ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ - ตอนที่ 589 - 2 ตื้นตันจนร้องไห้
ในช่วงเวลาสำคัญที่แม้แต่สะเก็ดไฟเล็กๆ ก็จุดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นมาได้นี้ หลินหว่านหรงไม่พอใจแค่รายงานของหน่วยลาดตระเวนแล้ว หากไม่ได้เห็นสถานการณ์ของเค่อจือเอ่อร์ด้วยตาตนเอง เขาก็รู้สึกไม่มั่นคง ดังนั้นถึงฉวยโอกาสช่วงโพล้เพล้มาสืบข่าวกับหูปู้กุยด้วยตนเอง
หลายร้อยก้อนจริงๆ ด้วยนะ! หูปู้กุยกลั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ เจ้าพวกนี้ต่างเป็นบุคคลชั้นยอดจากแต่ละดินแดนที่มาเข้าร่วมงานแข่งขันชิงแพะ มะรืนทุ่งหญ้านี้ก็จะจัดงานใหญ่แล้ว พวกมันไม่ฉวยโอกาสช่วงสุดท้ายเพื่อฝึกฝน วิ่งแจ้นเข้าเมืองไปทำอะไรเล่าขอรับ?”
“เจ้าพวกนี้ต่างมาเข้าร่วมงานแข่งขันชิงแพะ?” หลินหว่านหรงตกใจ ท่ามกลางขบวนที่วิ่งห้อตะบึงอยู่บนทุ่งหญ้า อาชาพ่วงพีเร็วรี่ดั่งสายฟ้า เหล่าทหารม้าที่อยู่บนม้ากระโดดบิด ค้อมเอว พลิกตัว กระโดดคร่อม สลับกันไป การเคลื่อนไหวที่มีระดับความยากสูงส่งสารพัดอย่างปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ราวกับเล่นกายกรรม ร่างกายคล้ายงอกเงยอยู่บนหลังม้า
หูปู้กุยผงกศีรษะ “ใช่ขอรับ แต่ละกลุ่มต่างเป็นบุคคลชั้นยอดที่มาจากแต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่าน ท่านดูสิ พวกมันยังมีธงของตัวเองอีกด้วย”
จริงอย่างที่ว่า ท่ามกลางกระโจมที่มีอยู่เป็นแถบนั้นต่างมีธงที่มีความแตกต่างกันโบกสะบัด ธงอินทรี ธงจิ้งจอก ธงกระต่าย สัญลักษณ์ของแต่ละดินแดนล้วนไม่เหมือนกัน หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง ชี้ไปยังกระโจมหลังหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ยังมีธงนกกระจอกด้วย? ชนเผ่านอกด่านนี่ช่างมีความคิดสร้างสรรค์เสียจริงนะ!”
หูปู้กุยกวาดตามองหลายครั้ง เห็นว่าสิ่งที่วาดอยู่บนธงผืนนั้นคือนกน้อย ซึ่งมีท่าทีองอาจมีชีวิตชีวาตัวหนึ่ง กำลังเชิดหัวบินขึ้นสูงด้วยท่าทางหยิ่งผยอง เหล่าหูรู้สึกทนไม่ไหวแล้วจริงๆ “เรียนท่านแม่ทัพ นั่น…นั่นไม่ใช่นกกระจอกขอรับ!”
“ไม่ใช่นกกระจอก?” หลินหว่านหรงขมวดคิ้ว “หรือว่าจะเป็นนกเขา?! พอมาอยู่บนทุ่งหญ้าพันธุกรรมก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน นกเขาก็กลายสภาพเป็นแบบนี้…สู้นกกระจอกก็ยังไม่ได้!”
เหล่าหูหน้าแดงก่ำ “ท่านแม่ทัพ นี่ ทั้งไม่ใช่นกกระจอกและไม่ใช่นกเขาขอรับ มันเรียกว่านกไป่หลิง แค่กๆ ไป่หลิงที่ร้องเพลงได้นั่นน่ะขอรับ ใช้นกไป่หลิงมาเป็นธง หมายความว่าดินแดนนี้คล่องแคล่วปราดเปรียว ร้องรำทำเพลงเก่งกาจ”
“ที่แท้ก็ไป่หลิง” หลินหว่านหรงร้องอ๊ะๆ สองครา พูดด้วยความเดือดดาล “ฝีมือการวาดภาพของชนเผ่านอกด่านนี่นช่างแย่เสียจริง ข้าไม่เห็นมันเป็นแมลงวันก็ถือว่าได้เปรียบมันแล้ว!”
“หูโหยว (เยี่ยม)!” เขาพูดยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นยินดีดังแว่วมาจากดินแดน ‘แมลงวัน’ นั่น ดังนั้นจึงรีบทอดสายตามองไป
เห็นม้าในขบวนของดินแดน ‘แมลงวัน’ อาชาพ่วงพีจำนวนสิบตัวกำลังวิ่งห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ดั่งโผบิน ชนเผ่านอกด่านผู้หนึ่งกอดหลังม้าแล้วห้อยร่างอยู่ใต้ท้องม้า แผ่นหลังของม้าทูเจวี๋ยอันสง่างามตัวนั้นว่างเปล่า ทั้งปราศจากอานม้าและปราศจากที่วางเท้า เร็วรี่ประดุจสายลม ชนเผ่านอกด่านผู้นั้นขยับขวับคราหนึ่ง หมุนวนรอบใต้ท้องม้า กลับพลิกตัวขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็หมุนวนสามร้อยหกสิบองศาอีกสองรอบลอดผ่าน พลิกตัวจากใต้ท้องม้าอย่างต่อเนื่อง เพียงอึดใจเดียวก็ทำไปสามรอบ การเคลื่อนไหวทั้งหมดจดงดงาม ปลอดโปร่งและสง่างาม ชนเผ่านอกด่านที่ชมอยู่ด้านข้างปรบมือเสียงดังกึกก้อง ชื่นชมยิ่งนัก
หลินหว่านหรงมองดูแล้วก็กะพริบตา แม่เอ๊ย! กอดแม่ม้าแล้วหมุนวนสามรอบ มันไม่เวียนหัวเหรอ? ไอ้เจ้านี่ ไม่ไปเต้นแทงโก้ก็ออกจะน่าเสียดายแล้ว!!
หากเอ่ยถึงการขี่ม้า อย่างไรเสียก็ผ่านความเป็นความตายบนหลังม้ามานับไม่ถ้วน หลินหว่านหรงถือว่าเชี่ยวชาญเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับชาวทูเจวี๋ยผู้นี้มันช่างต่างกันเหลือเกิน แม้จะเป็นศัตรูกัน แต่ทุกคนต่างไม่อาจไม่นับถือการขี่ม้าของชาวทูเจวี๋ย
“ดินแดนนกไป่หลิงนี้ ตอนพวกเราชิงแพะ ทางที่ดีก็อย่าไปเจอเลย” หลินหว่านหรงอึกอักอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยประโยคนี้ออกมา
หูปู้กุยผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง ยังไม่ทันพูดก็ได้ยินเสียงตะโกนเข่นฆ่าด้วยโทสะและเสียงด่าทออย่างเร่งร้อนแว่วเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง เมื่อหันหน้ากลับไปมองก็เห็นม้าเร็ววิ่งพุ่งตัดผ่านทุ่งอยู่อย่างเร็วรี่ดังลมพายุหมุน
หัวแพะโลหิตหยาดหยดหัวหนึ่งถูกโยนขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ จากนั้นก็ร่วงหล่นบนพื้นไกลๆ ชาวทูเจวี๋ยหลายร้อยคนพุ่งเข้าหาราวกับเสียสติ ดาบโค้งในมือฟันสหายร่วมชนเผ่าตรงหน้าอย่างไม่ไว้ไมตรี แบ่งเป็นสองฝ่าย กำลังตะลุมบอนกันอยู่ ผู้ใดที่ชิงหัวแพะได้ผู้นั้นก็คือผู้ที่ย่ำแย่มากที่สุด
หลินหว่านหรงตาโตอ้าปากค้าง “ชิงแพะยังต้องใช้ดาบด้วยหรือ? มารดามัน! นี่คือการชิงแพะหือว่าฟันแพะกันแน่?!”
“ย่อมต้องใช้ดาบสิขอรับ” หูปู้กุยส่งเสียงฮิคราหนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านยังไม่เคยเห็นการชิงแพะนี้ จะไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องปกติ ขอให้ข้าน้อยเล่าให้ท่านฟังดูนะขอรับ การชิงแพะนี้อันที่จริงแล้วไม่ได้ชิงหัวแพะ ก่อนงานชิงแพะทุกครั้ง ชาวทูเจวี๋ยจะสังหารแพะอ้วนพีจำนวนหลายตัว ตัดหัวและเท้าของมัน จากนั้นก็เอาแพะไปแช่ในน้ำ และยังต้องกรอกน้ำใส่ท้องแพะอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวของแพะก็จะแข็งแรง ตอนแข่งจะได้ไม่ถูกดึงทึ้งจนขาด”
นี่กลับมีเหตุผลอยู่บ้าง หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “เช่นนั้นจะเอาดาบไปทำอะไรอีก? หรือว่าจะเอามาเฉือนเนื้อแพะ?”
เหล่าหูส่ายหน้า “ไม่ใช่เฉือนเนื้อแพะขอรับ แต่เอามาฟันคน ทุกครั้งเมื่อเริ่มการชิงแพะ ชาวทูเจวี๋ยจะเลือกคนออกคำสั่งมาหนึ่งคน ให้มันวางตัวแพะอยู่กลางทุ่งหญ้า ทุกกลุ่มที่เข้าร่วมการแข่งขันอย่างน้อยก็สิบกว่าคน อย่างมากก็ถึงร้อยคน แต่ละคนต่างขี่ม้าคนละตัว อยู่ห่างจากแพะนั้นเท่าเทียมกัน รอคอยเพียงเสียงคำสั่ง แต่ละกลุ่มควบม้าเข้าแย่งชิง แต่ละกลุ่มต้องแบ่งงานกัน บุกแย่ง คุ้มกัน และขัดขวาง ไม่สนใจว่าท่านจะใช้วิธีการใด ถือดาบฟัน ถือหอกแทง ขอเพียงแย่งแพะมาจากมือของฝ่ายตรงข้ามและไปถึงจุดหมายปลายทางก่อนได้ ท่านก็จะเป็นผู้ชนะขอรับ”
หลินหว่านหรงขนลุกซู่ นี่มันการแข่งขันชิงแพะที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการแข่งขันฟันคนนะ ชนเผ่านอกด่านสมกับเป็นชนเผ่านอกด่าน ความป่าเถื่อนนั้นช่างไม่ธรรมดา งานชิงแพะที่จัดขึ้นมายังน่าดูกว่าการแข่งขันรักบี้เสียอีก แถมยังแฝงคาวเลือดอีกด้วย
“เพียงแต่ชนเผ่านอกด่านย่อมไม่โง่จนถึงขั้นฆ่าฟันกันเอง ผู้ที่ลงสนามนอกจากปิดบังหน้าตาเพื่อป้องกันการผูกพยาบาทแล้ว อาวุธที่แต่ละกลุ่มนำลงสนามก็ต้องลับคมออก หรือก็คือดาบทื่อที่พวกเราพูดกัน ก่อนงานต้องผ่านการตรวจสอบ ปกติแล้วฟันคนไม่ตาย อย่างมากก็แขนขาดขาหัก ส่วนดินแดนที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ แม้จะสู้กันอย่างดุร้าย แต่ก็แค่การฝึกซ้อมเสมือนจริงเท่านั้น ยังห่างไกลจากการแข่งขันชิงแพะอย่างแท้จริงไกลโขขอรับ”
แล้วดาบทื่อมันไม่ใช่ดาบหรือไง? ฟังการอธิบายจากเหล่าหู หลินหว่านหรงก็ใจเย็นวาบขึ้นมาทันที การแข่งขันชิงแพะนี้ไม่ได้น่าสนุกเช่นนั้น หากเอาชีวิตน้อยมาทิ้งไว้ที่งสนามชิงแพะของชนเผ่านอกด่าน นั่นถึงจะเป็นเรื่องน่าขบขันมากที่สุดในต้าหัวอย่างแท้จริงแล้ว
“เอ่อ พี่หู ข้าขอคิดดูให้ถ้วนถี่” หลินหว่านหรงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากต้องชิงแพะ พวกเราเลือกนกไป่หลิงนั่นก่อนจะดีกว่า ตอนนี้ดูแล้ว เทียบกับดาบใหญ่ทางนั้น นกไป่หลิงกลายเป็นหมัดเท้าปักบุปผาไปโดยปริยาย”
ประโยคนี้พูดจนทุกคนต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ที่จริงแล้วทุกคนต่างรู้แจ้งแก่ใจ หากพูดถึงความอ่อนแอ ก็ถือว่าพวกเขานั้นอ่อนแอที่สุดแล้ว
“พี่หู เช่นนั้นพวกต้องรายงานตัวเช่นไร?!”
เหล่าหูส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้องรายงานตัวขอรับ สิ่งที่เน้นในงานชิงแพะนี้ก็คือมาเมื่อไหร่ก็ได้สู้เมื่อไหร่ก็ได้ ขอเพียงคนกล้าท้า ผู้ชนะคนใดก็ตามก็ต้องรับคำท้าโดยปราศจากเงื่อนไข ไม่ว่าท่านจะสู้มาแล้วกี่รอบ แน่นอนว่าดินแดนที่พ่ายแพ้ไปแล้วหมดสิทธิ์ที่จะท้า และดินแดนที่ท้าเหล่านั้นอย่างน้อยก็ต้องสู้ครบสามรอบถึงจะมีคุณสมบัติ ดังนั้นจึงพูดว่าผู้ชนะงานชิงแพะนี้ถึงจะเป็นผู้กล้าบนทุ่งหญ้าอย่างแท้จริง และเหตุใดแต่ละดินแดนบนทุ่งหญ้าถึงส่งนักรบชั้นยอดมางานชิงแพะ ก็เนื่องจากเหตุผลนี้นี่ล่ะขอรับ”
ชาวทูเจวี๋ยดุร้ายป่าเถื่อนจริงด้วย การเลือกเฟ้นทุ่งหญ้าเช่นนี้ถึงจะเป็นขวัญใจมหาชน หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม “ในเมื่องานแข่งขันชิงแพะนี้จะต้องไปให้จงได้ ตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องสนใจมันแล้ว พี่หู พวกเราลองมุ่งหน้าเข้าไปสืบอีกสักหน่อย ไปดูเค่อจือเอ่อร์กัน”
“ไม่ได้ขอรับ ข้างหน้าอันตรายเกินไป!” หูปู้กุยพูดเพิ่งจบก็ได้ยินเสียงพื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มีฝุ่นดินคละคลุ้งอยู่ไกลๆ ทหารม้าทูเจวี๋ยแน่นขนัดกำลังกรูมาทางพวกเขาราวกับน้ำท่วมไหลหลากอย่างรุนแรง