยู่รอยหนึ่ง ราวกับจันทร์เสี้ยวโค้งงามบนขอบฟ้า มองเห็นเด่นชัด งดงามน่าลุ่มหลง
“เอ๊ะ” หลินหว่านหรงรีบปิดแก้ม ร้องด้วยความตกใจ “นี่มาจากไหนกัน? เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย พวกเหล่าหูช่างไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว ข้าถูกลอบกัด พวกเขากลับไม่มาช่วยข้า อ๊ะๆ พี่สาวอย่าทิ่มข้า…ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นอวี้เจียทำอย่างแน่นอน น่าแค้นใจที่ข้าชะล่าใจเกินไป เหตุใดถึงไม่รู้สึกตัวนะ?”
พรึบ เข็มเงินที่อยู่ในมือของหนิงอวี่ซีซัดออกไปอย่างรวดเร็วราวสายอสุนีบาต จมเข้าไปในลำต้นของต้นไม้เบื้องหน้าพอดี นางเซียนแย้มยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ข้าจะทิ่มเจ้าทำไมกัน? ศิษย์น้องอันบอกมาแล้ว เจ้าของอย่างเข็มเงินนี้เก็บเอาไว้ก็ขึ้นรา ต้องเอาออกมาตากแดดสักหน่อยถึงจะให้รักษาความแหลมคมของมันได้! ข้าไม่รู้เช่นกันว่านางพูดถูกหรือไม่”
“ใช่ๆ มีเหตุผล” โจรน้อยรีบเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“เจ้านะ” นางเซียนจิ้มหน้าผากเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “ทำตัวไม่ซื่อเยี่ยงนี้! หากศิษย์น้องอันอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะถูกนางเล่นงานเท่าใดแล้ว นางพูดเช่นไรก็ทำเช่นนั้น ลงมือแล้วเจ้าต้องเห็นดีแน่”
เมื่อได้ยินนางเซียนเอ่ยถึงอันปี้หรู ใบหน้าของนางจิ้งจอกซึ่งทั้งตำหนิทั้งยินดีดวงหน้านั้นก็ผุดขึ้นตรงหน้าเบาๆ โจรน้อยพูดจาหน้าระรื่นออกมาว่า “พี่สาวไม่ต้องเป็นห่วงแทนข้า นางลงมือ ข้าก็ลงมือเป็น ช่วงนี้น้องชายศึกษาท่าไม้ตายใหม่ เรียกว่าท่าฝ่ามือจับมังกร เป็นวิชาทำลายเสื้อตัวในโดยเฉพาะ อ้อ ไม่ใช่ เป็นวิชาในตระกูล ถือว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ไม่มีความรวดเร็วใดที่จะทำลายได้ หากมีเวลาว่าง ข้าอยากจะประมือกับพี่สาวสักครา ทุกคนก้าวหน้าไปพร้อมกัน”
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงวิชาเสื้อตัวในก็รู้ว่าคือวิชาอะไรแล้ว หนิงอวี่ซีรีบร้องออกมาเบาๆ ใบหน้าแดงสดใส ถูกเขาก่อกวนเช่นนี้ แม้แต่คำพูดสั่งสอนก็พูดไม่ออก นางเงียบงันอยู่นาน จากนั้นถึงถอนหายใจคราหนึ่ง “คำพูดเมื่อครู่ของพวกเจ้าข้าฟังอยู่ด้านข้าง อวี้เจียผู้นั้นเกรงว่าคงเกิดความรู้สึกต่อเจ้าจริงแล้ว”
“ไม่น่ากระมัง” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความระมัดระวัง “แม่นางคนนี้หาได้จัดการง่ายดายขนาดนั้นจริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ จู่ๆ ก็กลายเป็นเปิดเผยเสียขนาดนั้น ใครจะรู้ว่านางไม่ได้กำลังแสดงละครฉากหนึ่งอยู่?! ไม่ขอปิดบังพี่สาว ข้ากลัวนางบ้างแล้วจริงๆ”
“นี่เขาเรียกว่าเมื่อโดนงูกัดก็จะกลัวเชือกไปสิบปี” นางเซียนหนิงหัวเราะออกมาทันที “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ผ่านไปอีกสองวัน เมื่องานแข่งขันชิงแพะนั่นเริ่มขึ้นและบุกยึดราชธานีชนเผ่านอกด่านได้แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องพบเจอนางอีกต่อไป”
“ข้าก็คิดเช่นนี้…ไม่พบเจออีกต่อไป” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง ผงกศีรษะอย่างจริงจัง จ้องมองอาทิตย์ยามเย็นสีเข้มนั้น ความรู้สึกภายในจิตใจยากจะบรรยายออกมาได้
เชื่อเจ้าสิถึงจะแปลก! นางเซียนเบะปาก เพียงแต่เหมื่อเห็นความง่วงงุนและความเหนื่อยล้าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเขา ใจก็อ่อนลงทันที ไม่อยากพูดเรื่องของผู้อื่นอีกต่อไป ทั้งสองซบกันแนบแน่น กลายเป็นเงาร่างที่ไม่พรากจากกันตลอดกาลคู่หนึ่งใต้อาทิตย์อัสดงขนาดมหึมา…
“ไป!”
“ไป!”
เสียงฝีเท้าม้าดังบนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่เป็นระยะ ดังเบาสลับกันไป ทหารม้าที่รวมกลุ่มกันควบม้าห้อตะบึงอย่างเร้วรี่บนทุ่งหญ้า ขนาดไม่ธรรมดา เมื่อดูจากจำนวนก็มีมากถึงหลายพันคนได้
เพียงแต่พูดแล้วก็แปลก ชนเผ่านอกด่านหลายพันคนนี้กลับแบ่งเป็นขบวนที่มีขนาดแตกต่างกัน ขนาดใหญ่มีเจ็ดแปดสิบคน ขนาดเล็กมีแค่สิบคน ช่วงห่างของแต่ละกลุ่มนั้นไกลมาก ระยะห่างอย่างน้อยก็สองลี้ แต่ละกลุ่มเป็นเอกเทศ รวมกันเป็นกองทหารม้า บางครั้งก็รวมกลุ่ม บางครั้งก็แยกจากกัน ประหนึ่งกำลังฝึกกระบวนอะไรบางอย่าง กระโจมสีขาวขนาดใหญ่น้อยค่อยๆ แผ่ขยายออกไปบนทุ่งหญ้าสีเขียวเข้มราวกับเมฆที่จรดท้องฟ้า
เสียงฝีเท้าอีกกลุ่มดังขึ้นมา จุดดำหลายสิบจุดวิ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่ดุจสายลม
อยู่กันไกลยิ่งนัก กอปรกับม่านราตรีค่อยๆ คลี่ตัวลง ชนเผ่านอกด่านแต่ละกลุ่มกำลังฝึกฝนอย่างตึงเครียด กระทั่งว่าไม่มีผู้ใดเงยหน้ามองพวกเขาแม้แต่แวบเดียว
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ตกดิน ม้าเร็วทูเจวี๋ยที่แข็งแรงกำยำหลายสิบตัวห้อตะบึงมาอย่างเร็วรี่ ทหารม้าที่อยู่บนม้าสวมชุดของชนเผ่านอกด่านอันหลวมกว้าง ระหว่างที่พุ่งปราดเข้ามา ร่างกายก็หมอบแนบชิดอยู่บนหลังม้า ราวกับลูกธนูที่พร้อมจะหลุดออกจากแล่ง บางครั้งก็เผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้ม แฝงไอสังหารรุนแรงออกมาเล็กน้อย
ฟ้าเริ่มมืด รอบด้านของทุ่งหญ้าต่างมีม้าเร็วเช่นนี้ ระหว่างกลุ่มก็ต่างปกครองดูแลกันเอง ไม่มีผู้ใดสนใจขบวนม้าสิบกว่าคนนี้
“หยุด!” ผู้ที่เป็นหัวหน้าเบื้องหน้าดึงบังเ**ยนอย่างชำนาญ ฝีเท้าม้าทูเจวี๋ยค่อยๆ เชื่องช้าลง เขานำม้าย่ำเบาๆ หลายก้าว หันหน้ากลับไปแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ เดินทางรอบคอบ! ที่นี่อยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์แค่ยี่สิบลี้แล้วขอรับ”
“ยี่สิบลี้?” หลินหว่านหรงดึงเสื้อคลุมตัวยาวของทูเจวี๋ยลง เผยให้เห็นใบหน้าที่ซุกซ่อนอยู่ ดวงตากลอกวนไปมา มองประเมินรอบด้านอย่างระแวดระวัง “นี่มันชนเผ่านอกด่านจากที่ใดกัน เป็นกลุ่มเป็นก้อน มีตั้งหลายร้อยก้อนเลยนะ! พวกมันอยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์แค่ยี่สิบลี้ แล้วเหตุใดถึงไม่เข้าเมืองไป?”
นับจากข่าวแรกที่สวี่เจิ้นส่งกลับมาเมื่อวาน จนถึงวันนี้หลังเที่ยงก็เป็นรายงานครั้งที่สองแล้ว ทัพใหญ่หนึ่งแสนที่ลู่ตงจ้านเป็นผู้นำเดินทางออกห่างไปสามร้อยลี้ เพียงพอให้แม่ทัพหลินสะบัดธงรบ เคลื่อนทัพรุกคืบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วได้แล้ว ฝีเท้าของทหารม้าต้าหัวเหยียบย่างถึงบริเวณรอบนอกเค่อจือเอ่อร์ บริเวณที่อยู่ห่างจากราชธานีของชนเผ่านอกด่านใกล้ที่สุดก็แค่หนึ่งร้อยสามสิบลี้เท่านั้น พวกเขารับรู้ได้กระทั่งลมหายใจของชนเผ่านอกด่าน